ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ยัน บัปติสต์ ฟัน แฮ็ลโมนต์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Tatung (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าใหม่: {{Infobox scientist |image = Jan Baptist van Helmont and his son.jpg |image_size = |caption = ฌอง แบบติสท์ แวน...
(ไม่แตกต่าง)

รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:39, 18 สิงหาคม 2558

ฌอง แบบติสท์ แวน เฮลมองท์ (Jan Baptist van Helmont[3] (12 มกราคม พ.ศ. 212330 ธันวาคม พ.ศ. 2187) เป็นนักเคมี, นักสรีรวิทยา และแพทย์ชาวเฟลมิช เขาศึกษาค้นคว้าและวิจัยในช่วงเวลาหลังจากพาราเซลซัส[4] แวน เฮลมองท์ได้รับการรูจักอย่างกว้างขวางในปัจจุบันเพราะความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีที่ว่าสิ่งมีชีวิตเกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต, การทดลองปลูกต้นหลิวของเขา ซึ่งนำไปสูาการศึกษากระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง, การตั้งชื่อคำว่า "gas" (มาจากภาษากรีกคำว่า chaos)

ยัน บัปติสต์ ฟัน แฮ็ลโมนต์
ฌอง แบบติสท์ แวน เฮลมองท์ (ซ้าย) และบุตรชาย ฟรานซิสซัส เมอร์ฺคิวรัส แวน เฮลมองท์ (พ.ศ. 2191)
เกิด12 มกราคม พ.ศ. 2123[1]
บรัสเซลส์, เนเธอร์แลนด์ของสเปน
เสียชีวิต30 ธันวาคม พ.ศ. 2187 (64 ปี)
มณฑลเฟลมิชบราบันต์, เนเธอร์แลนด์ของสเปน
สัญชาติเบลเยียม Flemish
มีชื่อเสียงจากpneumatic chemistry
อาชีพทางวิทยาศาสตร์
สาขาเคมี, สรีรวิทยา, แพทยศาสตร์
อาจารย์ที่ปรึกษาในระดับปริญญาเอกMartinus Antonius del Rio
Adam Haslmayr
ได้รับอิทธิพลจากFranciscus Sylvius[2]
หอคอยแบบโรมันและโบสถ์เก่าในเนเดอร์-โอเวอร์-เฮมเบก (Neder-Over-Heembeek) และ[1]ซึ่งฌอง แบบติสท์ แวน เฮลมองท์แสดงการเปลี่ยนรูปร่างทางการเล่นแร่แปรธาตุ (วาดโดยสถาปนิกนาม ลีอง แวน ดีโวเอ็ต, พ.ศ. 2506.).

อ้างอิง

  1. Van Helmont's date of birth has been a source of some confusion. According to his own statement (published in his posthumous Ortus medicinae) he was born in 1577. However, the birth register of St Gudula, Brussels, shows him to have been born on 12 January 1579 Old Style, i.e. 12 January 1580 by modern dating. See Partington, J.R. (1936). "Joan Baptista Van Helmont". Annals of Science. 1: 359–84 (359). doi:10.1080/00033793600200291.
  2. Digitaal Wetenschapshistorisch Centrum (DWC) – KNAW: "Franciscus dele Boë"
  3. "Helmont". Random House Webster's Unabridged Dictionary.
  4. Holmyard, Eric John (1931). Makers of Chemistry. Oxford: Oxford University Press. p. 121.