ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะแห่งที่หนึ่ง"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 8:
| caption2 = โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศญี่ปุ่น
}}
'''ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ''' ({{lang-en|Fukushima Daiichi nuclear disaster}}) เป็น
โรงไฟฟ้าประกอบด้วยเครื่องปฏิกรณ์แบบน้ำเดือด ({{lang-en|[[boiling water reactor]]}}) 6 เครื่องแยกจากกัน ซึ่งแต่เดิมได้รับการออกแบบโดยบริษัท General Electric (GE) และได้รับการบำรุงรักษาโดยบริษัท Tokyo Electric Power Company (TEPCO) ขณะที่เกิดแผ่นดินไหวขึ้นนั้น เครื่องปฏิกรณ์ที่ 4 5 และ 6 ถูกดับเครื่อง ({{lang-en|shut down}}) เพื่อเตรียมการเติมเชื้อเพลิง<ref>{{Cite news|author=Black, Richard |url=http://www.bbc.co.uk/news/science-environment-12745186 |title= Reactor breach worsens prospects |work=BBC Online |date=15 March 2011 |accessdate=23 March 2011}}</ref> อย่างไรก็ตาม บ่อเชื้อเพลิงใช้แล้ว ({{lang-en|spent fuel pools}}) ของเครื่องปฏิกรณ์เหล่านั้นยังต้องการหล่อเย็น<ref name="web.archive.org">[https://web.archive.org/web/20110607091828/http://www.iaea.org/press/?p=1463 IAEA press release Japanese Earthquake Update (19 March 2011, 4:30 UTC) 19 March 2011. Archive.org]</ref> ทันทีหลังจากการเกิดแผ่นดินไหว ไฟฟ้าที่ผลิตจากเครื่องปฏิกรณ์ที่ 1, 2 และ 3 เริ่มกระบวนการชัตดาวน์[[ปฏิกริยาฟิชชั่น]]ที่ยั่งยืนของพวกมันโดยอัตโนมัติ โดยการสอดใส่แท่งควบคุม ({{lang-en|control rods}}) ตามขั้นตอนที่เรียกว่า SCRAM (Safety Control Rods Activator Mechanism (SCRAM))) ขบวนการนี้เป็น "การปลอดภุยไว้ก่อน" ที่ได้รับฉันทานุมัติตามกฏหมายซึ่งจะหยุด ''สภาวะการทำงานปกติ'' ของเครืองปฏิกรณ์ หลังจากนั้น เครื่องปฏิกรณ์จะไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อขับปั้มสารหล่อเย็นของตัวมันเอง เครื่องกำเนิดไฟฟ้าฉุกเฉินจะเริ่มผลิตพลังงานไฟฟ้าตามที่ออกแบบไว้เพื่อจ่ายให้ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์และสารหล่อเย็น ทุกระบบทำงานได้ดีจนกระทั่งคลื่นสึนามิทำลายเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำหรับเครื่องปฏิกรณ์ตัวที่ 1 ถึง 5 เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งของมันอยู่บนพื้นที่ต่ำและไม่ได้ถูกบดจนแข็ง เครื่องกำเนิดไฟฟ้า 2 ตัวที่ระบายความร้อนให้กับเครื่องปฏิกรณ์ตัวที่ 6 ไม่ได้รับความเสียหายและมีความสามารถเพียงพอที่จะได้รับความกดดันให้ทำงานหล่อเย็นเครื่องปฏิกรณ์ตัวที่ 5 ที่อยู่ใกล้เคียงได้อีกด้วย ซึ่งเป็นการหันเหปัญหาความร้อนสูงเกินที่เครื่องปฏิกรณ์ตัวที่ 4 ที่กำลังทนทุกข์ทรมานอยู่<ref name="web.archive.org"/>
คลื่นสีนามิที่ใญ่ที่สุดมาถึงราว 50 นาที่หลังจากแผ่นดินไหวครั้งแรก ความสูงขนาด 13 ม. ของมันผ่าน[[กำแพงกันคลื่น]]ที่สูงเพียง 10 ม.เท่านั้น<ref name=":18" /> ชั่วขณะที่เข้ากระทบถูกจับภาพไว้ได้ด้วยกล้อง<ref>{{cite web|url=http://www.iaea.org/NuclearPower/Downloadable/Meetings/2012/2012-03-19-03-23-TM-NPTD/12_TM-Safety-Dresden_Germany_Maschek-Rineiski.pdf |title=Recriticality, a Key Phenomenon to Investigate in Core Disruptive Accident Scenarios of Current and Future Fast Reactor Designs |publisher=[[IAEA]] & Institute for Nuclear and Energy Technologies (IKET) |author=W. Maschek, A. Rineiski, M. Flad, V. Kriventsev, F. Gabrielli, K. Morita}} Note: See picture in the upper left corner of page 2.</ref> น้ำเข้าท่วมห้องเก็บเครื่องกำเนิดไฟฟ้าฉุกเฉินที่อยู่ต่ำอย่างรวดเร็ว<ref name="spectrum.ieee.org">[http://spectrum.ieee.org/energy/nuclear/24-hours-at-fukushima/0 24 Hours at Fukushima A blow-by-blow account of the worst nuclear accident since Chernobyl By Eliza Strickland Posted 31 Oct 2011]</ref> เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลไม่นานก็หยุดทำงาน ตัดพลังงานไฟฟ้าที่จ่ายให้กับปั้มน้ำที่สำคัญที่ใช้หมุนเวียนน้ำหล่อเย็นต่อเนื่องให้กับเครื่องปฏิกรณ์แบบ Generation II เป็นเวลาหลาย ๆ วันเพื่อป้องกันไม่ให้แท่งเชื้อเพลิง ({{lang-en|fuel rods}}) หลอมละลายหลังการ SCRAM เนื่องจากแผ่นรองเชื้อเพลิงเซรามิกจะยังคงผลิตความร้อนจากการสลายตัว ({{lang-en|decay heat}}) ต่อไปแม้ว่าหลังจากขบวนการฟิชชั่นได้สิ้นสุดลงแล้ว แท่งเชื้อเพลิงจะร้อนมากพอที่จะหลอมละลายตัวมันเองในระหว่างช่วงเวลาการสลายตัวของเชื้อเพลิงถ้าไม่มี cold sink ที่พอเพียง หลังจากปั้มฉุกเฉินที่สอง (ทำงานโดยไฟฟ้าจากแบตเตอรีแบ็กอัพ) ไฟหมดหนึ่งวันหลังจากคลื่นสึนามิ(12 มีนาคม)<ref name="oecd-nea.org">{{cite web |url=http://www.oecd-nea.org/press/2011/NEWS-04.html |title=OECD Timeline for the Fukushima Daiichi nuclear power plant accident.}}</ref> ปั้มน้ำทั้งหมดก็หยุดและเครื่องปฏิกรณ์ทั้งหลายเริ่มที่จะโอเวอร์ฮีทเนื่องจาก decay heat ที่ผลิตในช่วงวันแรก ๆ หลังการ SCRAM (ปริมาณที่ลดน้อยลงของ decay heat นี้จะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องหลายปี แต่มีเวลาไม่มากพอสำหรับการระบายความร้อนด้วยน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้แกนเชื้อเพลิงหลอมละลาย)
ในขณะที่คนงานกำลังดิ้นรนเพื่อจ่ายพลังงานให้กับระบบหล่อเย็นของเครื่องปฏิกรณ์และคืนพลังงานไฟฟ้าให้กับห้องควบคุม การระเบิดทางเคมีระหว่างไฮโดรเจนกับอากาศ ({{lang-en|hydrogen-air chemical explosion}}) ก็เกิดขึ้นหลายครั้ง ครั้งแรกเกิดในเครื่องปฏิกรณ์หมายเลข 1 ในวันที่ 12 มีนาคม ครั้งสุดท้ายเกิดในเครื่องปฏิกรณ์หมายเลข 4 ในวันที่ 15 มีนาคม<ref name="oecd-nea.org"/><ref name="IAEA15March"/><ref>[http://www.hyer.eu/news/regional-news/hydrogen-in-nuclear-accidents-what-is-the-role-of-the-gas-in-fukushima Hydrogen explosions Fukushima nuclear plant: what happened?]</ref> มีการประมาณการว่าปฏิกริยาของน้ำกับปลอกเชื้อเพลิงเวอร์โคเนียม ({{lang-en|zirconium fuel cladding-water reaction}}) ที่ร้อนในเครื่องปฏิกรณ์ 1 ถึง 3 แต่ละตัวได้สร้างก๊าซไฮโดรเจน 800 ถึง 1000 กก.ที่ถูกระบายออกากอ่างความดันของเครื่องปฏิกรณ์ ({{lang-en|reactor pressure vessel}}) ผสมเข้ากับบรรยากาศแวดล้อม จนในที่สุดเข้าสู่ขีดจำกัดความเข้มข้นการระเบิด ({{lang-en|explosive concentration limit}}) ในหน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 3 และเนื่องจากการเชื่อมต่อระหว่างหน่วยที่ 3 และ 4 เป็นแบบท่อ หรืออีกทางหนึ่งคือเกิดจากปฏิกริยาเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในบ่อเชื้อเพลิงใช้แล้วในหน่วยที่ 4 เอง<ref>{{cite web |url=http://info.ornl.gov/sites/publications/Files/Pub33574.pdf |title= MELCOR Model of the Spent Fuel Pool of Fukushima Dai-ichi Unit 4 |publisher=[[Oak Ridge National Laboratory]].}}</ref> หน่วยที่ 4 ก็เต็มไปด้วยไฮโดรเจนที่มีการระเบิดแบบไฮโดรเจนกับอากาศเกิดขึ้นที่ยอดของแต่ละหน่วยที่อยู่ในชั้นบนของอาคารบรรจุ ({{lang-en|containment building}})หลังที่สอง<ref>[http://www.fas.org/sgp/crs/nuke/R41694.pdf page 6]</ref><ref>http://eetd-seminars.lbl.gov/sites/eetd-seminars.lbl.gov/files/Fukushima1_Technical_Perspective_LBL_EEDT_04052011-1.pdf ''What happened at Fukushima a Technical Perspective.'' [[Nuclear Regulatory Commission]] page 11, 26, 29.</ref> ยานไร้คนบังคับ (Drone) ที่บินเหนือที่เกิดเหตุในวันที่ 20 มีนาคม ได้จับภาพอย่างชัดเจนของผลกระทบจากการระเบิดแต่ละครั้งที่อยู่นอกโครงสร้าง ในขณะที่ภาพด้านในถูกบดบังด้วยเงาและเศษซาก<ref name="Aerial photos by Air Photo Service Co. Ltd., Japan">
{{cite press release
|url=http://cryptome.org/eyeball/daiichi-npp/daiichi-photos.htm
|title=High-resolution photos of Fukushima Daiichi
|publisher=[[Air Photo Service Co. Ltd., Japan]]
|date=20 and 24 March 2011
|accessdate=14 January 2014
}}</ref>
ไม่มีรายงานการเสียชีวิตที่เชื่อมโยงกับการสัมผัสกับรังสีในระยะสั้นมากเกินไปเนื่องจากการเกิดอุบัติเหตุที่ฟุกุชิมะ ในขณะที่ประมาณ 18,500 คนเสียชีวิตเนื่องจากการเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิ การคำนวณในผู้ป่วยโรคมะเร็งและการเสียชีวิตในอนาคตจากการสัมผัสรังสีที่สะสมในประชากรที่อยู่อาศัยใกล้กับฟุกุชิมะและทั่วโลกในช่วงหลายปีและหลายทศวรรษข้างหน้า ได้ถูกทำโดยอาจารย์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและผู้สนับสนุนการต่อต้านนิวเคลียร์ Mark Z. Jacobson ผู้ที่คาดการณ์ว่าในที่สุดจะมีการเสียชีวิต 130 รายและผู้ป่วยโรคมะเร็งที่เพิ่มขึ้น 180 ราย ที่ส่วนใหญ่ของกรณีเหล่านี้เกิดขึ้นในประชากรในพื้นที่ที่ปนเปื้อนส่วนใหญ่ของฟุกุชิมะ<ref name="Dennis Normile 395">{{cite journal|url = http://news.sciencemag.org/scienceinsider/2012/07/is-nuclear-power-good-for-you.html |author= Dennis Normile |title= Is Nuclear Power Good for You? |journal=Science|page= 395 |volume= 337 |date= 27 July 2012}}</ref><ref name="John E. Ten Hoeve and Mark Z. Jacobson 2012">{{cite journal | url = http://www.stanford.edu/group/efmh/jacobson/TenHoeveEES12.pdf |author = John E. Ten Hoeve and Mark Z. Jacobson | title = Worldwide health effects of the Fukushima Daiichi nuclear accident | journal = Energy & Environmental Science |doi = 10.1039/c2ee22019a |year = 2012 | accessdate = 18 July 2012}}</ref>
ในปี 2013 องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ที่ถูกอพยพออกไปได้สัมผัสกับปริมาณรังสีที่ต่ำและผลกระทบต่อสุขภาพที่เกิดจากรังสีนั้นมีแนวโน้มที่จะต่ำ<ref>[http://apps.who.int/iris/bitstream/10665/78218/1/9789241505130_eng.pdf WHO report, page 92.]</ref><ref name="science.time.com">http://science.time.com/2013/03/01/meltdown-despite-the-fear-the-health-risks-from-the-fukushima-accident-are-minimal/#ixzz2MnbjhPmv ''Meltdown: Despite the Fear, the Health Risks from the Fukushima Accident Are Minimal'' [[Time magazine]] article which includes a link to the [[WHO]] report, and explains the report in [[layman]]s terms.</ref> โดยเฉพาะ รายงานขององค์การอนามัยโลกปี 2013 คาดการณ์ว่าสำหรับทารกเพศหญิงที่อพยพ ความเสี่ยงของการพัฒนาไปสู่มะเร็งต่อมไทรอยด์ตลอดช่วงอายุก่อนการเกิดอุบัติเหตุอยู่ที่ 0.75% ความเสี่ยงนี้จะถูกเพิ่มขึ้นเป็น 1.25% เนื่องจากการสัมผัสกับรังสีไอโอดีน โดยที่มีการเพิ่มขึ้นน้อยสำหรับทารกเพศชาย<!-- การคำนวนของ WHO นี้ได้สันนิษฐานถึงว่าเด็กเหล่านั้นได้หายใจเอาอากาศที่ไม่ผ่านการกรองระหว่างการอพยพและไม่ได้มีการจัดการกับ[[KI]]หรือไม่ หรือมีการสันนิษฐานถึงว่าเด็กเหล่านั้นสรวมหน้ากากและได้มีการจัดการกับ KI เป็นต้น และอะไรคือสิ่งที่ถูกกำบังในสถานที่หรือใครที่ถูกอพยพเข้าไปในสถานที่ที่มีฝุ่นละออง fallout ด้วยความผิดพลาด?--> ในขณะที่ความเสี่ยงทั้งหลายจากจำนวนที่เพิ่มขึ้นของโรคมะเร็งที่เกิดจากรังสียังคาดว่าจะได้รับการยกระดับเนื่องจากการสัมผัสที่เกิดจาก'ผลิตภัณฑ์ฟิชชั่นจุดเดือดต่ำ'อื่น ๆ ที่ถูกปล่อยออกมาเพราะความล้มเหลวด้านความปลอดภัย ที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดเพียงตัวเดียวคือมะเร็งต่อมไทรอยด์ แต่เมื่อรวมแล้ว ความเสี่ยงโดยรวมตลอดช่วงอายุในการพัฒนาเป็นโรคมะเร็งทุกชนิดคาดว่าจะสูงขึ้น 1% สำหรับทารกเพศหญิง โดยที่มีความเสี่ยงลดลงเล็กน้อยสำหรับเพศชาย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความไวต่อรังสีมากที่สุด<ref name="science.time.com"/> พร้อมกับเด็กที่อยู่ในครรภ์ซึ่งองค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่าขึ้นอยู่กับเพศของพวกเขาที่จะมีระดับเดียวกันกับความเสี่ยงในกลุ่มทารก{{sfn|WHO|2013|pp=70, 79-80}}
โปรแกรมการตรวจคัดกรองในปีต่อมาคือปี 2012 พบว่ามากกว่าหนึ่งในสาม (36%) ของเด็กในฟุกุชิมะมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติในต่อมธัยรอยด์ของพวกเขา<ref name="Ryall">{{cite news| url=http://www.telegraph.co.uk/news/worldnews/asia/japan/9410702/Nearly-36pc-of-Fukushima-children-diagnosed-with-thyroid-growths.html | work=The Telegraph UK | first=Julian | last=Ryall | title=Nearly 36pc of Fukushima children diagnosed with thyroid growths | date=19 July 2012}}</ref>{{better source|date=August 2015}} เมื่อเดือนสิงหาคม 2013 มีเด็กมากกว่า 40 คนถูกวินิจฉัยใหม่ว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์และโรคมะเร็งอื่น ๆ ในจังหวัดฟุกุชิมะโดยรวม อย่างไรก็ตาม ข้อสงสัยที่ว่าอุบัติการณ์เหล่านี้ของโรคมะเร็งจะสูงกว่าอัตราในพื้นที่ที่ไม่ปนเปื้อนและดังนั้นอุบัติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นเนื่องมาจากการสัมผัสกับรังสีนิวเคลียร์หรือไม่นั้นไม่เป็นที่รู้จักในขั้นตอนนี้{{citation needed|date=August 2015}} ข้อมูลจากอุบัติเหตุเชอร์โนบิลแสดงให้เห็นว่าการเพิ่มขึ้นที่แน่แท้ในอัตราการเกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์หลังจากภัยพิบัติในปี 1986 จะเริ่มต้นหลังจากระยะฟักตัวของมะเร็งที่ 3-5 ปีเท่านั้น<ref name="hormones.gr">{{cite web| url=http://www.hormones.gr/521/article/article.html |title=Radioactivity and thyroid cancer* Christopher Reiners Clinic and Polyclinic of Nuclear Medicine University of Würzburg. See Figure 1. Thyroid cancer Incidence in children and adolescents from Belarus after the Chernobyl accident.}}</ref> อย่างไรก็ตามมีข้อสงสัยว่าข้อมูลนี้จะสามารถนำมาเปรียบเทียบโดยตรงกับภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะได้หรือไม่ยังไม่สามารถกำหนดได้<ref name="rt.com">{{cite news| url=http://rt.com/news/fukushima-children-thyroid-cancer-783/ | work=RT | title=Disturbing thyroid cancer rise in Fukushima minors | date=21 August 2013}}</ref>{{better source|date=August 2015}}
การสำรวจโดยหนังสือพิมพ์ Mainichi Shimbun ครั้งหนึ่งคำนวณว่าในจำนวนผู้อพยพออกจากพื้นที่ประมาณ 300,000 คน ประมาณ 1,600 คนเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสภาพการอพยพ เช่นการที่ต้องอาศัยอยู่ในที่อยู่ชั่วคราวและการปิดของโรงพยาบาลที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2013 ตัวเลขนี้มีจำนวนใกล้เคียงกับการเสียชีวิต 1,599 คนที่เสียชีวิตโดยตรงจากแผ่นดินไหวและสึนามิในจังหวัดฟุกุชิมะในปี 2011 ด้วยสาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิตส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการอพยพเหล่านี้ไม่ได้ถูกระบุ (ตามข้อมูลของเขตเทศบาล) จึงเป็นอุปสรรคต่อการส่งใบสมัครของญาติของผู้ตายเพื่อขอเงินชดเชยปลอบขวัญ<ref name="Smith">{{cite news|last=Smith|first=Alexander|title=Fukushima evacuation has killed more than earthquake and tsunami, survey says|url=http://worldnews.nbcnews.com/_news/2013/09/10/20420833-fukushima-evacuation-has-killed-more-than-earthquake-and-tsunami-survey-says?lite|accessdate=11 September 2013|date=10 September 2013}}</ref><ref>{{cite news|url=http://mainichi.jp/english/english/newsselect/news/20130909p2a00m0na009000c.html |title=Stress-induced deaths in Fukushima top those from 2011 natural disasters.}}</ref>
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2012 สภานิติบัญญัติแห่งชาติญี่ปุ่นได้แต่งตั้ง คณะกรรมการอิสระเพื่อการสอบสวนอุบัติเหตุนิวเคลียร์ฟุกุชิมะ (NAIIC) ให้ส่งรายงานการสืบสวนไปยังสภาญี่ปุ่น<ref name="National Diet of Japan Fukushima Nuclear Accident Independent Investigation Commission">{{cite web|title=国会事故調 {{!}} 東京電力福島原子力発電所事故調査委員会のホームページ|url=http://naiic.go.jp/en/|publisher=National Diet of Japan Fukushima Nuclear Accident Independent Investigation Commission|accessdate=9 July 2012|author=National Diet of Japan Fukushima Nuclear Accident Independent Investigation Commission}}</ref> คณะกรรมการพบว่าภัยพิบัตินิวเคลียร์เป็น "ฝีมือมนุษย์" โดยที่สาเหตุโดยตรงของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมดเป็นสิ่งที่คาดการณ์ก่อนได้ก่อนวันที่ 11 มีนาคม 2011 นอกจากนี้รายงานยังพบว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิไม่มีความสามารถในการอดทนต่อการเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิ TEPCO ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแล (NISA และ NSC) และเป็นหน่วยงานของรัฐบาลที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ (METI) ทั้งหมดนี้ล้มเหลวในการในการพัฒนาอย่างถูกต้องถึงระเบียบปฏิบัติด้านความปลอดภัยขั้นพื้นฐานส่วนใหญ่ เช่นการประเมินความน่าจะเป็นของความเสียหาย การเตรียมความพร้อมสำหรับการจำกัดวงความเสียหายหลักประกันจากภัยพิบัติเช่นนั้น และการพัฒนาแผนอพยพสำหรับประชาชนในกรณีของการปลดปล่อยรังสีร้ายแรง ในขณะเดียวกัน รัฐบาลได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะของบริษัทพลังงานไฟฟ้าโตเกียวให้จัดส่งรายงานขั้นสุดท้ายให้กับรัฐบาลญี่ปุ่นในวันที่ 23 เดือนกรกฎาคม 2012<ref name="Asahi20120723" /> การศึกษาที่แยกต่างหากโดยนักวิจัยสแตนฟอร์ดพบว่าโรงไฟฟ้าญี่ปุ่นที่ดำเนินการโดยบริษัทสาธารณูปโภคที่ใหญ่ที่สุดไม่มีการป้องกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสึนามิที่อาจเกิดขึ้น<ref name=":18" />
TEPCO ได้ยอมรับเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2012 ว่าบริษัทล้มเหลวที่จะใช้มาตรการที่แข็งแกร่งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภัยพิบัติเพราะกลัวว่าจะเป็นการเชื้อเชิญให้มีการดำเนินคดีทางกฏหมายหรือให้มีการประท้วงต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของตน<ref name="NYT20121012"/><ref name="Fukushima operator must learn from mistakes, new adviser says"/><ref name="Yamaguchi20121012"/><ref name="CNN20121012"/> ไม่มีแผนการที่ชัดเจนสำหรับการรื้อถอนโรงไฟฟ้า แต่ฝ่ายบริหารโรงไฟฟ้าประมาณการไว้ที่สามสิบหรือสี่สิบปี<ref name="guardian-20140310"/>
== Background ==
ต่อมาได้มีหลักฐานว่าแกนปฏิกรณ์บางส่วนเกิดการหลอมละลายในเครื่องปฏิกรณ์ที่ 1, 2 และ 3 การระเบิดของไฮโดรเจนได้ทำลายวัสดุใช้หุ้มส่วนบนของอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของเตาปฏิกรณ์ที่ 1, 3 และ 4 แรงระเบิดได้ทำลายวัสดุคลุมภายในเตาปฏิกรณ์ที่ 2 และเกิดเพลิงไหม้ขึ้นหลายจุดที่เครื่องปฏิกรณ์ที่ 4 นอกเหนือจากนี้ แท่งเชื้อเพลิงใช้แล้วซึ่งถูกเก็บไว้ในบ่อเก็บเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ของเครื่องปฏิกรณ์หน่วยที่ 1-4 เริ่มมีความร้อนเกินเนื่องจากระดับน้ำในบ่อลดลง ด้วยเกรงว่าจะเกิดการรั่วไหลของ[[กัมมันตรังสี]] จึงนำไปสู่การอพยพประชาชนในรัศมี 20 กิโลเมตรโดยรอบโรงไฟฟ้า คนงานซึ่งทำงานอยู่ที่โรงไฟฟ้าได้รับปริมาณรังสีเข้าไปและถูกอพยพชั่วคราวหลายครั้ง โรงไฟฟ้าบางส่วนกลับมามีพลังงานอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 20 มีนาคม แต่เครื่องจักรกลที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย เพลิงไหม้และการระเบิดยังคงไม่สามารถใช้การได้<ref>[http://online.wsj.com/article/SB10001424052748704021504576210251376606080.html?mod=googlenews_wsj Stricken Reactors May Get Power Sunday], ''Wall Street Journal'', 19 March 2011</ref> ในช่วงแรก ทางการญี่ปุ่นได้จัดภัยพิบัตินิวเคลียร์ดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 4 ตาม[[มาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์]] (INES) ถึงแม้ว่าองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ จะมองว่าควรจะจัดให้อยู่ในระดับที่สูงกว่านี้ ต่อมาระดับดังกล่าวถูกเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 5 และ 7 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ตามลำดับ<ref>[http://www.nytimes.com/aponline/2011/04/11/world/asia/AP-AS-Japan-Earthquake-Rating.html 'Japan to Raise Alert Level of Nuclear Crisis'] BBC News online 18 March 2011.</ref><ref>[http://www.dailymail.co.uk/news/article-1375981/Now-radiation-Japan-bad-Chernobyl-crisis-level-raised-seven-second-time-history.html 'Now radiation in Japan is as bad as radiation level is raised to 7 for only the second time in history'] ''Daily Mail'' 12 April 2011.</ref>
|