ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อุปรากร"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
OctraBot (คุย | ส่วนร่วม)
แทนที่ ‘(?mi)\{\{Link GA\|.+?\}\}\n?’ ด้วย ‘’: เลิกใช้ เปลี่ยนไปใช้วิกิสนเทศ
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 4:
 
== ประวัติ ==
อุปรากรโอเปร่ากำเนิดขึ้นในช่วงท้ายของศตวรรษที่ 16 ณ [[ประเทศอิตาลี]] สามารถสืบค้นต้นกำเนิดได้ถึงสมัยกรีกโบราณ ซึ่งมีการแสดงที่เรียกว่า tragedies ลักษณะเป็นการขับร้องประสานเสียงประกอบบทเจรจา ในสมัยกลางและเรเนส์ซองส์มีการแสดงที่ใช้การขับร้องดำเนินเรื่อง เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 16 กลุ่มนักดนตรีอิตาเลียนที่เมืองฟลอเรนซ์ได้ศึกษาประวัติเกี่ยวกับละครร้องย้อนไปถึงยุคกรีกโบราณดังกล่าว ในที่สุดจึงคิดรูปแบบการประพันธ์ที่เรียกว่า '''อุปรากร''' (Opera) ขึ้น ผู้ประพันธ์เพลงที่ได้พัฒนารูปแบบของอุปรากร คือ เพรี ราวต้นศตวรรษที่ 17 มอนเทเวร์ดีได้ปรับรูปแบบอุปรากรให้สมบูรณ์ขึ้น ทำให้คล้ายกับรูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
 
[[ดนตรีบาโรค|ยุคบาโรค]]อุปรากรเป็นการแสดงที่ผู้ขับร้องนำบทพระเอกและนางเอกเป็นสตรีล้วน ตั้งแต่[[ยุคคลาสสิก (ดนตรี)|ยุคคลาสสิก]]เป็นต้นมา ผู้ขับร้องนำทั้งพระเอกและนางเอกใช้ผู้ขับร้องเป็นชายและหญิงแท้จริง [[โวล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ท|โมสาร์ท]]เป็นผู้หนึ่งที่พัฒนารูปแบบอุปรากรในยุคคลาสสิกให้มีมาตรฐาน โดยไว้หลายเรื่องด้วยกัน ใน[[ยุคโรแมนติก (ดนตรี)|ยุคโรแมนติก]]การประพันธ์อุปรากรมีรูปแบบหลากหลาย บางเรื่องมีความยาวมาก สามารถแสดงได้ทั้งวันทั้งคืน
 
== องค์ประกอบของอุปรากรโอเปร่า ==
* '''1. เนื้อเรื่อง''' เนื้อเรื่องที่นำมาเป็นบทขับร้อง เป็นเรื่องที่มาจากตำนาน เทพนิยายโบราณ และวรรณกรรมต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมาทำเป็นบทร้อง และที่แต่งขึ้นใหม่โดยเฉพาะ โดยมีคีตกวีเป็นผู้แต่งทำนอง คีตกวีบางคนก็มีความสามารถแต่งเนื้อเรื่องหรือบทละคร และดนตรีประกอบด้วย
* '''2. ดนตรี''' ดนตรีในอุปรากรเป็นสิ่งที่ทำให้อุปรากรมีชีวิตจิตใจ มักเริ่มด้วยบทโหมโรง (Overture) และดนตรีประกอบบทขับร้อง ทั้งดำเนินเรื่องและเจรจากันตลอดทั้งเรื่อง ดนตรีเป็นองค์ประกอบสำคัญ จนอุปรากรได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานของคีตกวี (Composer) มากกว่าที่จะคิดถึงผู้ประพันธ์เนื้อเรื่อง เช่น เรื่อง Madame Butterfly ของ Giacomo Puccini (1878-1924) [[จาโกโม ปุชชีนี|ปุชชีนี]] เป็นคีตกวีที่แต่งดนตรีประกอบ ผู้แต่งละครมาดามบัตเตอร์ฟลาย คือ David Belasco (ได้โครงเรื่องมาจากเรื่องสั้นของ John Luther Long) ผู้แต่งเนื้อเรื่องให้เป็นบทขับร้อง คือ Luigi lllica และ Giuseppe Giacosa ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลายแล้ว ก็จะยกย่องให้เป็นงานของปุชชินี มักไม่มีใครนึกถึงนักประพันธ์บทขับร้อง หรืออุปรากรเรื่อง คาร์เมน (Carmen) ของ [[จอร์จ บีเซต์|บิเซต์]] (Georges Bizet) ที่มี Prosper Merimee เป็นผู้ประพันธ์เรื่อง และมี Henri Meilhac และ Ludovic Halevy เป็นผู้ร้อยกรองบทขับร้อง แต่คนก็จะพูดกันถึงแต่เพียงว่า อุปรากรเรื่องคาร์เมนของบิเซต์ ดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบเป็นวงออร์เคสตรา
บรรทัด 25:
6. [[เบส]] (Bass) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องชาย
 
== ลักษณะของอุปรากรโอเปร่า ==
* 1. [[ลิเบรตโต]] (Libretto) คือเนื้อเรื่อง หรือบทละครของอุปรากรโอเปร่า บางครั้งอาจดัดแปลงมาจากนวนิยายหรือบทละครอื่น ๆ บางครั้งก็เป็นบทที่ผู้ประพันธ์แต่งขึ้นโดยเฉพาะสำหรับคีตกวี เช่น ดา ปองเต (Da Ponte) เขียนบทบางเรื่องให้กับ[[โวล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ท|โมสาร์ท]] เช่น เรื่อง [[Don Giovanni]], บัวตา (Boita) เขียนบทบางเรื่องให้กับ[[จูเซปเป แวร์ดี|แวร์ดี]] เช่น เรื่อง Otella บางครั้งบทก็เป็นของผู้ประพันธ์เพลงเอง เช่น [[ริชาร์ด วากเนอร์|วากเนอร์]] ประพันธ์ Lohengrin และ The Flying Dutchman และเมน็อตตี (Menotti) ประพันธ์ The Telephone เป็นต้น
* 2. [[เพลงโหมโรง]] (Overture) คือ บทประพันธ์ที่ใช้บรรเลงนำก่อนการแสดงอุปรากรโอเปร่า บางครั้งใช้คำว่า [[พรีลูด]] (Prelude) เป็นเพลงที่แสดงถึงอารมณ์โดยรวมของอุปรากรที่จะแสดง กล่าวคือ ถ้าเป็นเรื่องเศร้า เพลงโหมโรงก็จะมีทำนองเศร้าอยู่ในที เป็นต้น บางครั้งเพลงโหมโรงอาจรวมเอาทำนองหลักจากอุปรากรฉากต่าง ๆ ไว้ก็ได้ เพลงโหมโรงนี้มักเป็นเพลงสั้น ๆ ประมาณ 5-10 นาที ปกติจะใช้[[วงออร์เคสตรา]]ทั้งวงบรรเลง ลักษณะของเพลงโหมโรงมักรวมเอาองค์ประกอบต่าง ๆ ของดนตรีไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นด้านความดัง – ค่อย สีสัน ลีลาต่าง ๆ จึงทำให้เพลงโหมโรงเป็นบทเพลงที่ชวนฟัง เพลงโหมโรงของอุปรากรบางเรื่องมีความไพเราะเป็นที่นิยมฟังและบรรเลงเป็นบทเพลงแรกของการแสดงคอนเสิร์ตโดยทั่วไป เช่น “Overture of [[The Marriage of Figaro]]” ของโมสาร์ท “The Barber of Seville Overture” ของ [[จิโออัคคิโน รอสซินี|รอสซินี]] “Fidelio” ของ[[ลุดวิก ฟาน เบโธเฟ่น|เบโธเฟ่น]] “Overture of [[Carmen]]” ของ[[จอร์จ บีเซต์|บิเซต์]] เป็นต้น
* 3. [[เรซิเททีฟ]] (Recitative) คือบทสนทนาในอุปรากรที่ใช้การร้องแทนการพูด อย่างไรก็ตามมักจะไม่เป็นทำนองที่ไพเราะมากนัก จะเน้นที่คำพูดมากกว่า แต่ก็มีดนตรีและการร้องช่วยทำให้บทสนทนาน่าสนใจ เป็นลักษณะการร้องอีกประเภทหนึ่ง
* 4. [[อาเรีย]] (Aria) คือ บทร้องเดี่ยวในอุปรากร มีลักษณะตรงกันข้ามกับเรซิเททีฟ เนื่องจากเน้นการร้องและดนตรีมากกว่าเน้นการสนทนา อาเรียเป็นบทร้องที่ตัวละครเดี่ยวร้อง จัดเป็นบทร้องที่เต็มไปด้วยลีลาของดนตรีที่งดงาม ยากแก่การร้อง กล่าวได้ว่าอาเรียเป็นส่วนที่ทำให้อุปรากรมีความเป็นเอกลักษณ์ได้เลยทีเดียว
บรรทัด 37:
* 10. [[ไลท์โมทีฟ]] (Leitmotif) ในอุปรากรบางเรื่อง ผู้ประพันธ์จะมีแนวทำนองต่าง ๆ แทนตัวละครแต่ละตัว หรือแทนเหตุการณ์ สภาพการณ์ แนวทำนองเหล่านี้จะปรากฏอยู่ตลอดเวลาเพื่อแทนตัวละครหรือเหตุการณ์นั้น ๆ วากเนอร์เป็นผู้หนึ่งที่ชอบใช้ไลท์โมทีฟ เช่น Ring motive ในอุปรากรชุด The Ring และ Love motive จากอุปรากรเรื่อง Tristan and Isolde
 
== ประเภทของอุปรากรโอเปร่า ==
* 1. อุปรากรโอเปร่า (Opera) โดยทั่วไปเป็นที่เข้าใจว่า หมายถึง โอเปราซีเรีย (Opera seria) หรือ Serious opera หรือ Grand opera ซึ่งเป็นอุปรากรโอเปร่าที่ผู้ชมต้องตั้งใจชมเป็นอย่างมาก เพราะการดำเนินเรื่องใช้บทร้องลักษณะต่าง ๆ และเรซิเททีฟ ไม่มีการพูดสนทนา จัดว่าเป็นศิลปะดนตรีชั้นสูง การชมอุปรากรประเภทนี้จึงต้องมีพื้นความรู้และความเข้าใจในองค์ประกอบของอุปรากรโอเปร่า โดยเฉพาะด้านดนตรีเพื่อความซาบซึ้งอย่างแท้จริง เรื่องราวของอุปรากรประเภทนี้มักจะเป็นเรื่องความเก่งกาจของพระเอกหรือตัวนำ หรือเป็นเรื่องโศกนาฏกรรม (Heroic or Tragic drama)
* 2. อุปรากรโอเปร่าชวนหัว (Comic Opera) คือ อุปรากรที่มีเนื้อเรื่องสนุกสนาน ตลกขบขันล้อเลียน มักมีบทสนทนาที่ใช้พูดแทรกระหว่างบทเพลงร้อง อุปรากรประเภทนี้ดูง่ายกว่าประเภทแรก เนื่องจากเนื้อเรื่องสนุกสนาน มีบทสนทนาแทรก ดนตรีและเพลงที่ฟังไม่ยากเกินไป อุปรากรชวนหัวมีหลายประเภท เช่น Opera–comique (ฝรั่งเศส) Opera buffa (อิตาเลียน) Ballad opera (อังกฤษ) และ Singspiel (เยอรมนี)
* 3. โอเปเรตตา (Operetta) จัดเป็นอุปรากรขนาดเบา เนื้อเรื่องส่วนใหญ่สะท้อนชีวิตในสังคม มีการสอดแทรกบทตลกเบาสมองอยู่ด้วย บางครั้งอาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักกระจุ๋มกระจิ๋ม คล้ายกับอุปรากรชวนหัว โดยปกติใช้การพูดแทนการร้องในบทสนทนา
* 4. คอนทินิวอัส โอเปร่า (Continuous opera) เป็นอุปรากรที่ผู้ประพันธ์ใช้ดนตรีเชื่อมโยงเรื่องราวตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ มิใช่เป็นการร้องหรือสนทนาที่เป็นช่วง ๆ ลักษณะของคอนทินิวอัส โอเปร่านี้วากเนอร์เป็นผู้นำและใช้เสมอในอุปรากรที่เขาเป็นผู้ประพันธ์