ผลต่างระหว่างรุ่นของ "นักเคมี"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 11:
ผู้ที่มีชื่อเต็มว่า Philipps Arelis Theorphasts Bombast von Hohenheim และเป็นอาจารย์สอนเคมีกับแพทย์ศาสตร์ ได้เดินเข้ามา ในมือถือตำรา''Canon of Medicine''
ที่ปราชญ์อาวิเซนนา (Avicenna) เขียนพร้อมตะโกนเสยงดังลั่นว่า บรรดาแพทย์ เช๋น อาวิเซนนา, กาเลน(Galen),ราซ๊ส (Rhazes) หรือผู้ใดก็ตาม ไม่ว่าจะมาจากเมืองโคโลญ เวียนนา หรือปารีส ไม่ว่าจะตั้งรกราก ในลุ่มแม่น้ำไรน์ แซง หรือดานูบ ไม่ว่าจะเป็นชาวกรีก อาหรับ หรือยิว ล้วนเป็นคนโง่เง่าเบาปัญญามาก และไม่รู้จริงเทียบเท่าพาราเซลซัสเลย เมื่อสิ้นเสียงบริภาษ เขาก็โยนตำราแพทย์ที่อาวิเซนนาเขียนเล่มนั้นเข้ากองไฟ และกว่าคำอธิษฐานว่า ขอให้ตำราสลายเป็นจุณ พร้อมความทุกข์ของมวลมนุษย์
#บอยล์ (Boyle) ผู้วางรากฐานของวิชาเคมี
[[ไฟล์:Boyle.jpg|150px|thumbnail|left|บอยล์]]
:พ.ศ. 2170 – 2234
ครั้งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นยุคของ ไอแซก นิวตัน ส่วนครึ่งหลังคือช่วงเวลาที่ โรเบิร์ต บอยล์ (Robert Bolye) เป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของอังกฤษ ในฐานะผู้ค้นพบกฎของบอยล์ ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความดันกับปริมาณของแก๊สขณะอุณหภูมิคงที่และเป็นผู้เรียบเรียงหนังสือชื่อ The Sceptical Chymist เมื่อปี พ.ศ. 2204 ซึ่งเป็นตำราที่วางรากฐานของวิชาเคมีให้เป็นระบบ จากที่ไม่มีวิธีการที่แน่นอน และไม่มีการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย หรือแม้แต่อาชีพนักเคมีก็ไม่มี เพราะตามปกติเภสัชกรอังกฤษจะปรุงยาโดยการนำสารประกอบต่างๆ มาผสมปนกันให้คนไข้กิน ในสมัยนั้นคนขายยาถึงถูกเรียกว่า chemist (ปัจจุบัน chemist คือนักเคมี ส่วนเภสัชกรเรียก pharmacist) แต่สำหรับบอยล์ เขามีความคิดว่าเคมีเป็นวิทยาการที่มีอะไรๆมากกว่าการปรุงยา ในช่วงเวลาที่บอยล์ยังมีชีวิตอยู่ เขามีเพื่อนเป็นนักวิทยาศาสตร์หลายคน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่ประหลาดใจที่ความสำเร็จของบอยล์จะถูกบดบังโดยผลงานของนิวตันจนทำให้โลกแทบไม่ตระหนักในความสำคัญของบอยล์เลย
#คาเวนดิช (Cavendish) ผู้พบธาตุไฮโดรเจน
[[ไฟล์:Cavendish.jpg|150px|thumbnail|left|คาเวนดิช]]
:พ.ศ. 2274 – 2353
ในอดีตเมื่อ 4 ศตวรรษก่อนที่ เฮนรี คาเวนดิช (Henry Cavendish) จะเกิด บรรพบุรุษหลายท่านของสกุลคาเวนดิชมีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะเคยเป็นคนสำคัญของประเทศ เช่น ในปี พ.ศ. 1909 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ตที่ 3 แห่งอังกฤษทรงแต่งตั้งให้ จอห์น เดอ คาเวนดิช (John de Cavendish) เป็นประธานศาลฏีกา อีก 2 ศตวรรษต่อมา โทมัส คาเวนดิช (Thomas Cavendish) ผู้เป็นโจรสลัดก็มีชื่อเสยงในฐานะชาวอังกฤษคนที่ 2 ที่ได้เดินทางรอบโลก และเมื่อถึงวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2274 (ตรงกับรัชสมัยพระภูมินทราชา) เลดี้แอนน์ คาเวนดิช (Lady Anne Cavendish) ก็ให้ได้กำเนิด เฮนรี คาเวนดิช ที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสถานที่ที่เธอไปพักรักษาครรภ์และฟื้นฟูสุขภาพโดยมี ลอร์ด ชาร์ล์ คาเวนดิช (Lord Charles Cavendish) ผู้เป็นสามีอยู่ดูแลด้วย แต่ทารกสกุลคาเวนดิชคนน้ เมื่อเติบใหญ่หาได้มักใหญ่ใฝ่อำนาจเหมือน บรรพบุรุษไม่ เพราะ เฮนรี คาเวนดิช ไม่มีความทะเยอทะยานในการแสวงหาตำแหน่งหรือหน้าที่ทางการเมืองเลย กลับอุทิศชีวิตให้วิทยาศาสตร์อย่างเงียบๆ และมีผลงานที่สำคัญ คือ พบธาตุไฮโดรเจน และเป็นบุคคลแรกที่ชั่งหาน้ำหนักของโลก
#พริสต์ลีย์ (Priestley) ผู้พบออกซิเจน
[[ไฟล์:Priestley.jpg|150px|thumbnail|left|พริสต์ลีย์]]
:พ.ศ. 2276 – 2347
เมื่อ โจเซฟ พริสต์ลีย์ (Joseph Priestley) กับผู้โดยสารประมาณอีก 100 คน เดินทางด้วนเรือเดินสมุทรชื่อ แซมซัน ถึงท่าเรือนิวยอร์ก ในวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2337 บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ New York American Daily Advertiser ได้เขียนบทความแสดงความเห็นว่า วันหนึ่งในอนาคต ชาวอังกฤษทุกคนจะสำนึกผิดที่ได้ขับไล่ไสส่งและทำลายทรัพย์สินของพริสต์ลีย์ นักเคมีผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ รวมถึงได้ตั้งข้อหาว่าเป็นกบฏผู้ทรยศต่อราชบัลลังด้วย ทั้งๆที่ในยุคนั้นพริสต์ลีย์นับเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เทียบได้กับ อองตวน ลาวัวซีเย ของฝรั่งเศส และ คาร์ล วิลเฮล์ม ซีเลอ (Karl Wilhelm Scheele) ของสวีเดน โจเซฟ พริสต์ลีย์ เกิดที่ตำบลเบอร์ทอลล์ใกล้เมืองลีดล์ ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2276 (ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระบรมโกษฐ์) บิดาเจมส์ มีอาชีพเป็นช่างตัดเสื้อ ส่วนมารดา แมรี เสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุยังน้อย ครอบครัวนี้มีลูก 6 คน โดยพริสต์ลีย์ เป็นบุตรคนหัวปี เมื่อบรรดาลูกๆขาดแม่ พริสต์ลีย์จึงถูกป้าและลุงนำไปเลี้ยงในบรรยากาศที่อบอวลด้วยศาสนา จนเด็กฃายพริสต์ลีย์คิดว่า เมื่อโตขึ้นจะบวชเรียนและเป็นนักเทศน์
เส้น 22 ⟶ 34:
== แหล่งข้อมูล ==
*{{Commons category-inline|Chemist|นักเคมี}}
<ref>สารคดี สุดยอดนักเคมีโลก ค.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน</ref>
[[หมวดหมู่:อาชีพ]]
[[หมวดหมู่:เคมี]]
|