ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Potapt (คุย | ส่วนร่วม)
ย้อนการแก้ไขที่ 6708021 สร้างโดย 223.204.250.118 (พูดคุย)
...
บรรทัด 1:
{{รวมไป|พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช}}
นับตั้งแต่[[พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช]]เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็น[[ประมุขแห่งรัฐ|ประมุข]]แห่ง[[ประเทศไทย]] เป็นต้นมา พระองค์ได้ทรงประกอบ'''พระราชกรณียกิจ'''ในด้านต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์แก่ชาวไทยตลอดพระชนมายุของพระองค์ โดยพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ คือ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ ของประเทศ ดังในปฐมพระบรมราชโองการในระหว่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ว่า "''เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม "''
 
ในปี พ.ศ. 2539 จากการที่พระองค์ทรงงานเพื่อประชาชนอย่างหนัก จึงได้มีการลงนามโดยประชาชนชาวไทยเพื่อถวายสมัญญานามให้ทรงเป็น "[[รายพระนามกษัตริย์ที่ได้รับสมัญญานามมหาราช|มหาราช]]"<ref>[http://power.manager.co.th/69-84.html|พระบรมเดชานุภาพแห่งรัชกาลที่ 9]</ref>
 
== พระราชกรณียกิจด้านการเกษตรและการยกระดับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ==
การเกษตรนั้นถือได้ว่าเป็นทั้งรากฐานและชีวิตสำหรับประเทศของเรา เพราะคนไทยเราส่วนใหญ่เป็นผู้มีอาชีพทางเกษตรกรรม. ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นเสมอมาว่า วิธีการพัฒนาที่เหมาะสมแก่ประเทศเราอย่างยิ่ง ก็คือจะต้องทำนุบำรุงเกษตรกรรมทุกสาขาให้พัฒนาก้าวหน้า เพื่อยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรทุกระดับให้สูงขึ้น{{อ้างอิง}}
ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริ วันพฤหัสบดี ที่ 23 กรกฎาคม 2541
 
ด้านการเกษตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสนใจด้านนี้ พระองค์ได้เสด็จเยี่ยม ไต่ถามความทุกข์สุขของประชาชน และรับฟังข้อปัญหาเกิดเป็นโครงการตามพระราชดำริต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการชลประทาน การพัฒนาดิน การวิจัยพันธุ์พืชและปศุสัตว์ เป็นต้น ดังหัวข้อต่อไปนี้
 
=== ทรัพยากรน้ำ ===
ทรัพยากรน้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งต่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร พระราชดำรัสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยพระราชทานแก่ คณะผู้อำนวยการสำนักงาน คณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ว่า
 
{{คำพูด|หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตนั้นอยู่ที่น้ำ ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้
 
|พระบรมราโชวาท <ref>พระบรมราโชวาท</ref>
 
พระราชทานแก่คณะผู้อำนวยการสำนักงาน คณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
 
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2529}}
 
โครงการตามพระราชดำริของพระองค์ มีทั้งการแก้ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาอุทกภัย รวมไปถึงการบำบัดน้ำเสีย โครงการพัฒนาแหล่งน้ำมีทั้งโครงการขนาดใหญ่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาทั้งภัยแล้งและน้ำท่วมได้ เช่น [[เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์]] [[เขื่อน]]ดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่[[จังหวัดลพบุรี]] จนถึงโครงการขนาดกลางและเล็กจำพวก [[ฝาย]] [[อ่างเก็บน้ำ]] โดยพระองค์ทรงคำนึงถึงลักษณะของภูมิประเทศ สภาพแหล่งน้ำ ความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจ ประชาชนที่ได้รับประโยชน์และผลกระทบจากโครงการ มาเป็นหลักในการพิจารณา พระองค์ได้ทรงวิจัยและริเริ่ม[[โครงการฝนหลวง]] เพื่อช่วยบรรเทาภัยแล้งสำหรับพื้นที่นอกเขตชลประทาน
 
ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลที่ประสบปัญหาน้ำท่วม และน้ำเน่าเสียในคูคลอง มีพระราชดำริเรื่อง[แก้มลิง] ควบคุมการระบายน้ำจาก[[แม่น้ำเจ้าพระยา]] [[แม่น้ำท่าจีน]] ลำคลองต่าง ๆ ลงสู่[อ่าวไท]]ตามจังหวะการขึ้นลงของระดับน้ำทะเล ทั้งยังเป็นการใช้น้ำดีไล่น้ำเสียออกจากคลองได้อีกด้วย เครื่องกลเติมอากาศ [[กังหันชัยพัฒนา]] ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำโดยการเพิ่ม[[ออกซิเจน]] เป็นสิ่งประดิษฐ์หนึ่งของพระองค์ที่ได้รับสิทธิบัตรจาก [[กรมทรัพย์สินทางปัญญา]] [[กระทรวงพาณิชย์]] เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2536
 
=== ทรัพยากรดิน ===
;การ[[แกล้งดิน]]
 
แกล้งดิน เป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เกี่ยวกับการแก้ปัญหาดินเปรี้ยว หรือดินเป็นกรด โดยมีการขังน้ำไว้ในพื้นที่จนกระทั่งเกิดปฏิกิริยาเคมีทำให้ดินเปรี้ยวจัด จนถึงที่สุด แล้วจึงระบายน้ำออกและปรับสภาพฟื้นฟูดินด้วยปูนขาว จนกระทั่งดินมีสภาพดีพอที่จะใช้ในการเพาะปลูกได้
 
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในเขตจังหวัดนราธิวาส เมื่อปี พ.ศ. 2524 ทรงพบว่า ดินในพื้นที่พรุที่มีการชักน้ำออก เพื่อจะนำที่ดินมาใช้ทำการเกษตรนั้น แปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด ทำให้เพาะปลูกไม่ได้ผล จึงมีพระราชดำริให้ส่วนราชการต่าง ๆ พิจารณาหาแนวทางในการปรับปรุงพื้นที่พรุที่มีน้ำแช่ขังตลอดปีให้เกิด ประโยชน์ในทางการเกษตรมากที่สุด และให้คำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ด้วย การแปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด เนื่องจากดินมีลักษณะเป็นเศษอินทรียวัตถุ หรือซากพืชเน่าเปื่อยอยู่ข้างบน และมีระดับความลึก 1 - 2 เมตร เป็นดินเลนสีเทาปนน้ำเงิน ซึ่งมีสารประกอบกำมะถัน ที่เรียกว่า สารประกอบไพไรท์ (Pyrite : FeS2) อยู่มาก ดังนั้น เมื่อดินแห้ง สารไพไรท์จะทำปฏิกิริยากับอากาศ ปลดปล่อยกรดกำมะถันออกมา ทำให้ดินแปรสภาพเป็นดินกรดจัดหรือเปรี้ยวจัด ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จึงได้ดำเนินการสนองพระราชดำริโครงการ " แกล้งดิน " เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของดิน เริ่มจากวิธีการ " แกล้งดินให้เปรี้ยว " คือทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป เพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดิน ซึ่งจะไปกระตุ้นให้สารไพไรท์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ปลดปล่อยกรดกำมะถันออกมา ทำให้ดินเป็นกรดจัดจนถึงขั้น " แกล้งดินให้เปรี้ยวสุดขีด " จนกระทั่งถึงจุดที่พืชไม่สามารถเจริญงอกงามได้ จากนั้นจึงหาวิธีการปรับปรุงดินดังกล่าวให้สามารถปลูกพืชได้ วิธีการแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวจัดตามแนวพระราชดำริ คือควบคุมระดับน้ำใต้ดิน เพื่อป้องกันการเกิดกรดกำมะถัน จึงต้องควบคุมน้ำใต้ดินให้อยู่เหนือชั้นดินเลนที่มีสารไพไรท์อยู่ เพื่อมิให้สารไพไรท์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนหรือถูกออกซิไดซ์
 
จากการทดลอง ทำให้พบว่า วิธีการปรับปรุงดินตามสภาพของดินและความเหมาะสม มีอยู่ 3 วิธีการด้วยกัน คือ
* ใช้น้ำชะล้างความเป็นกรด เพราะเมื่อดินหายเปรี้ยว จะมีค่า pH เพิ่มขึ้น หากใช้ปุ๋ยไนโตรเจนและฟอสเฟต ก็จะทำให้พืชให้ผลผลิตได้
* ใช้ปูนมาร์ลผสมคลุกเคล้ากับหน้าดิน
* ใช้ทั้งสองวิธีข้างต้นผสมกัน
 
=== การปลูก[[หญ้าแฝก]] ===
 
=== พันธุ์พืชและสัตว์ ===
ทรงส่งเสริมการเลี้ยง[[ปลานิล]] ทรงจัดตั้ง[[โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา]] เพื่อวิจัยพันธุ์ข้าว พันธุ์พืชและปศุสัตว์
 
=== การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ===
การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การผลิต[[เอทานอล]] [[แก๊สโซฮอล์]]และ[[ไบโอดีเซล]] เป็นต้น
 
=== เกษตรทฤษฎีใหม่ ===
{{บทความหลัก|ทฤษฎีใหม่}}
 
=== เศรษฐกิจพอเพียง ===
{{บทความหลัก|เศรษฐกิจพอเพียง}}
 
== พระราชกรณียกิจด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ==
พระองค์ทรงใช้ประสบการณ์และแนวพระราชดำริ โครงการหลวงในการพัฒนาและวิจัย พระราชทานทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยไปศึกษาต่อต่างประเทศ เพื่อนำกลับมาพัฒนาประเทศ
 
== พระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุข ==
[[ไฟล์:ในหลวงประทับพื้น.jpg|thumb]]
 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความห่วงใยประชาชนชาวไทยในทุกด้าน โดยเฉพาะในด้าน'''[[สุขภาพ]][[อนามัย]]''' ซึ่งพระองค์ทรงถือว่าปัญหาด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนนั้น เป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข ดังพระราชดำรัสที่ว่า ''ถ้าคนเรามีสุขภาพเสื่อมโทรม ก็จะไม่สามารถพัฒนาชาติได้ เพราะทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติ ก็คือพลเมืองนั่นเอง'' พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วง และเอื้ออาทรต่อทุกข์สุขของพสกนิกรอย่างจริงจัง โดยเฉพาะความทุกข์ของไพร่ฟ้าจากพยาธิภัย ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรตามท้องที่ต่างๆ ทุกครั้ง พระองค์จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีคณะแพทย์ ทั้งแพทย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากโรงพยาบาลต่างๆ และแพทย์อาสาสมัคร โดยเสด็จพระราชดำเนินไปในขบวนอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะได้รักษาผู้ป่วยไข้ได้ทันที นอกเหนือจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังได้ริเริ่มหลายโครงการด้านการแพทย์และสาธารณสุข ดังนี้
 
* โครงการหน่วยแพทย์พระราชทาน
* โครงการแพทย์หลวงเคลื่อนที่พระราชทาน
* โครงการแพทย์พิเศษตามพระราชประสงค์
 
* หน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่พระราชทาน
* โครงการศัลยแพทย์อาสาราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย
* โครงการแพทย์ หู คอ จมูก และโรคภูมิแพ้พระราชทาน
* โครงการอบรมหมอหมู่บ้านในพระราชประสงค์
* หน่วยงานฝ่ายคนไข้ ในกองราชเลขานุการ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ
 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราโชวาทแก่ผู้สำเร็จการศึกษาสาขาแพทยศาสตร์ตอนหนึ่งว่า
{{คำพูด|จึงใคร่ขอร้องให้ทุก ๆ คนตั้งใจ และพยายามปฏิบัติหน้าที่ให้ได้ผลสมบูรณ์จริง ๆ อย่าปล่อยให้กำลังของชาติต้องเสื่อมถอยลงเพราะประชาชนเสียสุขภาพอนามัย <ref>พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาของมหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๒๒ </ref>}}
นับเป็นพระราชดำรัสที่แสดงถึงความตั้งพระทัยในการแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพอนามัยของราษฎรอย่างแท้จริง ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยึดมั่นที่จะสืบทอดพระราชปณิธานของ[[สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก|สมเด็จพระบรมราชชนก]] ''พระบิดาแห่งการแพทย์ไทย'' และ[[สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี|สมเด็จพระบรมราชชนนี]] ''พระมารดาของการแพทย์ชนบท'' ในการที่จะให้ประชาชนชาวไทยได้มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติสืบไป
 
== พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา ==
[[ไฟล์:The king and educational activity.jpg|thumb]]
[[ไฟล์:The king gives a fund.jpg|thumb]]
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักดีว่าการศึกษาของเยาวชนนั้นเป็นพื้นฐานอันสำคัญของประเทศชาติ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า พระราชทานพระราชทรัพย์จัดตั้งมูลนิธิอานันทมหิดลให้เป็นทุนสำหรับการศึกษาในแขนงวิชาต่างๆเพื่อให้นักศึกษาได้มีทุนออกไปศึกษาหาความรู้ต่อ ดังพระราชดำรัสที่ว่า
 
{{คำพูด|การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติ และคุณธรรมของบุคคล หากสังคมและบ้านเมืองใดให้การศึกษาที่ดีแก่เยาวชนได้อย่างครบถ้วนในทุกๆ ด้านแล้ว สังคมและบ้านเมืองนั้นก็จะมีพลเมืองที่มีคุณภาพ สามารถดำรงรักษาความเจริญมั่นคงของประเทศชาติไว้ และพัฒนาก้าวหน้าต่อไปโดยตลอด <ref>พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะครูและนักเรียน ณ ศาลาดุสิดาลัย เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๔</ref>}} พระองค์จึงมีพระราชดำริริเริ่มโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ดังนี้
 
=== โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ ===
[[โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์]]เป็นโรงเรียนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้การอุปถัมป์ในด้านต่างๆ เช่น ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ รวมทั้งเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนและพระราชทานพระบรมราโชวาทเพื่อสนับสนุนและเป็นกำลังใจแก่[[ครู]]และ[[นักเรียน]]ของโรงเรียน โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์มีทั้ง[[โรงเรียนรัฐบาล]]และ[[โรงเรียนเอกชน]] ดังนี้
* [[โรงเรียนจิตรลดา]]
* [[โรงเรียนราชวินิต]]
* [[โรงเรียนวังไกลกังวล]]
* [[โรงเรียนราชประชานุเคราะห์]]
* โรงเรียนราชประชาสมาสัย
* [[โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์]]
* [[โรงเรียนเพื่อลูกหลานชนบท]]
* [[โรงเรียนร่มเกล้า]]
* [[โรงเรียนสงเคราะห์เด็กยากจน]]
* [[โรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์]]
* โรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือตามความจำเป็นเร่งด่วน
 
=== ทุนการศึกษาพระราชทาน ===
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบดีว่าเด็กและเยาวชนของไทยมิได้ขาดสติปัญญา หากแต่ด้อยโอกาสและขาดทุนทรัพย์สำหรับการศึกษา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อก่อตั้งกองทุนการศึกษาหลายขั้นหลายทุน ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ดังนี้
 
* ''ทุนพระราชทานเพื่อการศึกษาสงเคราะห์ '''มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์'''
 
* ''[[ทุนมูลนิธิอานันทมหิดล]]''
[[ไฟล์:The_king_and_anantamahidol_scholarship.jpg|thumb]]
 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดตั้ง[[มูลนิธิอานันทมหิดล]]ขึ้น เมื่อปี [[พ.ศ. 2502|พ.ศ. ๒๕๐๒]] โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพระราชทาน''ทุนมูลนิธิอานันทมหิดล'' แก่[[นิสิต]][[นักศึกษา]]ที่มีผลการเรียนดีเด่นในด้านต่างๆ ให้นิสิตนักศึกษาเหล่านั้นได้มีโอกาสไปศึกษาหาความรู้วิชาการชั้นสูงในต่างประเทศ และนำความรู้นั้นกลับมาใช้พัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
 
* ''ทุนเล่าเรียนหลวง''
* ''ทุนมูลนิธิภูมิพล''
* ''ทุนมูลนิธิราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ และมูลนิธิโรงเรียนราชประชาสมาสัย''
* ''ทุนนวฤกษ์''
* ''ทุนการศึกษาพระราชทานแก่นักเรียนเฉพาะกรณี''
 
=== โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ===
[[ไฟล์:Thai junior encyclopedia.JPG|thumb]]
[[โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน]]เริ่มดำเนินงานเมื่อปี พ.ศ. 2511 โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน[[รายการแขนงความรู้|สาขาวิชา]]ต่าง ๆ เพื่อเป็นการสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า
 
{{คำพูด|หนังสือประเภทสารานุกรมนั้น บรรจุสรรพวิชาการอันเป็นสาระไว้ครบทุกแขนง เมื่อมีความต้องการหรือพอใจจะเรียนรู้เรื่องใด ก็สามารถค้นหาอ่านทราบโดยสะดวก นับว่าเป็นหนังสือที่มีประโยชน์เกื้อกูลการศึกษาเพิ่มพูนปัญญาด้วยตนเองของประชาชนอย่างสำคัญ โดยเฉพาะในยามที่มีปัญหาการขาดแคลนครูและที่เล่าเรียนเช่นขณะนี้ หนังสือสารานุกรมจะช่วยคลี่คลายให้บรรเทาเบาบางลงได้เป็นอย่างดี<ref>พระราชดำริ พระราชทาน ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๒</ref>}}
 
ปัจจุบันโครงการฯ ได้จัดทำหนังสือสารานุกรมไทยที่บรรจุความรู้ใน 7 สาขาวิชา คือ [[วิทยาศาสตร์]] [[เทคโนโลยี]] [[สังคมศาสตร์]] [[มนุษยศาสตร์]] [[เกษตรศาสตร์]] [[แพทยศาสตร์]] และ[[คณิตศาสตร์]] ขณะนี้มีออกมาแล้ว 28 เล่ม โดยแต่ละเล่มได้จัดแบ่งเนื้อหาของแต่ละเรื่องออกเป็นสามระดับ เพื่อที่จะให้เยาวชนสามารถศึกษาค้นคว้าหาความรู้ได้ตามพื้นฐานของตน
 
=== พิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ===
[[ไฟล์:The_king_and_graduation_ceremony.jpg|thumb]]
ในทุกๆ ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว [[สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ]] และ[[พระบรมวงศานุวงศ์]]จะเสด็จพระราชดำเนินไปยัง[[สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย|สถาบันอุดมศึกษา]]ของรัฐ เพื่อพระราชทาน[[ปริญญาบัตร]]แก่ผู้สำเร็จการศึกษา แม้พระราชกรณียกิจนี้จะเป็นภาระแก่พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์มาก แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชกระแสรับสั่งให้คงพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ในปัจจุบันมี[[มหาวิทยาลัย]][[เอกชน]]เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จพระราชทานแทนพระองค์
 
== พระราชกรณียกิจด้านศาสนา ==
พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในการเปิดพระราชพิธีเนื่องในวโรกาสต่างๆอาทิเช่น พระราชพิธีบำเพ็ญการกุศล ทรงสนับสนุนให้มีการสร้างศาสนสถาน อีกทั้งยังทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกของทุกศาสนา ไม่ใช่เฉพาะแต่ศาสนาที่พระองค์ทรงนับถือ เนื่องจากทุกศาสนาต่างสอนให้คนเป็นคนดีและให้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นจำนวน45เล่ม
 
== พระราชกรณียกิจด้านความมั่นคงภายในประเทศ ==
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ [[9 มิถุนายน]] [[พ.ศ. 2489]] และได้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการในวันที่ [[5 พฤษภาคม]] [[พ.ศ. 2493]] พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการแก่พสกนิกรชาวไทยว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ตลอดระยะเวลา 60 ปีของการเป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้ทรงปกครองประเทศ พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าตลอดจนผู้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารต่างได้รับความร่วมเย็นเป็นสุขภายใต้พระบารมีและพระบรมเดชานุภาพเป็นที่ประจักษ์ของผู้คนทั้งหลาย พระองค์ได้เสด็จฯ เยี่ยมพสกนิกรไปทุกหนทุกแห่งได้ทรงพบผู้คนในระดับล่าง แลกเปลี่ยน รับรู้ และทรงเข้าใจในสภาพความเป็นอยู่ของคนเหล่านั้นและได้นำข้อเท็จจริงทั้งหลายอันนำมาซึ่งความทุกข์ยากต่างๆที่คนเหล่านั้นประสบมาหาแนวทางช่วยเหลือแก้ไข เป็นที่มาของโครงการพระราชดำริมากมายกว่าหนึ่งพันโครงการ พิสูจน์ให้เห็นถึงพระปฐมบรมราชโองการดังกล่าวว่า พระองค์ท่าน "ครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" อย่างแท้จริง
 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทุ่มเทพระวรกายและพระสติปัญญา ทรงประกอบพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ มากมาย โดยคำนึงถึงประโยชน์สุขของพสกนิกรเป็นหลัก ตลอดระยะเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติ พระองค์ทรงให้ทุกอย่างกับพสกนิกรและชาติบ้านเมือง ทรงงานอย่างหนักเสียสละประโยชน์สุขส่วนพระองค์ ตรากตรำพระวรกายอย่างไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก เพียงเพื่อมุ่งหวังให้พสกนิกรทั่วราชอาณาจักรมีความสงบร่มเย็นและมีความกินดีอยู่ดี พระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่พระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทยนั้น...ใหญ่หลวงนัก สมดังที่ได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"
 
ในวันที่ 19 สิงหาคม 2489 เมื่อกำหนดเวลาที่จะเสด็จฯ กลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์มาถึง ตลอดทางที่รถพระที่นั่งแล่นผ่านฝูงชนที่มาส่งเสด็จอย่างล้นหลาม ได้ทอดพระเนตรเห็นประชาชนที่แสดงความจงรักภักดี บางแห่งใกล้จนทอดพระเนตรเห็นดวงหน้าและแววตาชัด ที่บ่งบอกถึงความเสียขวัญอย่างใหญ่หลวง ทั้งเต็มไปด้วยความรักและห่วงใย อันเป็นภาพที่ทำให้อยากรับสั่งกับเขาทุกคน ถึงความหวังดีที่ทรงเข้าพระทัย และขอบใจเขาเช่นกัน ขวัญของคนเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าขาดกำลังใจ ถ้าขวัญเสียมีแต่ความหวาดระแวง ประเทศจะมีแต่ความอ่อนแอและแตกสลาย
 
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องถวายพระพร ก็มีเสียงหนึ่งที่ตะโกนแทรกมาเข้าพระกรรณว่า “ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน” ในขณะนั้นทรงนึกตอบในพระทัยว่า “ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร”
เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นภาพที่ติดอยู่ในพระราชหฤทัยจนไม่อาจทรงลืมได้ จากเดิมที่ทรงตัดสินพระทัยเพียงว่า จะทรงอยู่จนถึงวันพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพสมเด็จพระบรมเชษฐาเสร็จสิ้นเท่านั้น กลับทำให้ทรงได้คิดว่า ทรงมีหน้าที่เพื่อชาติ และถึงโอกาสแล้วที่ควรจะทรงทำหน้าที่เพื่อชาติและประชาชน ตามที่ทรงได้รับมอบมา ประชาชนจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัดสินพระทัยแน่วแน่ ที่จะอยู่ทำหน้าที่ตามที่ประชาชนพร้อมใจกันทูลเกล้าฯ ถวายพระราชภาระแสนยิ่งใหญ่
 
“ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา” จรดปลายปากกาเขียนไว้ในหนังสือ “ทำเป็นธรรม” เนื่องในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ ว่า ในการตัดสินพระทัยที่ทรงรับพระราชภาระจากสมเด็จพระบรมเชษฐาในครั้งแรก คงจะทรงรับเพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะพระพักตร์ในเวลาอันรวดเร็ว ที่จะต้องตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เอง ไม่มีใครที่จะถวายความเห็นได้ หันพระพักตร์ไปทางไหนก็ทรงพบแต่ความโศกเศร้า สมเด็จพระราชชนนีได้แต่ทรงพระกันแสง ไม่เสวย ไม่บรรทม แม้พระองค์เองก็แทบจะหมดพระสติ สิ่งที่ทรงรำลึกถึงคือ จะต้องทรงจัดงานพระบรมศพสมเด็จพระบรมเชษฐาให้สมพระเกียรติ อย่างไรก็ดี แม้จะทรงตัดสินพระทัยขึ้นครองราชย์ตามการกราบบังคมทูลเชิญของรัฐสภา แต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงมีอีกหนึ่งภารกิจสำคัญ นั่นคือ การเสด็จฯกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะนั้นจิตใจของประชาชนตกอยู่ในความเสียขวัญ ทรงถือเป็นมิ่งขวัญพระองค์เดียวที่ประชาชนจะยึดมั่นได้
 
พระราชนิพนธ์บันทึกประจำวันบางส่วนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวันเสด็จฯจากสยามสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คงพอจะสะท้อนให้เห็นถึงความรักของประชาชน ที่พร้อมใจส่งเสด็จอย่างมืดฟ้ามัวดิน
{{คำพูด|...วันที่ 19 สิงหาคม 2489 วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้นแล้ว ก็ไปยังวัดพระแก้วเพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกต และพระภิกษุสงฆ์ ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์ พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง 200 เมตร มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิด เมื่อมาเปิดดูภายหลังปรากฏว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมาก ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลาง ราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด ถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมา ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆว่า “อย่าละทิ้งประชาชน” อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ “ทิ้ง” ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะ “ละทิ้ง” อย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว...}}
 
เมื่อทรงตัดสินพระทัยแน่วแน่ว่า จะทรงดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศ จึงทรงมุ่งมั่นศึกษา เพื่อเตรียมพระองค์ให้พร้อมรับพระราชภารกิจ โดยทรงเปลี่ยนแนวทางการศึกษาใหม่เป็นรัฐศาสตร์กับนิติศาสตร์ อย่างไรก็ดี ทรงยืนกรานที่จะศึกษาจนสำเร็จก่อน แล้วค่อยเสด็จนิวัตประเทศไทย เพื่อประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
 
กระทั่งเดือนมีนาคม ปี 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จนิวัตประเทศไทย เพื่อร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระบรมเชษฐา หลังจากนั้นในวันที่ 28 เมษายน ปีเดียวกัน ความโศกสลดของปวงชนชาวไทยได้ทุเลาเบาบางลงบ้าง เมื่อทรงจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ พระอัครมเหสี และต่อมาได้รับการสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศขึ้นเป็น “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี” และแล้ววันที่ประชาชนชาวไทยรอคอยก็มาถึง เมื่อพระราชพิธีบรมราชาภิเษกถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตามโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระบรมมหาราชวัง ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 โดยครั้งนั้น มีพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ทรงหลั่งทักษิโณทก ตั้งพระราชสัตยาธิษฐานจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจปกครองราชอาณาจักรไทย โดยทศพิธราชธรรมจริยา ขณะประทับเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร
 
นับแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงยึดถือพระปฐมบรมราชโองการเป็นแนวทางแห่งการปกครองแผ่นดิน โดยทรงตั้งพระราชปณิธานว่า จะทรงร่วมรับมิว่าทุกข์หรือสุขของประชาชน เท่ากับทุกข์หรือสุขของพระองค์เอง จะทำความดี พัฒนานำความเจริญความสุขสวัสดีมาสู่ประเทศชาติอย่างแน่วแน่ และดีที่สุดที่จะทรงทำได้
 
อย่างไรก็ดี เนื่องจากความจำเป็นทางพระสุขภาพ ที่จะต้องทรงอยู่ในความดูแลของแพทย์ จึงตัดสินพระทัยเสด็จฯไปสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้ง พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2493 โดยหนึ่งปีหลังจากนั้น ได้ประสูติพระราชธิดาพระองค์แรกคือ “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี” ที่เมืองโลซานน์ แต่ด้วยหน้าที่และสมควรแก่เวลา ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริจะเสด็จฯ กลับเมืองไทย เพื่อทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงชน
 
วันที่ 2 ธันวาคม 2494 พระประมุขแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินี และพระราชธิดาองค์โต ได้เสด็จนิวัตเมืองไทยถาวร ท่ามกลางความปลื้มปิติยินดีของประชาชน ซึ่งมารอเฝ้าฯ แน่นขนัดตลอดเส้นทางการเสด็จฯ เมื่อทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น จึงทรงมั่นพระทัยว่า ประชาชนยังไม่ลืมพระองค์ และทุกคนพร้อมเป็นกำลังพระทัยแด่พระองค์เสมอ
 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงปล่อยเวลาให้ล่วงเลยโดยเปล่าประโยชน์ หลังเสด็จนิวัตประเทศไทยถาวรได้ไม่นาน ก็ทรงเริ่มศึกษาถึงแนวทางการพัฒนาประเทศตามที่ทรงตั้งพระทัยไว้ โดย “หัวหิน” เป็นแห่งแรกที่ทรงเริ่มสำรวจพื้นที่ ดิน น้ำ อาชีพ และความเป็นอยู่ของประชาชน เนื่องจากมีพระตำหนักที่เสด็จฯไปประทับแทบทุกปี ทรงเริ่มต้นทดลองพัฒนาจากตำบลที่ใกล้พระเนตรก่อน โดยได้ทรงบุกป่าฝ่าดงเข้าไปในหมู่บ้านทุรกันดาร
ระยะนั้น ทั้งสองพระองค์เสด็จออกแทบทุกวัน ทรงตระเวนไปแทบทุกตำบลจากหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี จากนั้น ก็เสด็จเยี่ยมราษฎรทั่วทุกภาค ทั้งภาคกลาง, อีสาน, เหนือ และใต้ แต่ละภาคจะเสด็จฯนานเป็นแรมเดือน โดยทุกภาคที่เสด็จฯผ่านมา ล้วนแต่ ทุรกันดารห่างไกลความเจริญ กระนั้น ทั้งสองพระองค์ก็ทรงปรับพระองค์ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่เคยทรงปริพระโอษฐ์บ่น และจะทรงปรึกษาหารือกันตลอดถึงสิ่งที่ทรงพบเห็นเพื่อหาทางแก้ไข และช่วยเหลือประชาชนของพระองค์ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
 
ตลอดระยะเวลา 60 ปีของการครองสิริราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงริเริ่มโครงการในพระราชดำริเพื่อการพัฒนาประเทศไว้มากมาย ทรงใช้เวลาศึกษาแผ่นดินไทย และรายละเอียดของพื้นดิน ภูมิประเทศหลักๆของแหล่งน้ำการเกษตร ความต้องการของประชาชน ตลอดจนการส่งเสริมอาชีพว่าถิ่นไหนเหมาะแก่การครองชีพอย่างไร โดยทรงทราบถึงความทุกข์ของประชาชนผ่านการถ่ายทอดจากปากสู่พระกรรณ และจากสายพระเนตรที่ทรงพบเห็นด้วยพระองค์เอง
 
ตั้งแต่เริ่มแรกเสด็จขึ้นครองราชย์จนถึงปัจจุบัน มีพระราชดำริให้จัดตั้งมูลนิธิ 7 มูลนิธิ และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริอีกกว่า 2,000 โครงการ โดยล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์และพัฒนาน้ำเป็นอันดับแรก รองลงมาก็คือดิน ธรณีวิทยา การเกษตรทั้งหลาย ตลอดจนการจัดสรรที่ดิน รวมถึงการอนุรักษ์และพัฒนาป่า โครงการที่มีชื่อเสียงได้รับการยอมรับทั่วโลก มีอาทิ “โครงการหลวง” กำเนิดขึ้นจากการที่ได้ทอดพระเนตรถึงปัญหาการปลูกฝิ่น และทำไร่เลื่อนลอยของชาวเขา จึงมีรับสั่งให้ทดลองหาพืชเมืองหนาวให้ชาวเขาปลูกแทนฝิ่น, “โครงการฝนหลวง” กำเนิดจากพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงห่วงใยในความทุกข์ยากของประชาชนในถิ่นทุรกันดาร ต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และเกษตรกรรม ทรงศึกษาค้นคว้าแนวทางการทำฝนหลวงด้วยพระองค์เอง ก่อนจะโปรดเกล้าฯให้ดำเนินการทดลองในท้องฟ้าจริงเป็นครั้งแรก ที่วนอุทยานเขาใหญ่ เมื่อปี 2512 ซึ่งสำนักสิทธิบัตรยุโรปได้ออกสิทธิบัตรถวาย นับเป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์แรกและพระองค์เดียวในโลก และล่าสุดที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงคือ โครงการพัฒนาคนตามแนวพระราชดำริ “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งได้พระราชทานเป็นแนวทางการพัฒนาคนอย่างยั่งยืน และเป็นหนทางแก้ไขวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ
 
ทั้งหลายทั้งปวงนี้คือ พระราชสัตยาอธิษฐานที่ทรงตั้งปณิธานมาตลอด 6 ทศวรรษการครองสิริราชสมบัติ พระองค์ไม่เพียงแต่จะเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก แต่ยังเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดในโลก
 
== พระราชกรณียกิจด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ==
{{ดูเพิ่มที่|พระราชกรณียกิจทรงเยือนต่างประเทศ ในรัชกาลที่ 9}}
[[ไฟล์:the king and foreign.jpeg|thumb]]
[[ไฟล์:ATrelations0018a-1.jpg|thumb]]
[[ไฟล์:king thai and king japan.jpeg|thumb]]
 
ในระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย[[สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ]] ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือน[[ประเทศ]]ต่างๆ ทั้งในทวีป[[เอเชีย]] [[ยุโรป]] และ[[อเมริกาเหนือ]] รวม 27 ประเทศ เพื่อเป็นการเจริญพระราชไมตรีกับบรรดามิตรประเทศเหล่านั้นให้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเพื่อนำความปรารถนาดีของประชาชนชาวไทยไปมอบให้กับประชาชนในประเทศต่างๆ โดยรายชื่อประเทศต่างๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเยือน มีตามลำดับดังนี้
 
* [[ประเทศเวียดนาม|ประเทศเวียดนามใต้]] ระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม - 21 ธันวาคม พ.ศ. 2502
* [[ประเทศอินโดนีเซีย|สาธารณรัฐอินโดนีเซีย]] ระหว่างวันที่ 8 กุมภาพันธ์ - 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503
* [[ประเทศพม่า|สหภาพพม่า]] ระหว่างวันที่ 2 มีนาคม - 5 มีนาคม พ.ศ. 2503
* [[สหรัฐอเมริกา]] ระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน - 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2503
* [[ประเทศอังกฤษ]] ระหว่างวันที่ 19 กรกฎาคม - 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2503
* [[ประเทศเยอรมนี|สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน]] ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม พ.ศ. 2503
* [[ประเทศโปรตุเกส|สาธารณรัฐโปรตุเกส]] ระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม - 25 สิงหาคม พ.ศ. 2503
* [[ประเทศสวิตเซอร์แลนด์]] ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2503
* [[ประเทศเดนมาร์ก]] ระหว่างวันที่ 6 กันยายน - 9 กันยายน พ.ศ. 2503
* [[ประเทศนอร์เวย์]] ระหว่างวันที่ 19 กันยายน - 21 กันยายน พ.ศ. 2503
* [[ประเทศสวีเดน]] ระหว่างวันที่ 23 กันยายน - 25 กันยายน พ.ศ. 2503
* [[ประเทศอิตาลี|สาธารณรัฐอิตาลี]] ระหว่างวันที่ 28 กันยายน - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2503
* [[นครรัฐวาติกัน]] เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2503
* [[ประเทศเบลเยียม]] ระหว่างวันที่ 4 ตุลาคม - 7 ตุลาคม พ.ศ. 2503
* [[ประเทศฝรั่งเศส|สาธารณรัฐฝรั่งเศส]] ระหว่างวันที่ 11 ตุลาคม - 14 ตุลาคม พ.ศ. 2503
* [[ประเทศลักเซมเบิร์ก]] ระหว่างวันที่ 17 ตุลาคม - 19 ตุลาคม พ.ศ. 2503
* [[ประเทศเนเธอร์แลนด์]] ระหว่างวันที่ 24 ตุลาคม - 27 ตุลาคม พ.ศ. 2503
* [[ประเทศสเปน]] ระหว่างวันที่ 3 พฤศจิกายน - 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503
* [[ประเทศปากีสถาน|สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน]] ระหว่างวันที่ 11 มีนาคม - 22 มีนาคม พ.ศ. 2505
* [[ประเทศมาเลเซีย|สหพันธรัฐมลายา]] ระหว่างวันที่ 20 มิถุนายน - 27 มิถุนายน พ.ศ. 2505
* [[ประเทศนิวซีแลนด์]] ระหว่างวันที่ 18 สิงหาคม - 26 สิงหาคม พ.ศ. 2505
* [[ประเทศออสเตรเลีย]] ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม - 12 กันยายน พ.ศ. 2505
* [[ประเทศญี่ปุ่น]] ระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม - 5 มิถุนายน พ.ศ. 2506
* [[ประเทศจีน|สาธารณรัฐจีน]] ระหว่างวันที่ 5 - 8 มิถุนายน พ.ศ. 2506
* [[ประเทศฟิลิปปินส์|สาธารณรัฐฟิลิปปินส์]] ระหว่างวันที่ 9 กรกฎาคม - 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2506
* [[ประเทศออสเตรีย|สาธารณรัฐออสเตรีย]] ระหว่างวันที่ 29 กันยายน - 5 ธันวาคม พ.ศ. 2507
* สาธารณรัฐเยอรมัน ระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม - 28 สิงหาคม พ.ศ. 2509 (เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งที่สอง)
* สาธารณรัฐออสเตรีย ระหว่างวันที่ 29 กันยายน - 2 ตุลาคม พ.ศ. 2509 (เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งที่สอง)
* [[ประเทศอิหร่าน]] ระหว่างวันที่ 23 เมษายน - 30 เมษายน พ.ศ. 2510
* สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 6 มิถุนายน - 20 มิถุนายน พ.ศ. 2510 (เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งที่สอง)
* [[ประเทศแคนาดา]] ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน - 24 มิถุนายน พ.ศ. 2510
 
จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มิได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอีก เพราะทรงเห็นว่าพระราชภารกิจภายในประเทศนั้นมีมากมาย อย่างไรก็ตาม หากประมุขหรือรัฐบาลของประเทศใดกราบบังคมทูลเชิญให้เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยือน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระราชโอรส หรือพระราชธิดา เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี รวมทั้งเพื่อทอดพระเนตรวิทยาการ และศิลปวัฒนธรรมของชาตินั้น ๆ
 
จนกระทั่งวันที่ 8 มีนาคม - 9 มีนาคม พ.ศ. 2537 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินเยือน[[ประเทศลาว]] พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และ[[สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี|สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ]] ซึ่งนับเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอีกครั้ง หลังจากที่ว่างเว้นมาเป็นเวลานานกว่า 30 ปี
 
พระราชกรณียกิจด้านการต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น รวมไปถึงการเสด็จพระราชดำเนินออกให้การต้อนรับราชอาคันตุกะจากประเทศต่างๆ ที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้บรรดา[[ทูต|ทูตานุทูต]]เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวาย[[สาส์นตราตั้ง]]ในการเข้ามารับตำแหน่งในประเทศไทย และถวายบังคมทูลลาเมื่อครบวาระ
 
== พระราชกรณียกิจด้านศิลปวัฒนธรรม ==
* ทรงตั้งกรมมหรสพขึ้น เพื่อฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทย
* ทรงตั้งโรงละครหลวงขึ้นเพื่อส่งเสริมการแสดงละครในหมู่ข้าราชบริพาร
* ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกแบบอาคารสมัยใหม่เป็นแบบทรงไทย เช่น ตึกอักษรศาสตร์ ซึ่งเป็นอาคารเรียนหลังแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาคารโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
 
== พระราชกรณียกิจด้านการกีฬา ==
[[เรือใบ]]เป็นกีฬาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเป็นพิเศษ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของประเทศไทยลงแข่งเรือใบใน[[กีฬาแหลมทอง]]ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 9-16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยทรงเข้าค่ายฝึกซ้อมตามโปรแกรมการฝึกซ้อม และทรงได้รับเบี้ยเลี้ยงในฐานะนักกีฬา เช่นเดียวกับนักกีฬาคนอื่น ๆ ในที่สุด ด้วยพระปรีชาสามารถ พระองค์ทรงชนะเลิศเหรียญทอง และทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเหรียญทอง จากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ท่ามกลางความปลื้มปีติของพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ และเป็นที่ประจักษ์แก่ชนทั่วโลก
ทำให้พระอัจฉริยภาพทางกีฬาเรือใบของพระองค์ที่ยอมรับกันทั่วโลก พระองค์ยังได้ทรงออกแบบและประดิษฐ์เรือใบยามว่างออกมาหลายรุ่น พระองค์พระราชทานนามเรือใบประเภทม็อธ (Moth) ที่ทรงสร้างขึ้นว่า [[เรือใบมด]] [[เรือใบซูเปอร์มด]] และ [[เรือใบไมโครมด]] ถึงแม้ว่าเรือใบลำสุดท้ายที่พระองค์ทรงต่อคือ เรือโม้ค (Moke) เมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 เรือใบซูเปอร์มดยังถูกใช้แข่งขันในระดับนานาชาติที่จัดในประเทศไทยหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายคือเมื่อ พ.ศ. 2528 ในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 13
 
นอกเหนือจากกีฬาเรือใบแล้ว ยังทรงเล่นกีฬาประเภทอื่น ๆ เช่น แบดมินตัน เทนนิส ยิงปืน เป็นต้น
 
== อ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง}}
* [http://www.onec.go.th/theking/index.htm ในหลวงกับการศึกษาไทย]
* [http://kanchanapisek.or.th/kp11 มูลนิธิอานันทมหิดล]
* [http://kanchanapisek.or.th/kp6 โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน]
* [http://www.thaisnews.com/prdnews/king/tamroy/ ตามรอยพระยุคลบาท โดยกรมประชาสัมพันธ์]
* [http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9490000074086 “เรือใบตระกูลมด” ผลงานจากฝีพระหัตถ์และแบบฉบับเฉพาะพระองค์]
 
== หนังสืออ่านเพิ่ม ==
* วารี อัมไพรวรรณ, '''พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (ในหลวงของเรา)''', ภัทรินทร์, 2537. ISBN 9745070955.
* จิระนันท์ พิตรปรีชา, '''รู้ รัก สามัคคี''', ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), 2540. ISBN 9748956466.
* '''พระผู้ทรงเป็นจอมทัพไทย : เนื่องในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 5 รอบและเฉลิมรัชมังคลาภิเษก ''', กรมกิจการพลเรือนทหารบก, 2531.
* '''พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช กับการศึกษาไทย''', สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2530.
* Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorn (translated by Pongpet Mekloy), '''A Regal Example''', The Post Publishing, 1999. ISBN 9742280002.
 
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* [http://kanchanapisek.or.th/activities/ พระราชกรณียกิจ] จากเครือข่ายกาญจนาภิเษก
* [http://www.thaimonarchy.com ThaiMonarchy.com]
 
{{พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช}}
[[หมวดหมู่:รัชกาลที่ 9]]