ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อ็อทโท ฟ็อน บิสมาร์ค"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Applezapotis (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Applezapotis (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 51:
'''ออทโท เอดูอาร์ด เลโอโพลด์ เจ้าชายแห่งบิสมาร์ค ดยุกแห่งเลาเอนบูร์ก''' ({{lang-de|Otto Eduard Leopold von Bismarck-Schönhausen}}; {{lang-en|Otto Eduard Leopold, Prince of Bismarck, Duke of Lauenburg}}; 1 เมษายน ค.ศ. 1815&nbsp;– 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1898) หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม '''ออทโท ฟอน บิสมาร์ค''' ({{lang-de|Otto von Bismarck}}) คือรัฐบุรุษฝ่าย[[อนุรักษนิยม]]ชาว[[ปรัสเซีย]]ผู้มีบทบาทสำคัญในแวดวงการเมืองเยอรมันและยุโรปช่วง[[คริสต์ทศวรรษ 1860]] จนกระทั่ง [[คริสต์ทศวรรษ 1890|1890]] ซึ่งในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1860 บิสมาร์คดำเนินยุทธวิธีสงครามหลายระลอกเพื่อรวมรัฐเยอรมันเข้าด้วยกันและสถาปนา[[จักรรวรรดิเยอรมัน]]อันทรงอำนาจภายใต้การนำของปรัสเซียขึ้นมาในปี ค.ศ. 1871 โดยจงใจกีดกัน[[จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี|ออสเตรีย]]ออกจากการรวมกลุ่มในครั้งนี้อย่างมาก เขายังได้ดำเนินนโยบายทางการทูตเพื่อถ่วงดุลอำนาจและรักษาสถานะของเยอรมนีในทวีปยุโรป ทำให้เยอรมนียังคงความสงบสุขของบ้านเมืองไว้ได้แม้จะเกิดข้อขัดแย้งและสงครามรายล้อมประเทศ สำหรับนักประวัติศาสตร์ชาวบริติชอย่าง เอริก ฮ็อบส์บาว์ม เขาถือว่าบิสมาร์คคือ "ผู้ที่ยังคงไม่ขัดแย้งและได้รับชัยชนะบนเวทีเกมการทูตระดับพหุภาคีของโลกเป็นเวลาเกือบยี่สิบปีนับแต่ ค.ศ. 1871 [และ] อุทิศตนอย่างมากจนประสบความสำเร็จในการรักษาสันติภาพระหว่างชาติมหาอำนาจ"<ref>[[Eric Hobsbawm]], ''The Age of Empire: 1875–1914'' (1987), p. 312.</ref>
 
ในปี ค.ศ. 1862 [[จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 1 แห่งเยอรมนี|พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย]] ทรงแต่งตั้งบิสมาร์คเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งปรัสเซีย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาดำรงอยู่จนกระทั่งปี ค.ศ. 1890 (มีช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งในปี ค.ศ. 1873) บิสมาร์คเป็นผู้ริเริ่มสงครามขั้นแตกหักแต่กินระยะเวลาสั้น ๆ สามครั้งกับ[[สงครามชเลสวิชครั้งที่สอง|เดนมาร์ก]] [[สงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย|ออสเตรีย]] และ[[สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย|ฝรั่งเศส]] ที่ช่วยให้บรรดารัฐเยอรมันขนาดเล็กกว่ามาเข้าร่วมกับปรัสเซียเมื่อครั้งฝรั่งเศสแพ้สงคราม ต่อมาในปี ค.ศ. 1871 บิสมาร์คได้สถาปนาจักรวรรดิเยอรมันขึ้นและแต่งตั้งตนเองเป็น[[นายกรัฐมนตรีเยอรมนี|นายกรัฐมนตรีแห่งเยอรมนี]] ในขณะเดียวกันก็ยังคงอำนาจควบคุมในปรัสเซียไว้ด้วยเช่นเดิม ทั้งนี้นโยบายการเมืองแบบ ''เรอัลโพลีทิค'' ({{lang-de|realpolitik}}; การเมืองเชิงปฏิบัติ) ของเขาประกอบกับอำนาจอันมากมายในปรัสเซีย ส่งผลให้บิสมาร์คได้รับสมญานามว่า "นายกรัฐมนตรีเหล็ก" ส่วนภารกิจด้านการต่างประเทศ [[การสร้างเอกภาพเยอรมนี|การรวมชาติเยอรมัน]]และการเติบโตทางเศรษฐกิจอันรวดเร็วคือพื้นฐานที่ใช้เป็นนโยบายด้านการต่างประเทศของเขา บิสมาร์คไม่นิยมชมชอบลักธิลัทธิ[[จักรวรรดินิยม]] แต่ก็ยังจัดตั้ง[[จักรวรรดิอาณานิคมเยอรมัน|จักรวรรดิอาณานิคมโพ้นทะเล]]โดยไม่เต็มใจเนื่องจากถูกเรียกร้องจากทั้งฝ่ายชนชั้นสูงและสาธารณชนทั่วไป นอกจากนี้บิสมาร์คยังเล่นกลด้วยการจัดการประชุม การเจรจา และการร่วมเป็นพันธมิตรที่สอดประสานกันอย่างซับซ้อนหลายครั้ง ทั้งยังใช้ทักษะด้านการทูตในการดำรงสถานะของเยอรมนีและเพื่อถ่วงดุลอำนาจในทวีปยุโรปให้เกิดสันติสุขตลอดช่วงคริสต์ทศวรรษ 1870 และ 1880 ได้สำเร็จ
 
ไม่เพียงด้านการทูตและการต่างประเทศเท่านั้น บิสมาร์คยังเป็นปรมาจารย์ด้านการเมืองในประเทศบ้านเกิด เขาคือบุคคลที่ริเริ่ม[[รัฐสวัสดิการ]]ขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกสมัยใหม่ มีเป้าหมายเพื่อดึงมวลชนจากชนชั้นแรงงานให้มาเข้าร่วมกับฝ่ายของเขา มิเช่นนั้นแล้วมวลชนเหล่านี้อาจไปเข้าร่วมกับฝ่ายสังคมนิยมซึ่งเป็นศัตรูของเขาได้<ref>Steinberg, 2011, pp.8, 424, 444; Bismarck specifically referred to Socialists, among others, as "Enemies of the Reich".</ref> ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1870 เขาได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายเสรีนิยม (ผู้ชื่นชอบอัตราภาษีศุลกากรระดับต่ำและต่อต้านศาสนจักรคาทอลิก) และต่อสู้กับศาสนจักรคาทอลิกที่ซึ่งถูกขนานนามว่า ''คุลทูร์คัมพฟ์'' ({{lang-de|Kulturkampf}}; การต่อสู้ทางวัฒนธรรม) แต่พ่ายแพ้ โดยฝ่ายศาสนจักรตอบโต้ด้วยการจัดตั้งพรรคกลาง (Centre Party; Zentrum) อันทรงพลังและใช้สิทธิในการออกเสียงทั่วไปของเพศชายมาจัดตั้งเป็นฐานคะแนนเสียงสำหรับที่นั่งในสภา ฯ ด้วยเหตุนี้บิสมาร์คจึงกลับลำท่าทีของตนเอง, ล้มเลิกปฏิบัติการคุลทูร์คัมพฟ์, ตัดขาดกับฝ่ายเสรีนิยม, ประกาศขึ้นอัตราภาษีศุลกากรเพื่อปกป้องธุรกิจในประเทศ และร่วมเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับพรรคกลางเพื่อต่อกรกับฝ่าย[[สังคมนิยม]] นอกจากนี้บิสมาร์คยังเป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาใน[[ลูเทอแรน|นิกายลูเทอแรน]]อย่างมาก ทั้งยังจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ของตนผู้ซึ่งมีทัศนะขัดแย้งกับเขา แต่ในท้ายที่สุดก็ทรงโอนอ่อนและสนับสนุนเขาจากคำแนะนำของพระมเหสีและพระรัชทายาท ในขณะนั้นรัฐสภา ''ไรชส์ทาค'' มีฐานะเป็นรัฐสภาแห่งเยอรมนีและมีสมาชิกรัฐสภาได้รับเลือกจากสาธารณชนเพศชายผู้มีสิทธิ์ออกเสียง รัฐสภานี้ไม่มีอำนาจในการควบคุมนโยบายของรัฐบาลมากนัก ดังนั้นบิสมาร์คผู้ไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยจึงปกครองผ่านระบบเจ้าขุนมูลนายที่แข็งแกร่งและได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี อันประกอบไปด้วยขุนนางศักดินา ''ยุนเคอร์'' ที่สืบทอดกันมาแต่สมัยก่อนผู้เป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมาก ในรัชกาลของพระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 เขาเป็นผู้ควบคุมกิจการภายในและกิจการการต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งเมื่ออายุ 75 ปี โดย[[จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี|จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2]] ในปี ค.ศ. 1890