ผลต่างระหว่างรุ่นของ "นักเคมี"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 62:
มาเรีย สโคดอฟสกา คูรี(Marie sklodowska Curie)หรือที่รู้จักกันในประเทศฝรั่งเศสว่า มารี คูรี เป็นนักเคมีฟิสิกส์ฝั่งเศสเชื้อชาติโปรแลนด์ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีและสาขาฟิสิกส์ด้วยรางวัลศึกษาะรรมชาติของกรัมตรังสีและการพบธาตุเรเดียมและ โปโลเนียมนอกจากผลงานที่โด่งดังนี้แล้ว เธอยังเป็นสตรคนแรกที่ได้รับดุษฎีบัณฑิตและเป็นศาสตร์ตราจารย์สตรีคนแรกแห่งมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ในปารีสด้วย เมื่อบุตรสาวของเธอชื่อ อีฟ คูรี(Eve Curie)เรียบเรียงหนังสือชีวประวัติเรื่อง Madame Curie ออกวางจำหน่ายเธอก็กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่โลกรู้จักดีเป็นอันดับ 2 รองจาก อัลเบิร์ต ไอร์สไตร์
มาเรีย สโคดอฟสกา เกิดที่กรุงวอร์ซอ ประเทศโปรแลนด์เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2410 ซึ่งเป็นเวลาที่โปรแลนด์กำลังถูกรัสเซียยึดครอง ชาวโปรแลนด์จำนวนมากที่ต่อต้านรัศเซียจะถูกฆ่า จำขังหรือถูกนิรเทศไปไซบีเรีย นอกจากนี้รัฐบาลรัสเซียยังบังคับใช้ให้นักเรียนโปรแลนด์ทุกคนต้องเรียนภาษารัสเซียเพื่อไม่ให้ชาวโปรแลนด์มีภาษาของตัวเอง และรัสเซียไม่สนับสนุนให้ชาวโปรแลนด์รับการศึกษาชั้นสูง ยิ่งเป้นสตรียิ่งไม่ให้โอกาสเลย เด็กหญิงมาเรียผู้ใฝ่รู้จึงคิดเดินทงไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยดราคอฟ ซึ่งขณะนั้นตกอยู่ในความปกครองของของออสเตรีย แต่เมื่อเธอสมัครไปก็ได้รับคำตอบว่า เธอน่าจะเรียนคณะคหกรรมศาสตร์มากกว่า มาเรียจึงเปลี่ยนความตั้งใจไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสแทน โดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ในปารีสเพราะเธอพูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่อง และสตรียุโรป เช่น ผู้หญิงชาวอังกฤษ ที่ต้องการเรียนแพทย์ก็มักเลือกไปฝรั่งเศสเธอจึงสมัครไปที่ซอร์บอบน์และได้รับการตอบรับ
*เวอเลอร์ (Wöhler) ผู้บุกเบิกการสังเคราะห์สารอินทรีย์
[[ไฟล์:Friedrich woehler.jpg|150px|thumbnail|left|เวอเลอร์]]
:พ.ศ. 2343 -2425
นักเคมีเมื่อ200ปีก่อนเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีสารชนิดหนึ่งที่เรียกพลังชีวิต(Vital force)ซึ่งสิ่งไม่มีชีวิตไม่มี ดังนั้นสารใด ก็ตามที่มีในสิ่งมีชีวิตมนุษย์จะสังเคราะห์จากสิ่งไม่มีชีวิตไม่ได้นั่นคือ มนุษย์ไม่มีวันเก่งเท่าธรรมชาติ แม้แต่ปราชญ์เช่นแบร์ซีเลียสก็เคยปรารภว่า นักเคมีไม่สามารถสร้างสารอินทรีย์จากสารอนินทรีย์ได้ และเลโอโปลด์ เมลลิน (Leopold Gmelin)ผู้เป็นอาจารย์ของฟรีดริซ เวอเลอร์
(Friedrich Wöhler) ก็เชื่อเช่นเดียวกันว่าไม่มีใครสามารถสังเคราะห์สารอินทรีย์ได้ แต่ ฟรีดริซ เวอเลอร์ วัย23ปี ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากการฝึกงานที่ห้องปฏิบัติงานเคมีของแบร์ซีเลียสที่สตอกโฮล์มเพื่อมาสอนที่โรงเรียนธุรกิจในนครเบอร์ลินกลับไม่เชื่อ เขาคิดว่าถ้าพระเจ้าสร้างกฎข้อห้ามนี้ มนุษย์ก็ต้องหาวิธีฝ่าฝืน ดังนั้นเวอเลอร์จึงคิดจะหา Vital force ให้จงได้ ซึ่งถ้าพบเขาก็จะทำให้วิทยาการเคมีก้าวหน้าเพราะนักเคมีจะใช้ Vital force ผลิตสารอินทรีย์ต่างๆได้หมดและความสำเร็จนี้จะยิ่งใหญ่เทียบเท่าความสำเร็จของลาวัวซีเยที่พบว่าสารโฟลจิสตันไม่มีในธรรมชาติ เวอเลอร์เริ่มทำงานโดยศึกษาผลงานของ มิเชล อูเซ แชฟเวิล นักเคมีชาวฝรั่งเศสผู้พบว่าไขมันที่มีในสัตว์และในพืชมีองค์ประกอบที่เหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงคิดว่า ความเชื่อที่ว่าพืชกับสัตว์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนั้นไม่ถูกต้องและไม่สมควรเชื่ออีกต่อไป เวอเล่อร์เริ่มทำงานอย่างช้าๆโดยใช้สารอนินทรีย์ต่างๆทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ไปฝึกงานที่ห้องปฏิบัติการของแบร์ซีเลียส เขาเคยสร้างผลึกสีขาวแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ในที่สุดหลังจากเพียรพยายามทดลองนาน4ปี เหตุการณ์มหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อเขาเห็นผลึกสีขาวรูปร่างคล้ายเข็มและมีสีสุกใสเหมือนผลึกที่รูแอล(Rouelie) อาจารย์เคมีของลาวัวซีเยเคยพบในปัสสาวะเมื่อ 50ปีก่อน และในเวลาต่อมา ฟูร์ครัวตั้งชื่อผลึกนั้นว่ายูเรีย และผลึกนี้จะพบเฉพาะในสิ่งมีชีวิตเท่านั้น เวอเล่อร์มั่นใจว่าสิ่งที่เขาเห็นในห้องปฏิบัติการคือ ผลึกยูเรีย เพราะเขาเคยเขียนเรียงความเรื่องของเสียที่พบในปัสสาวะ เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะการสังเคราะห์ยูเรียได้ในห้องปฏิบัติการเป็นการทำลายความเชื่อเดิมที่ผิด และวิธีการของเขาจะเปิดประตูใหม่ให้นักเคมีสามารถสังเคราะห์สารอินทรีย์ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งมีชีวิตอีกต่อไป
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
|