ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ทฤษฎีหน้าต่างแตก"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Pilarbini (คุย | ส่วนร่วม)
added references
Pilarbini (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 8:
[[:en:James_Q._Wilson|เจมส์ คิว วิลสัน]] และ [[:en:George_L._Kelling|จอร์จ แอล เคลลิ่ง]] ได้เริ่มใช้ทฤษฎีหน้าต่างแตกเป็นครั้งแรกในบทความชื่อว่า'' หน้าต่างแตก'' ในนิตยสาร ''[[:en:The_Atlantic_Monthly|เดอะ แอตแลนติก มันท์ลี่]] ฉบับเดือนมีนาคม ปีพ.ศ. 2525 ''<span class="mw-ref" id="cxcite_ref-FOOTNOTEWilsonKelling1982_1-1" rel="dc:references" contenteditable="false" data-sourceid="cite_ref-FOOTNOTEWilsonKelling1982_1-1">[[#cite_note-FOOTNOTEWilsonKelling1982-1|<span class="mw-reflink-text"><nowiki>[1]</nowiki></span>]]</span><span class="mw-ref" id="cxcite_ref-FOOTNOTEWilsonKelling1982_1-1" rel="dc:references" contenteditable="false" data-sourceid="cite_ref-FOOTNOTEWilsonKelling1982_1-1"></span> โดยชื่อหัวข้อมาจากตัวอย่างต่อไปนี้ 
 
ก่อนการเริ่มใช้ของทฤษฏีนี้โดยวิลสันและเคลลิ่ง [[:en:Philip_Zimbardo|ฟิลลิป ซิมบาร์โด]] นักนักจิตวิทยาจากสแตนฟอร์ด ทำการทดลองเพื่อทดสอทฤษฎีหน้าต่างแตกในปีพ.ศ. 2512 ซิมบาร์โดได้นำรถซึ่งไม่มีป้ายทะเบียนและเปิดฟากระโปรงไว้ไปจอดนิ่งๆไว้ใน ย่าน[[บร็องซ์]]หนึ่งคัน และที่[[:en:Palo_Alto,_California|พาโล อัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย]] รถในย่านบร็องซ์นั้นถูกโจมตีในเวลาไม่กี่นาที ซิมบาร์โดได้บันทึกว่า "ผู้ทำลายทรัพย์สิน" กลุ่มแรกคือครอบครัวที่มีพ่อ แม่ และลูกชายวัยเยาว์ ซึ่งนำหม้อน้ำและแบตเตอรี่ออกมา ไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจากนำไปจอด ของมีค่าทั้งหมดถูกถอดออกไปจากรถ จากนั้นกระจกได้ถูกตีจนแตก ชิ้นส่วนหลุดออก เบาะที่นั่งขาดวิ่น ส่วนเด็กๆนั้นใช้รถเป็นสนามเด็กเล่น ในขณะเดียวกัน รถแบบเดียวกันที่ถูกจอดที่พาโล อัลโต นั้นไม่มีใครแตะต้องเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์จนกระทั่งซิมบาร์โดเองนำค้อนไปทุบรถคันนั้น จากนั้นไม่นานจึงมีคนมาร่วมทำลาย ซิมบาร์โดสังเกตว่าผู้ใหญ่ที่เป็น "ผู้ทำลายทรัพย์สิน" ส่วนใหญ่นั้นเป็นคนผิวขาวที่แต่งตัวดี ตัดผมเรียบร้อย และดูเหมือนคนที่ได้รับการเคารพในสังคม เชื่อกันว่าในย่านที่อยู่อาศัยเช่นบร็องซ์ ซึ่งมีประวัติของการทิ้งร้างทรัพย์สินสูงกว่าที่อื่นนั้น มีการทำลายทรัพย์สินเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าที่อื่นด้วยความที่ชุมชนนั้นดูไม่แยแส เหตุการณ์คล้ายกันอาจเกิดขึ้นในชุมชนไหนก็ได้เมื่อสัมผัสของการเอาใจใส่และหน้าที่ของความเป็นพลเมืองดี ถูกทำให้ลดลงโดยการกระทำที่สื่อถึงการไม่แยแส<ref name=":0" /> <span class="mw-ref" id="cxcite_ref-FOOTNOTEWilsonKelling1982_1-2" rel="dc:references" contenteditable="false" data-sourceid="cite_ref-FOOTNOTEWilsonKelling1982_1-2"></span>บทความได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางและยังถูกใช้อ้างอิง<ref>Kelling, George; Coles, Catherine, ''Fixing Broken Windows: Restoring Order and Reducing Crime in Our Communities'',<nowiki>ISBN 0-684-83738-2</nowiki>.</ref>
 
ผู้แต่งหนังสือได้กล่าวไว้ว่า แผนการที่ประสบความสำเร็จในการป้องกันการทำลายทรัพย์สิน คือการจัดการกับปัญหาเมื่อมันยังเล็กอยู่ ซ่อมหน้าต่างที่แตกในเวลาอันสั้น ภายในประมาณซักหนึ่งวันหรือหนึ่งสัปดาห์ แล้วแนวโน้มที่กระจกจะแตกเพิ่มขึ้นหรือทรัพย์สินจะถูกทำลายจะน้อยลงมาก ทำความสะอาดทางเท้าทุกวัน แล้วแนวโน้มของขยะสะสมจะน้อยลง (หรือการทิ้งขยะลงบนทางเท้าจะน้อยลงมาก) สิ่งเหล่านี้จะทำให้ปัญหามีโอกาศน้อยลงที่จะบานปลายและยังทำให้ผู้อยู่อาศัยที่ "น่านับถือ" ไม่ย้ายที่อยู้หนีไป
บรรทัด 15:
 
== แนวคิดของ "ความกลัว" ==
ระนาสิงห์กล่าวว่าแนวคิดของความกลัวเป็นส่วนประกอบสำคัญของทฤษฎีหน้าต่างแตกเพราะความกลัวนั้นเป็นพื้นฐานของทฤษฎีนี้<ref>Ranasinghe, P (2012), "Jane Jacobs' framing of public disorder and its relation to the 'broken windows' theory", ''Theoretical Criminology'' '''16''' (1): 63–84, [[doi:10.1177/1362480611406947]].</ref><span class="mw-ref" id="cxcite_ref-FOOTNOTERanasinghe201265_10-0" rel="dc:references" contenteditable="false" data-sourceid="cite_ref-FOOTNOTERanasinghe201265_10-0">[[#cite_note-FOOTNOTERanasinghe201265-10|<span class="mw-reflink-text"><nowiki>[10]</nowiki></span>]]</span><span class="mw-ref" id="cxcite_ref-FOOTNOTERanasinghe201265_10-0" rel="dc:references" contenteditable="false" data-sourceid="cite_ref-FOOTNOTERanasinghe201265_10-0"></span> เธอยังกล่าวอีกว่าความวุ่นวายในสังคมนั้น "...เป็นปัญหาเพราะว่ามันเป็นแหล่งที่มาของความกลัว"<ref name=":0" /> <span class="mw-ref" id="cxcite_ref-FOOTNOTERanasinghe201267_11-0" rel="dc:references" data-sourceid="cite_ref-FOOTNOTERanasinghe201267_11-0" contenteditable="false"><span class="mw-reflink-text"><nowiki>[11]</nowiki></span></span><span class="mw-ref" id="cxcite_ref-FOOTNOTERanasinghe201267_11-0" rel="dc:references" contenteditable="false" data-sourceid="cite_ref-FOOTNOTERanasinghe201267_11-0"></span>ความกลัวจะเพิ่มขึ้นเมื่อความวุ่นวายนั้นถูกมองว่ามากขึ้น สร้างเป็นรูปแบบทางสังคมที่ทำให้ชุมชนแตกแยก และทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสิ้นหวังและถูกตัดขาด
 
 
 
== คำอธิบายเชิงทฤษฎี ==
เส้น 28 ⟶ 26:
ภายใต้ทฤษฎีหน้าต่างแตก สภาพแวดล้อมที่สะอาดเรียบร้อยซึ่งถูกดูแลเป็นอย่างดีส่งสัญญาณว่าพื้นที่นั้นถูกเฝ้าดูและจะไม่ยอมให้เกิดอาชญากรรมขึ้น ในทางตรงข้าม สิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นระเบียบซึ่งไม่ได้รับการดูแล (มีหน้าต่างแตก มีรอยวาดตามผนัง มีขยะตามทาง) ส่งสัญญาณว่าพื้นที่นี้ไม่ได้ถูกเฝ้าดูและมีโอกาสไม่มากที่จะถูกจับเมื่อกระทำผิด
 
ทฤษฎีนี้สันนิษฐานว่าภูมิทัศน์ "สื่อสาร" กับคน หน้าต่างที่แตกส่งสัญญาณให้กับอาชญากรว่าชุมชนนี้ไม่มีการควบคุมทางสังคม และไม่สามารถปกป้องตนเองจากการบุกรุกทางอาชญากรรมได้ หน้าต่างที่แตกนั้นไม่ได้มีความสำคัญมากมายอะไร ทว่าข้อความที่หน้าต่างแตกๆส่งไปให้ผู้คนนั้น เป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอและไร้การป้องกันของชุมชน รวมทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกของผู้คนในชุมชน ละแวกบ้านที่มีการทำงานร่วมกันซ่อมหน้าต่างที่แตกและแสดงความรับผิดชอบทางสังคมได้ให้สิทธิ์ในการควบคุมพื้นที่กับตัวพวกเขาเอง แม้ทฤษฎีจะเน้นไปทางสิ่งแวดล้อมที่ถูกสร้างขึ่น ก็ยังต้องคำนึงถึงพฤติกรรมมนุษย์เช่นกัน<ref>Herbert, Steve; Brown, Elizabeth (September 2006), name=":0Conceptions of Space and Crime in the Punitive Neoliberal City", ''Antipode'' '''38''' (4): 755–77, doi:10.1111/j.1467-8330.2006.00475.x.</ref><div class="reflist " style=" list-style-type: lower-alpha;"></div>
 
== อ้างอิง ==