ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ภิกษุณีธัมมนันทา"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
พุทธามาตย์ (คุย | ส่วนร่วม) ล ย้อนการแก้ไขของ Dhammabhavita (พูดคุย) ไปยังรุ่นก่อนหน้าโดย Poompong1986 |
Karaniyametta (คุย | ส่วนร่วม) แก้ไขประวัติให้ถูกต้อง ป้ายระบุ: ผู้ใช้ใหม่เพิ่มลิงก์ไปยังเว็บอื่น การแก้ไขแบบเห็นภาพ |
||
บรรทัด 3:
| image = Dhammananda09.jpg
| caption =
| birth_date = [[๖ ตุลาคม พ.ศ.
| birth_place = [[
| death_date =
| residence =
บรรทัด 18:
| relatives =
| signature =
| website =www.thaibhikkhunis.org
| footnotes =
}}
บรรทัด 24:
'''ภิกษุณีธัมมนันทา''' ชื่อเดิม '''รองศาสตราจารย์ ดร. ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์''' [[ภิกษุณี]]ชาวไทย สังกัด[[สยามนิกาย]] [[ประเทศศรีลังกา]] อดีตอาจารย์ประจำ[[มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์]]
== ประวัติ<ref>http://www.thaibhikkhunis.org/thai2556/index.php?option=com_content&view=article&id=29&Itemid=11</ref> ==
พระภิกษุณีธัมมนันนา นามเดิม รศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ '''หรือที่ติดปากลูก ๆ และศิษย์ว่า '''“หลวงแม่”''''''
'''ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๗ เป็นชาวกรุงเทพมหานครโดยกำเนิด'''
คุณทวดคือ หลวงเรืองฤทธิ์เดชะ ราชรองเมือง (แหลม)
คุณปู่คือ หลวงพิทักษ์เหลียน สถาน (รื่น ษัฎเสน) ได้รับพระราชทานนามสกุล “ษัฎเสน” ใน พ.ศ. ๒๔๕๘
ทั้งสองท่านเวียนเป็นนายอำเภอทุกอำเภอในจังหวัดตรัง
บิดา คือ นายก่อเกียรติ ษัฎเสน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตรัง ๓ สมัย สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (๒๔๘๙ – ๒๕๐๑) หลังจากบิดาวางมือทางการเมือง ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุและมรณภาพภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์
มารดาคือ นางวรมัย กบิลสิงห์ ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ อุปสมบทเป็นภิกษุณี ภิกษุณีวรมัย ได้ฉายา มหาโพธิธรรมาจารย์ (คนทั่วไปมักใช้สรรพนามเรียกท่านว่า “หลวงย่า”) ภิกษุณีวรมัยอุทิศตัวรับใช้พระศาสนา และก่อตั้งวัตรทรงธรรมกัลยาณี ด้วยทุนส่วนตัวของครอบครัว เพื่อใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและเผยแพร่พระธรรมคำสอนให้แก่ลูกผู้หญิงที่สนใจ
นับเป็นการเตรียมหลวงแม่ให้ได้เห็นบทบาทของผู้หญิงบนวิถีพุทธธรรมมาตั้งแต่เยาว์วัย
ในวัยเพียง ๑๑ ขวบ หลวงแม่ต้องช่วยมารดาทำหนังสือ คือหนังสือรายเดือน '''''วิปัสสนาและบันเทิงสาร''''' ถือเป็นการเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ ในการเป็นนักเขียนและด้วยพรสวรรค์บวกกับประสบการณ์ที่มี ทำให้ท่านเริ่มงานเขียนตั้งแต่อายุเพียง ๑๙ ปี โดยมีผลงานแปลคือ “ตาที่สาม “ และหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นเล่มแรกคือ '''''ปรัชญาจากภาพ''''' (ติดอันดับ ๑ ใน๑๐ หนังสือขายดีของร้านหนังสือดอกหญ้า ปี ๒๕๒๕)
นอกจากนั้นท่านยังเป็นบรรณาธิการให้แก่หนังสือจดหมายข่าวภาษาอังกฤษ '''''YASODHARA''''' ที่จัดพิมพ์ต่อเนื่องมาถึง ๓๐ ปีแล้ว
เมื่ออายุได้ ๑๓ ปี หลวงแม่มีโอกาสบวชชี โดยปลงผมและสวมชุดนักบวชสีเหลืองอ่อน ได้รับฉายา “การุณกุมารี”
จากวัยเด็กจวบวัยรุ่นสาว หลวงแม่เติบโตมาในรอบรั้วภิกษุณีอาราม โดยได้รับการหล่อหลอมให้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวโพธิสัตต์ ครอบครัวใหญ่ของชาววัตรทรงธรรมกัลยาณีที่มีหลวงย่าเป็นมารดาแห่งธรรมของคนทั้งวัตร ท่านทำงานเพื่อสังคม รับเลี้ยงดูเด็กกำพร้าและผู้หญิงด้อยโอกาสจำนวนมาก
บริบทชีวิตเช่นนี้ทำให้เด็กหญิงฉัตรสุมาลย์เติบโตมาพร้อมกับแนวคิดของ งานสืบสานพุทธศาสนาบนแนวทางโพธิสัตต์นั้นมิได้เป็นเพียงการสงเคราะห์ชีวิตเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากสภาพความทุกข์ยากอดอยากเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการอบรมธรรมะ พัฒนาจิตใจยกระดับจิตวิญญาณไปสู่การปฏิบัติธรรมด้วย
'''การศึกษา'''
หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมจากโรงเรียนราชินีบน มารดาได้สนับสนุนให้เดินทางไปศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยที่ประเทศอินเดีย ด้วยความสามารถด้านภาษาอังกฤษ บวกกับความเพียรพยายามทำให้ท่านประสบความสำเร็จในการเรียน โดยจบปริญญาตรีเกียรตินิยม สาขาวิชาเอกปรัชญา วิชาโทประวัติศาสตร์ ในเวลา ๓ ปี อีกทั้งยังได้เรียนภาษาจีน จากท่านผู้ปกครองคือ Prof. Tan Yun Shan ซึ่งเป็นทูตวัฒนธรรมจีนที่ตั้งรกรากอยู่ในอินเดีย
หลังจากกลับมาเมืองไทยฉัตรสุมาลย์ได้ทำงานให้สมาคมไทยอเมริกัน แต่พบว่าตนเองยังสั่งสมวิชาความรู้ไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้ทำงาน จึงตัดสินใจไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทสาขาศาสนาที่มหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ ประเทศแคนาดา ''ก่อนจะศึกษาปริญญาโท ท่านต้องศึกษาปริญญาตรี สาขาศาสนาปีสุดท้ายไปด้วย โดยท่านได้รับทุนจากรัฐบาลแคนาดา ตลอดระยะเวลาที่ศึกษาระดับปริญญาโทและเอก ในสาขาศาสนา และ''ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง “การศึกษาเปรียบเทียบภิกขุนีปาฏิโมกข์ (วินัยของภิกษุณี)”''''
การเรียนที่แคนาดาได้เปิดโลกทัศน์เรื่องการศึกษาพุทธศาสนาให้แก่ท่านเป็นอย่างมาก เนื่องเพราะท่านได้ค้นพบคำตอบว่า '''ตัวเราเองเป็นชาวพุทธ เกิดในเมืองพุทธ ทว่ากลับได้เรียนรู้ศึกษาวิชาพุทธศาสตร์จนจบชั้นปริญญาเอกจากประเทศที่ไม่ใช่เมืองพุทธเลย'''
'''ชีวิตครอบครัว'''
ท่านได้สมรสกับนาวาอากาศโท พรพจน์ และ มีบุตรชายรวม ๓ คน ชีวิตการแต่งงานและการมีบุตรชายเป็นการเติมเต็มชีวิตวัยเด็กที่อยู่ในสังคมผู้หญิงล้วน
'''ชีวิตการทำงาน'''
สำหรับชีวิตการทำงาน เริ่มจากพ.ศ. ๒๕๑๓ – ๒๕๑๕ ดร.ฉัตรสุมาลย์ได้เริ่มงานสอนที่มหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ ประเทศแคนาดา
พ.ศ.๒๕๑๖ – ๒๕๔๓ รองศาสตราจารย์ ดร.ฉัตรสุมาลย์ได้เข้าเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งยังเป็นอาจารย์ดูแลวิทยานิพนธ์ทั้งปริญญาโทและปริญญาเอกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยรามคำแหง และมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ฯลฯ
พ.ศ.๒๕๑๘ – ๒๕๔๔ ดำรงตำแหน่งภาคีสมาชิกราชบัณฑิตยสถาน สาขาศาสนศาสตร์ และเป็นอนุกรรมการบัญญัติศัพท์ศาสนาสากล ราชบัณฑิตสถาน
พ.ศ.๒๕๒๓ แผนกศาสนา และวัฒนธรรมของรัฐบาลทิเบตได้ส่งจดหมายเชิญให้ รศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์ ร่วมเป็นกรรมการพิจารณาการบวชภิกษุณีของทิเบต และด้วยความเคลื่อนไหวดังกล่าว เปรียบได้กับ '''"ปรากฎการณ์ผีเสื้อขยับปีก"''' โดยเฉพา'''ะ'''การประชุมที่ธรรมศาลาครั้งนั้นทำให้องค์ทาไลลามะ องค์พระประมุขของทิเบตทรงพิจารณาเปิดโอกาสให้ผู้หญิงทิเบตมีทางเลือกบนเส้นทางของนักบวชหญิงมากขึ้น
พ.ศ.๒๕๒๖ ท่านได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้ไปบรรยายเรื่อง "อนาคตของภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไทย" จากการประชุมครั้งนั้นเอง ทำให้ท่านเกิดสำนึกได้ว่า หากท่านไม่ลงมือเคลื่อนไหวหรือกระทำสิ่งใด ความรู้ในเรื่องภิกษุณีสงฆ์ที่ท่านมีจะไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม หรือการเปลี่ยนแปลงในหลักคิดได้
หลังการสัมมนาที่ฮาร์วาร์ดครั้งนั้น ส่งผลให้ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ ออกจดหมายข่าวชื่อ NIBWA (News-letter on International Buddhist Women’s Activities) เพี่อเป็นสื่อกลางในการติดต่อกับสตรีชาวพุทธ ทั่วทุกมุมโลก มีสมาชิกครั้งแรก ๓๗ คนและขยายตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเครือข่ายผู้หญิง ที่จัดการประชุมระดับโลกหลายครั้งหลายครา โดยดร.ฉัตรสุมาลย์ ได้รับเชิญให้ไปบรรยายในเรื่องพุทธศาสนามากขึ้น จนในที่สุดก็เริ่มโยงเข้าสู่ประเด็นบทบาทของสตรีในพุทธศาสนาเข้ามาเป็นหัวข้อสำคัญในการสัมมนา
พ.ศ.๒๕๓๑ ท่านจึงได้ร่วมก่อตั้งองค์กรศากยธิดานานาชาติ International Buddhist Women Association และได้รับเลือกเป็นประธานองค์กร ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๓๔ – ๒๕๓๘ พร้อมกันนั้นนั้นท่านยังเป็นบรรณาธิการให้แก่หนังสือจดหมายข่าวพุทธศาสนาภาคภาษาอังกฤษ ''YASODHARA'' ที่จัดพิมพ์ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และเมื่อเครือข่ายของผู้หญิง เกิดการรวมตัวกันเป็นกลุ่มพลังที่เข้มแข็งมากขึ้น จึงได้ร่วมกันก่อตั้งชมรมสตรีชาวพุทธนานาชาติชื่อว่า '''สมาคมศากยธิดา''' ขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๓๒ ซึ่งทางวัตรทรงธรรมกัลยาณีเองก็ได้เริ่มต้น จัด “การอบรมพุทธสาวิกา” เพื่อกระตุ้นให้สตรีไทยได้ตื่นตัวในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
พ.ศ. ๒๕๓๔ ท่านได้รับเลือกเป็นผู้จัดการประชุมทางวิชาการนานาชาติเรื่องสตรีชาวพุทธ
พ.ศ.๒๕๓๔ – ๒๕๔๓ ท่านเข้าสอนโครงการวัฒนธรรม โรงแรมโอเรียนเต็ล
พ.ศ.๒๕๓๗ – ๒๕๓๘ ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานโครงการสตรีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พ.ศ.๒๕๓๙ - ๒๕๔๓ เป็นประธานศูนย์อินเดียศึกษา และเป็นกรรมการโครงการจีนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พ.ศ.๒๕๓๙ - ท่านเริ่มก่อตั้งโครงการบ้านศานติ์รักษ์ เพื่อส่งเสริมให้เด็กและสตรีมีโอกาสพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
พ.ศ. ๒๕๔๒ - ท่านได้ก่อตั้งก่อตั้งมูลนิธิ พุทธสาวิกา
นอกจากผลงานดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ด้วยพรสวรรค์ในด้านงานเขียน ท่านยังได้เขียนบทความในสื่อหลากหลายประเภท อาทิเช่นคอลัมน์ “ธรรมลีลา” ในหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ คมชัดลึก ไม่นับรวมผลงานหนังสือและงานแปลอีกกว่า ๑๐๐ เล่ม โดยหนังสือที่ท่านเขียนขึ้นนี้ สะท้อนวิญญาณความเป็นนักอ่านและนักเขียนของท่านได้เป็นอย่างดี ทั้งการบอกเล่าเรื่องราวในเชิงวิชาการ การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ การอ่านหนังสือและเดินทางไปทั่วโลก สาระที่ถ่ายทอดออกมาในสื่อรูปแบบต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น ล้วนเป็นธรรมะที่ย่อยและกลั่นกรองจากมุมมองของนักอ่าน นักเขียน นักประวัติศาสตร์ นักสตรีนิยม นักสิ่งแวดล้อม และนักปฏิบัติ ผลงานของท่านจึงมีความลุ่มลึกในสำนวนภาษาและวิธีถ่ายทอด สามารถสร้างศรัทธาและสาระให้แก่นักอ่านจำนวนมาก
นอกจากความสำเร็จในฐานะนักวิชาการและนักเขียน ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติแล้ว รศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์ยังได้รับเชิญให้เป็นพิธีกรในรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับศาสนา ชื่อรายการ ''ชีวิตไม่สิ้นหวัง'' ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ ทางช่อง ๓ โดยรายการดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องถึง ๗ ปี และยังได้รับรางวัลรายการธรรมะยอดเยี่ยมถึง ๒ ปีซ้อน (พ.ศ. ๒๕๔๓ และ พ.ศ. ๒๕๔๔)
'''เกียรติประวัติ'''
พ.ศ.๒๕๔๕ – ๒๕๔๙ ท่านเป็นหนึ่งในคณะกรรมการคัดเลือกผู้รับรางวัลนิวาโน สันติภาพ ประเทศญี่ปุ่น
พ.ศ.๒๕๔๗ ท่านได้รับเลือกเป็นสตรีชาวพุทธดีเด่นขององค์การสหประชาชาติ (UN Outstanding Buddhist Women Award)
พ.ศ.๒๕๔๘ ท่านเป็นหนึ่งใน ๑,๐๐๐ สตรีเพื่อสันติภาพที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ
พ.ศ.๒๕๔๙ ได้รับรางวัล Prestige Woman ในฐานะนักการศึกษา และ Bangkok Post ได้คัดเลือกท่านเป็น ๑ ใน ๕๐ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในโอกาสหนังสือพิมพ์ฉลองครบรอบ ๕๐ ปี และท่านยังได้รับการคัดเลือกเป็น ๑ ใน ๓๐ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในโอกาสหนังสือพิมพ์ The Nation ฉลองครบรอบ ๓๐ ปี ซ้ำในปีเดียวกันอีกด้วย
พ.ศ.๒๕๕๒ ได้รับการยกย่องเป็นบุคคลเกียรติยศประจำปีจาก มูลนิธิโกมล คีมทอง
พ.ศ.๒๕๕๓ ได้รับรางวัล ๑ ใน ๒๐ สตรีที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากโรงแรมสุโขทัยและนิตยสาร Thailand Tatler
พ.ศ. ๒๕๕๕ ท่านได้รับรางวัลนักแปลดีเด่น
พ.ศ. ๒๕๕๕ ท่านได้รับรางวัล ''Sakyamuni Buddha International Award'' 2012 จากประเทศอินเดีย
'''การสืบสาน : เส้นทางภิกษุณี'''
แม้จะประสบความสำเร็จทั้งในฐานะนักวิชาการ นักกิจกรรม ทั้งการงาน ชื่อเสียง และอาชีพ แต่ทว่าในห้วงเวลาดังกล่าว รศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์กล่าวว่าตนเองยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าความหมายของชีวิตคืออะไร
''“ ในช่วงแรกอาตมาพยายามต้านกระแสการเรียกร้องให้บวช แต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่งของชีวิตก็พบว่า แม้ชีวิตอาตมาเดินทางมาถึงความสำเร็จตามประสาที่ชาวโลกแสวงหากันตามวิสัยปุถุชน แต่ก็ยังไม่ค้นพบสาระที่แท้จริงของชีวิต ขณะเดียวกันอาตมาก็เกิดความเบื่อหน่ายชีวิตทางโลกที่ต้องแต่งหน้าทาปากออกไปทำมาหากินเลี้ยงชีพทุกวัน อาตมาจึงตัดสินใจออกบวชออกบวช เพื่อถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา”''
ในเดือนมีนาคม ปี พ.ศ.๒๕๔๔ รศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์จึงตัดสินใจเข้ารับการบรรพชาเป็นสามเณรีจากคณะภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์สายสยามวงศ์จากวัดตโปทานรามยะ ประเทศศรีลังกา โดยได้รับฉายาว่า “ธัมมนันทา” ''และอุปสมบทเป็นภิกษุณี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๖ ที่ประเทศศรีลังกา '''''นับเป็นภิกษุณีเถรวาทสายสยามวงศ์รูปแรกในประเทศไทย''''' และเมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านจึงได้นิมนต์ปวัตตินี (ภิกษุณีอุปัชฌาย์) มาอบรมสั่งสอนติดต่อกัน ๒ พรรษา ตามเงื่อนไขในพระวินัยอีกด้วย''
''หลวงแม่ธัมนันทา จึงนับได้ว่าเป็นปฐมภิกษุณีสายเถรวาทรูปแรก และ เป็นผู้วางอิฐก้อนแรกสำหรับสตรีไทยที่จะได้มีโอกาสก้าวย่างออกมาสู่ชีวิตภิกษุณี''
''ภายหลังที่ท่านออกบวชแล้ว หลวงแม่ธัมมนันทายังคงเป็นบรรณาธิการจดหมายข่าวสตรีชาวพุทธนานาชาติ มีสมาชิกใน ๓๘ ประเทศทั่วโลก เพื่อรับทราบความเคลื่อนไหวของภิกษุณีในต่างประเทศมากว่า ๓๐ ปี และด้วยประสบการณ์ดังกล่าวยิ่งสร้างสมให้ท่านเกิดความมั่นใจมากขึ้นในการรื้อฟื้นภิกษุณีว่า "เป็นเรื่องที่ถูกต้องในพระธรรมและวินัย"''
''“เพราะพระภิกษุณีสงฆ์เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล โดยพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้อนุญาตให้ผู้หญิงบวชเป็นภิกษุณี ภิกษุณีสงฆ์จึงเป็นองค์ประกอบของพุทธบริษัทสี่ ที่พระพุทธองค์ประดิษฐานไว้ ด้วยพระพุทธองค์ทรงยืนยันว่าผู้หญิงสามารถบรรลุธรรมได้เช่นเดียวกับผู้ชาย ท่านมักกล่าวเสมอว่าเป็นความจริงที่ว่าคฤหัสถ์ทั้งชายและหญิง สามารถปฏิบัติจนถึงซึ่งความหลุดพ้นได้เช่นเดียวกัน หากแต่ชีวิตการบวชนั้นเป็นชีวิตที่ประเสริฐ เพราะเป็นทางลัดตัดตรง ช่วยให้ผู้บวชได้ละวางความยึดติดทางโลกให้น้อยลง เพราะวิถีการบวชเป็นการทำให้ชีวิตเรียบง่ายขึ้นเอื้อประโยชน์ในการปฏิบัติได้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้อาตมาจึงตัดสินใจออกบวชเพราะต้องการถวายตัวรับใช้พระพุทธศาสนา เพื่อทำหน้าที่เผยแพร่พระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาบวชด้วยความศรัทธาจากหัวใจ พร้อมปฏิบัติด้วยความมุ่งมั่นและตั้งอกตั้งใจอย่างดีที่สุด ด้วยความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า เพราะอาตมาได้ศึกษาแล้วว่าภิกษุสงฆ์นั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าประทานไว้ให้แก่ลูกผู้หญิงและพระศาสนา ซึ่งพระองค์ทรงมอบหมายให้พุทธบริษัทสี่ช่วยกันดูแลและสืบสานพระพุทธศาสนาร่วมกัน”''
ตราบจนถึงวันนี้ (๒๕๖๐) เป็นเวลากว่า ๑๖ ปีแล้วที่รศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ ตัดสินใจสละเพศฆราวาส ครองวิถีนักบวชอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ นับแต่วันที่ตัดสินใจถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา พระภิกษุณีธัมมนันทาไม่เพียงค้นพบเส้นทางลัดที่นำพาชีวิตไปสู่ความดับทุกข์เฉพาะตนเท่านั้น ท่านยังได้ใช้วิชาความรู้ทางพุทธศาสนาเพื่อยังประโยชน์แก่ญาติโยม โดยการนำประสบการณ์การเผยแพร่พุทธศาสนาจากนานาชาติมาสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นอย่างมหาศาลทั้งสำหรับผู้หญิงไทยและผู้หญิงทั่วโลก ด้วยหัวใจแห่งโพธิสัตต์ และแนวทางโพธิสัตต์ที่วัตรทรงธรรมกัลยาณียึดถือปฏิบัติมานานกว่า ๕๐ ปี อันเป็นอุดมการณ์ของพุทธศาสนาเพื่อสังคม (Socially Engaged Buddhism) โดยแท้ ซึ่งด้วยหลักการคิดและแบบแผนในวิถีโพธิสัตต์นี้ ย่อมเกื้อกูลสังคมที่มิใช่เพียงความปรารถนาที่จะพากเพียรไปถึงพระนิพพานแต่เพียงเฉพาะตนเท่านั้น หากแต่ยังปรารถนาเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดด้วย
ด้วยเจตนาเช่นนี้ หลวงแม่ธัมมนันทา จึงกล้าหาญที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยจัดให้มีการบรรพชาหมู่สามเณรีภาคฤดูร้อน ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ณ.วัตรทรงธรรมกัลยาณี ในจังหวัดนครปฐมที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส และจากการบรรพชาในครั้งนั้น (พ.ศ.๒๕๕๒) จนปัจจุบัน ท่านได้เป็นอุปัชฌาย์ให้การบรรพชาสามเณรีทั้งที่ จ.นครปฐม จ.พะเยา จ.สงขลา และ จ.สุราษฏร์ธานี ได้มีผู้หญิงกว่า ๗๐๐ ชีวิตได้ตัดสินใจร่วมเดินตามรอยของการประดิษฐานภิกษุณีสงฆ์ ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อร่วมเติมเต็มพุทธบริษัท ๔ ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย และในพ.ศ. ๒๕๕๖ ท่านได้ริเริ่ม "เครือข่ายภิกษุณีสงฆ์ไทย" ขึ้น เพื่อความเป็นกลุ่มก้อนของภิกษุณีไทยที่กระจายอยู่ใน ๒๐ จังหวัด ให้มีทิศทางการปฏิบัติชัดเจนในพระธรรมวินัย เพื่อสืบทอดพุทธศาสนาตามพุทธดำรัสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ปัจจุบันจำพรรษาอยู่ที่ [[วัตรทรงธรรมกัลยาณี]] ตำบลพระประโทน [[จังหวัดนครปฐม]] (สามเณรี และ ภิกษุณี ไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากคณะสงฆ์ไทย)
== อ้างอิง ==
|