ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อ็อสคาร์ ชินด์เลอร์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Applezapotis (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Applezapotis (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 32:
ซินด์เลอร์เติบโตในเมืองซวิตเทา โมราเวีย และเคยทำงานอยู่ในบริษัทค้าขายหลายแห่ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2479 ได้เข้าร่วมกับหน่วยสืบราชการลับของ[[นาซีเยอรมนี]] (Abwehr) และเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคนาซีในปี พ.ศ. 2482 ซึ่งก่อนหน้านี้ ในช่วงที่เยอรมนียังไม่ได้บุกยึดครอง[[เช็กโกสโลวาเกีย]]ในปี พ.ศ. 2481 ซินด์เลอร์ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการรถไฟและการเคลื่อนย้ายกำลังพลของกองทัพให้แก่รัฐบาลเยอรมัน จนถูกจับกุมในข้อหาจารกรรมโดยรัฐบาลเช็ก แต่ก็ถูกปล่อยตัวในปีเดียวกันจากเงื่อนไขใน[[ความตกลงมิวนิก]] หลังจากนั้นซินด์เลอร์จึงย้ายไปปฏิบัติงานรวบรวมข่าวสารในโปแลนด์ในปี พ.ศ. 2482 หรือช่วงก่อนที่เยอรมนีจะ[[การบุกครองโปแลนด์|บุกยึดครองโปแลนด์]] อันเป็นจุดเริ่มต้นของ[[สงครามโลกครั้งที่สอง]]
 
ในปี พ.ศ. 2482 ซินด์เลอร์ได้รับมอบให้เป็นเจ้าของโรงงานภาชนะเครื่องเคลือบใน[[กรากุฟ]] โปแลนด์ ซึ่งมีจำนวนคนงาน (ณ ช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุดของโรงงานในปี พ.ศ. 2487) อยู่ประมาณ 1,750 คน ในจำนวนนั้นเป็นชาวยิวราวหนึ่งพันคน ซินด์เลอร์สามารถปกป้องลูกจ้างชาวยิวของเขาจากการถูกส่งตัวไปยัง[[ค่ายกักกันนาซี]]ด้วยเส้นสายของเขาในหน่วยสืบราชการลับ แม้ว่าในช่วงแรกเขาจะมุ่งความสนใจไปที่การทำกำไรจากธุรกิจก็ตาม แต่ในภายหลังเขาหันกลับมาให้ความสำคัญในการปกป้องลูกจ้างชาวยิวของตน โดยไม่สนว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ซินด์เลอร์ต้องติดสินบนเจ้าหน้าที่จากพรรคนาซีด้วยส่วยก่อนโตและสินทรัพย์หรูหรามากมายที่หาซื้อได้จากตลาดมืดเท่านั้น แลกกับอิสรภาพของลูกชาวยิวของเขา
 
ต่อมาในปี พ.ศ. 2487 เมื่อเยอรมนีมีทีท่าว่าจะพ่ายแพ้ในสงคราม หน่วย[[ชุทซ์ชทัฟเฟิล]] (หน่วยเอสเอส) ของนาซีจึงเริ่มปิดค่ายกักกันในภาคตะวันออกและอพยพนักโทษที่ยังคงหลงเหลืออยู่มายังฝั่งตะวันตก ส่งผลให้นาซีจำต้องสังหารนักโทษใน[[ค่ายกักกันเอาชวิทซ์]]และ[[ค่ายกักกันกรอสส์-โรเซิน]]ไปเป็นจำนวนมาก ซินด์เลอร์จึงได้ทำการโน้มน้าว ''เฮาป์ชเติมฟือเรอร์'' (Hauptsturmführer) ของหน่วยชุทซ์ชทัฟเฟิล [[อาโมน เกิท]] ผู้บัญชาการค่ายกักกันกรากุฟ-ปวาซอฟ (Kraków-Płaszów) ในละแวกใกล้เคียง ขอย้ายโรงงานของตนไปยัง[[บรึนน์ลิตซ์]]ใน[[ซูเดเทนลันด์]] เขาจึงสามารถปกป้องลูกจ้างของตนให้รอดพ้นจากการถูกจับเข้า[[ห้องรมแก๊ส]]ไปได้ เลขานุการจองเกิท มีเทค เปมเปอร์ จึงปฏิบัติตามและพิมพ์รายชื่อชาวยิวจำนวน 1,200 คน ซึ่งได้มาจากตำรวจแห่งกองตำรวจชาวยิว มาร์เซิล กอลด์แบร์ก ส่งให้เดินทางไปยังบรึนน์ลิตซ์ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2487 ทั้งนี้ซินด์เลอร์ยังคงติดสินบนเจ้าหน้าที่เอสเอสต่อไปจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองภาคพื้นยุโรปสิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2488 เพื่อหลีกเลี่ยงการจับลูกจ้างของเขาไปลงโทษและประหารชีวิต ทำให้เขาต้องแลกเอาทรัพย์สินและความมั่งคั่งที่มีอยู่ทั้งหมดไปกับการติดสินบนและซื้อสินค้าหายากจากตลาดมืดมาเพื่อการนี้