ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ดาราศาสตร์"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ล แทนที่ ‘(?mi)\{\{Link GA\|.+?\}\}\n?’ ด้วย ‘’: เลิกใช้ เปลี่ยนไปใช้วิกิสนเทศ |
เก็บกวาด |
||
บรรทัด 2:
{{ใช้ปีคศ}}
[[ไฟล์:Milky Way 2005.jpg|thumb|250px|ดาราจักร[[ทางช้างเผือก]]]]
'''ดาราศาสตร์''' คือวิชา[[วิทยาศาสตร์]]ที่ศึกษา[[วัตถุท้องฟ้า]] (อาทิ [[ดาวฤกษ์]] [[ดาวเคราะห์]] [[ดาวหาง]] และ[[ดาราจักร]]) รวมทั้ง[[ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ]]
ดาราศาสตร์เป็นหนึ่งในสาขาของวิทยาศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุด นักดาราศาสตร์ในวัฒนธรรมโบราณสังเกตการณ์ดวงดาวบนท้องฟ้าในเวลากลางคืน และวัตถุทางดาราศาสตร์หลายอย่างก็ได้ถูกค้นพบเรื่อยมาตามยุคสมัย อย่างไรก็ตาม [[กล้องโทรทรรศน์]]เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่จำเป็นก่อนที่จะมีการพัฒนามาเป็นวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ตั้งแต่อดีตกาล ดาราศาสตร์ประกอบไปด้วยสาขาที่หลากหลายเช่น [[การวัดตำแหน่งดาว]] [[การเดินเรือดาราศาสตร์]] [[ดาราศาสตร์เชิงสังเกตการณ์]] การสร้าง[[ปฏิทิน]] และรวมทั้ง[[โหราศาสตร์]] แต่ดาราศาสตร์ทุกวันนี้ถูกจัดว่ามีความหมายเหมือนกับ[[ฟิสิกส์ดาราศาสตร์]] ตั้งแต่[[คริสต์ศตวรรษที่ 20]] เป็นต้นมา ดาราศาสตร์ได้แบ่งออกเป็นสองสาขาได้แก่ ดาราศาสตร์เชิงสังเกตการณ์ และดาราศาสตร์เชิงทฤษฎี ดาราศาสตร์เชิงสังเกตการณ์จะให้ความสำคัญไปที่การเก็บและการวิเคราะห์ข้อมูล โดยการใช้ความรู้ทางกายภาพเบื้องต้นเป็นหลัก ส่วนดาราศาสตร์เชิงทฤษฎีให้ความสำคัญไปที่การพัฒนา[[คอมพิวเตอร์]]หรือแบบจำลองเชิงวิเคราะห์ เพื่ออธิบายวัตถุท้องฟ้าและปรากฏการณ์
การค้นพบสิ่ง
ไม่ควรสับสนระหว่างดาราศาสตร์โบราณกับโหราศาสตร์ ซึ่งเป็น[[ความเชื่อ]]ที่นำเอาเหตุการณ์และพฤติกรรมของมนุษย์ไปเกี่ยวโยงกับตำแหน่งของวัตถุท้องฟ้า แม้ว่าทั้งดาราศาสตร์และโหราศาสตร์เกิดมาจากจุดร่วมเดียวกัน และมีส่วนหนึ่งของวิธีการศึกษาที่เหมือนกัน เช่นการบันทึก[[ตำแหน่งดาว]] (ephemeris) แต่ทั้งสองอย่างก็แตกต่างกัน <ref name="new cosmos">{{cite book | author=Albrecht Unsöld | coauthors=Bodo Baschek, W.D. Brewer (translator) | title=The New Cosmos: An Introduction to Astronomy and Astrophysics | year=2001| location=Berlin, New York | publisher=Springer | id =ISBN 3-540-67877-8 }}</ref>
บรรทัด 13:
== ประวัติ ==
ดาราศาสตร์นับเป็นวิชาที่เก่าแก่ที่สุดวิชาหนึ่ง เพราะนับตั้งแต่มีมนุษย์อยู่บนโลก เขาย่อมได้เห็นได้สัมผัสกับ[[สิ่งแวดล้อม]]ตาม[[ธรรมชาติ]]เสมอมา แล้วก็เริ่มสังเกตจดจำและเล่า
การศึกษาดาราศาสตร์ในยุค
เมื่อสังคมมีวิวัฒนาการขึ้นในดินแดน
มีการค้นพบทางดาราศาสตร์ที่สำคัญไม่มากนักก่อนการประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ ตัวอย่างการค้นพบเช่น ชาว[[จีน]]สามารถประเมิน[[ความเอียงของแกนโลก]]ได้ประมาณหนึ่งพันปี[[ก่อนคริสตกาล]] ชาว[[บาบิโลเนีย|บาบิโลน]]ค้นพบว่าปรากฏการณ์[[จันทรคราส]]จะเกิดขึ้นซ้ำเป็นช่วงเวลา เรียกว่า [[วงรอบซารอส]]<ref>[http://sunearth.gsfc.nasa.gov/eclipse/SEsaros/SEsaros.html Eclipses and the Saros] NASA. เก็บข้อมูลเมื่อ 2007-10-28. </ref> และช่วงสองร้อยปีก่อนคริสตกาล [[ฮิปปาร์คัส]] [[นักดาราศาสตร์]][[ชาวกรีก]] สามารถคำนวณขนาดและระยะห่างของ[[ดวงจันทร์]]ได้<ref>[http://www-groups.dcs.st-and.ac.uk/~history/Biographies/Hipparchus.html Hipparchus of Rhodes] School of Mathematics and Statistics, University of St Andrews, Scotland. เก็บข้อมูลเมื่อ 2007-10-28. </ref>
ตลอดช่วงยุคกลาง การค้นพบทางดาราศาสตร์ในยุโรปกลางมีน้อยมากจนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 13 แต่มีการค้นพบ
=== การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ===
บรรทัด 28:
ในยุค[[เรอเนซองส์]] [[นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส]] ได้นำเสนอแนวคิด[[ระบบดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง|แบบจำลองดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง]] ซึ่งถูกต่อต้านอย่างมากจากศาสนจักร ทว่าได้รับการยืนยันรับรองจากงานศึกษาของ[[กาลิเลโอ กาลิเลอี]] และ [[โยฮันเนส เคปเลอร์]] โดยที่กาลิเลโอได้ประดิษฐ์[[กล้องโทรทรรศน์หักเหแสง]]แบบใหม่ขึ้นในปี [[ค.ศ. 1609]] ทำให้สามารถเฝ้าสังเกตดวงดาวและนำผลจากการสังเกตมาช่วยยืนยันแนวคิดนี้
เคปเลอร์ได้คิดค้นระบบแบบใหม่ขึ้นโดยปรับปรุงจากแบบจำลองเดิมของโคเปอร์นิคัส ทำให้รายละเอียดการโคจร
การค้นพบ
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 [[เลออนฮาร์ด ออยเลอร์|ออยเลอร์]] [[อเล็กซิส คลาเราต์|คลาเราต์]] และ[[ฌอง ลารอง ดาเลมเบิร์ต|ดาเลมเบิร์ต]] ได้คิดค้นคณิตศาสตร์เกี่ยวกับ[[ปัญหาสามวัตถุ]] (three-body problem หรือ n-body problem) ทำให้การประมาณการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์และดาวเคราะห์สามารถทำได้แม่นยำขึ้น งานชิ้นนี้ได้รับการปรับปรุงต่อมาโดย [[โจเซฟ หลุยส์ ลากรองจ์|ลากรองจ์]] และ [[ปีแยร์-ซีมง ลาปลาส|ลาปลาส]] ทำให้สามารถประเมินมวลของดาวเคราะห์และดวงจันทร์ได้
การค้นพบสำคัญทางดาราศาสตร์ประสบความสำเร็จมากขึ้นเมื่อมีเทคโนโลยี
การค้นพบว่า [[ดาราจักร]]ของเราหรือ[[ดาราจักรทางช้างเผือก]]นี้ เป็นกลุ่มของดาวฤกษ์ที่รวมตัวอยู่ด้วยกัน เพิ่งเกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เอง พร้อมกับการค้นพบการมีอยู่ของดาราจักร
== ดาราศาสตร์เชิงสังเกตการณ์ ==
บรรทัด 44:
ในทางดาราศาสตร์ [[สารสนเทศ]]ส่วนใหญ่ได้จากการตรวจหาและวิเคราะห์[[โฟตอน]]ซึ่งเป็น[[การแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้า]]<ref>[http://imagine.gsfc.nasa.gov/docs/science/know_l1/emspectrum.html "Electromagnetic Spectrum"]. NASA. เก็บข้อมูลเมื่อ 2006-09-08.</ref> แต่อาจได้จากข้อมูลที่มากับ[[รังสีคอสมิก]] [[นิวตริโน]] [[ดาวตก]] และในอนาคตอันใกล้อาจได้จาก[[คลื่นความโน้มถ่วง]]
การแบ่งหมวดของดาราศาสตร์เชิงสังเกตการณ์สามารถแบ่งได้ตามการสังเกตการณ์[[สเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า]]ในย่านต่าง ๆ โดยการสังเกตการณ์บางย่านสเปกตรัมสามารถกระทำได้บนพื้นผิวโลก แต่บางย่านจะสามารถทำได้ในชั้นบรรยากาศสูงหรือใน[[อวกาศ]]เท่านั้น การสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ในย่านสเปกตรัม
=== ดาราศาสตร์วิทยุ ===
{{บทความหลัก|ดาราศาสตร์วิทยุ}}
ดาราศาสตร์วิทยุเป็นการตรวจหาการแผ่รังสีในความยาวคลื่นที่ยาวกว่า 1 [[มิลลิเมตร]] (ระดับมิลลิเมตรถึงเดคาเมตร) <ref name="allen" /> เป็นการศึกษาดาราศาสตร์ที่แตกต่างจากการศึกษาดาราศาสตร์เชิงสังเกตการณ์รูปแบบ
คลื่นวิทยุที่แผ่จากวัตถุดาราศาสตร์จำนวนหนึ่งอาจอยู่ในรูปของการแผ่รังสีความร้อน โดยมากแล้วการแผ่คลื่นวิทยุที่ตรวจจับได้บนโลกมักอยู่ในรูปแบบของ[[การแผ่รังสีซิงโครตรอน]] ซึ่งเกิดจากการที่อิเล็กตรอนเคลื่อนที่เป็นคาบรอบเส้นแรงสนามแม่เหล็ก<ref name="allen" /> นอกจากนี้สเปกตรัมที่เกิดจาก[[แก๊สระหว่างดาว]] โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นสเปกตรัมของ[[ไฮโดรเจน]]ที่ 21 เซนติเมตร จะสามารถสังเกตได้ในช่วงคลื่นวิทยุ<ref name="shu">F. H. Shu (1982). ''The Physical Universe''. Mill Valley, California: University Science Books. ISBN 0-935702-05-9.</ref><ref name="allen" />
บรรทัด 56:
=== ดาราศาสตร์เชิงแสง ===
{{บทความหลัก|ดาราศาสตร์เชิงแสง}}
การสังเกตการณ์ดาราศาสตร์เชิงแสงเป็นการศึกษาดาราศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุด<ref name="optical">P. Moore (1997). ''Philip's Atlas of the Universe''. Great Britain: George Philis Limited. ISBN 0-540-07465-9.</ref> คือการสังเกตการณ์ท้องฟ้าด้วย[[ดวงตา]]มนุษย์ โดยอาศัยเครื่องมือช่วยบ้างเช่น [[กล้องโทรทรรศน์]] ภาพที่มองเห็นถูกบันทึกเอาไว้โดยการวาด จนกระทั่งช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 20 จึงมีการบันทึกภาพสังเกตการณ์ด้วยเครื่องมือถ่ายภาพ ภาพสังเกตการณ์ยุคใหม่มักใช้อุปกรณ์ตรวจจับแบบดิจิตอล ที่นิยมอย่างมากคือ[[อุปกรณ์ถ่ายเทประจุ|อุปกรณ์จับภาพแบบซีซีดี]] แม้ว่า[[แสงที่ตามองเห็น]]จะมี[[ความยาวคลื่น]]อยู่ระหว่าง 4000 [[Å]] ถึง 7000 Å (400-700 [[นาโนเมตร|nm]]) <ref name="optical" /> แต่อุปกรณ์ตรวจจับเหล่านี้ก็มักจะมีความสามารถสังเกตภาพที่มีการแผ่รังสีแบบใกล้[[อัลตราไวโอเลต]] และใกล้[[อินฟราเรด]]ได้ด้วย
=== ดาราศาสตร์อินฟราเรด ===
{{บทความหลัก|ดาราศาสตร์อินฟราเรด}}
ดาราศาสตร์อินฟราเรด เป็นการตรวจหาและวิเคราะห์การแผ่รังสีในช่วงคลื่น[[อินฟราเรด]] (คือช่วง[[ความยาวคลื่น]]ที่ยาวกว่าแสงสีแดง) ยกเว้นในช่วงคลื่นที่ใกล้เคียงกับแสงที่ตามองเห็น การแผ่รังสีอินฟราเรดจะถูก[[ชั้นบรรยากาศของโลก]]ดูดซับไปมากแล้วชั้นบรรยากาศจะปลดปล่อยรังสีอินฟราเรดออกมาแทน ดังนั้นการสังเกตการณ์ในช่วงคลื่นอินฟราเรดจึงจำเป็นต้องทำที่ระดับบรรยากาศที่สูงและแห้ง หรือออกไปสังเกตการณ์ในอวกาศ การศึกษาดาราศาสตร์ในช่วงคลื่นอินฟราเรดมีประโยชน์มากในการศึกษาวัตถุที่เย็นเกินกว่าจะแผ่รังสีคลื่น[[แสงที่ตามองเห็น]]ออกมาได้ เช่น [[ดาวเคราะห์]] และแผ่นจานดาวฤกษ์ (circumstellar disk) ยิ่งคลื่นอินฟราเรดมีความยาวคลื่นมาก จะสามารถเดินทางผ่านกลุ่มเมฆฝุ่นได้ดีกว่าแสงที่ตามองเห็นมาก ทำให้เราสามารถเฝ้าสังเกต[[วิวัฒนาการของดาวฤกษ์|ดาวฤกษ์เกิดใหม่]]ใน[[เมฆโมเลกุล]]และในใจกลางของ[[ดาราจักร]]
=== ดาราศาสตร์พลังงานสูง ===
บรรทัด 67:
==== ดาราศาสตร์รังสีอัลตราไวโอเลต ====
{{บทความหลัก|ดาราศาสตร์รังสีอัลตราไวโอเลต}}
ดาราศาสตร์รังสีอัลตราไวโอเลตเป็นการศึกษาวัตถุทางดาราศาสตร์ในช่วง[[ความยาวคลื่น]]สั้นกว่าแสงม่วง คือประมาณ 10-3200 [[Å]] (10-320 [[นาโนเมตร]]) <ref name="allen" /> แสงที่ความยาวคลื่นนี้จะถูก[[ชั้นบรรยากาศของโลก]]ดูดซับไป ดังนั้นการสังเกตการณ์จึงต้องกระทำที่ชั้นบรรยากาศรอบนอก หรือในห้วงอวกาศ การศึกษาดาราศาสตร์รังสีอัลตราไวโอเลตจะใช้ในการศึกษาการแผ่รังสีความร้อนและเส้นการกระจายตัวของสเปกตรัมจาก[[ดาวฤกษ์]]สีน้ำเงินร้อนจัด ([[ดาวโอบี]]) ที่ส่องสว่างมากในช่วงคลื่นนี้ รวมไปถึงดาวฤกษ์สีน้ำเงินใน[[ดาราจักร]]อื่นที่เป็นเป้าหมายสำคัญในการสำรวจระดับอัลตราไวโอเลต วัตถุ
==== ดาราศาสตร์รังสีเอ็กซ์ ====
{{บทความหลัก|ดาราศาสตร์รังสีเอ็กซ์}}
ดาราศาสตร์รังสีเอ็กซ์ คือการศึกษาวัตถุทางดาราศาสตร์ในช่วงความยาวคลื่นของ[[รังสีเอ็กซ์]] โดยทั่วไปวัตถุจะแผ่รังสีเอ็กซ์ออกมาจาก[[การแผ่รังสีซิงโครตรอน]] (เกิดจากอิเล็กตรอนแกว่งตัวเป็นคาบรอบเส้นแรงสนามแม่เหล็ก) จากการแผ่ความร้อนของแก๊สเบาบางที่อุณหภูมิสูงกว่า 10<sup>7</sup> [[เคลวิน]] (เรียกว่า [[การแผ่รังสี bremsstrahlung]]) และจากการแผ่ความร้อนของแก๊สหนาแน่นที่อุณหภูมิสูงกว่า 10<sup>7</sup> เคลวิน (เรียกว่า [[การแผ่รังสีของวัตถุดำ]]) <ref name="allen">A. N. Cox, editor (2000). ''Allen's Astrophysical Quantities''. New York: Springer-Verlag. ISBN 0-387-98746-0.</ref> คลื่นรังสีเอ็กซ์มักถูก[[ชั้นบรรยากาศของโลก]]ดูดซับไป ดังนั้นการสังเกตการณ์ในช่วงความยาวคลื่นของรังสีเอ็กซ์จึงทำได้โดยอาศัย[[บัลลูน]]ที่ลอยตัวสูง
==== ดาราศาสตร์รังสีแกมมา ====
บรรทัด 80:
=== การสังเกตการณ์อื่นนอกเหนือจากสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า ===
นอกเหนือจากการสังเกตการณ์ดาราศาสตร์โดยการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแล้ว ยังมีการสังเกตการณ์
ในการศึกษา[[ดาราศาสตร์นิวตริโน]] นักดาราศาสตร์จะใช้ห้องทดลองใต้ดินพิเศษเช่น SAGE, GALLEX, และ Kamioka II/III เพื่อทำการตรวจจับ[[นิวตริโน]] ซึ่งเป็นอนุภาคที่เกิดจาก[[ดวงอาทิตย์]] แต่ก็อาจพบจาก[[ซูเปอร์โนวา]]ด้วย<ref name="allen" /> เราสามารถตรวจหา[[รังสีคอสมิก]]ซึ่งประกอบด้วยอนุภาคพลังงานสูงได้ขณะที่มันปะทะกับชั้นบรรยากาศของโลก เครื่องมือตรวจจับนิวตริโนในอนาคตอาจมีความสามารถพอจะตรวจจับนิวตริโนที่เกิดจากรังสีคอสมิกในลักษณะนี้ได้<ref name="allen" />
บรรทัด 86:
การเฝ้าสังเกตการณ์อีกแบบหนึ่งคือการสังเกตการณ์[[คลื่นความโน้มถ่วง]] ตัวอย่างหอสังเกตการณ์ลักษณะนี้ เช่น Laser Interferometer Gravitational Observatory (LIGO) แต่การตรวจหาคลื่นความโน้มถ่วงยังเป็นไปได้ยากอยู่<ref>G. A. Tammann, F. K. Thielemann, D. Trautmann (2003). [http://www.europhysicsnews.com/full/20/article8/article8.html "Opening new windows in observing the Universe"]. Europhysics News. เก็บข้อมูลเมื่อ 2006-08-22.</ref>
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาดาราศาสตร์ดาวเคราะห์ ซึ่งทำได้โดยการสังเกตการณ์โดยตรงผ่านยานอวกาศ รวมถึงการเก็บข้อมูลระหว่างที่ยานเดินทางผ่านวัตถุท้องฟ้า
== ดาราศาสตร์เชิงทฤษฎี ==
ในการศึกษาดาราศาสตร์เชิงทฤษฎี มีการใช้เครื่องมือหลากหลายชนิดรวมถึงแบบจำลองการวิเคราะห์
นักดาราศาสตร์ทฤษฎีล้วนกระตือรือร้นที่จะสร้างแบบจำลองทฤษฎีเพื่อระบุถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปจากผลสังเกตการณ์ที่ได้รับ เพื่อช่วยให้ผู้สังเกตการณ์สามารถเลือกใช้หรือปฏิเสธแบบจำลองแต่ละชนิดได้ตามที่เหมาะสมกับข้อมูล นักดาราศาสตร์ทฤษฎียังพยายามสร้างหรือปรับปรุงแบบจำลองให้เข้ากับข้อมูล
หัวข้อ
ตัวอย่างหัวข้อการศึกษาดาราศาสตร์เชิงทฤษฎี มีดังนี้
{|
|-
|| <!--A--> '''กระบวนการทางฟิสิกส์'''
|| <!--B--> '''เครื่องมือทางดาราศาสตร์'''
|| <!--C--> '''แบบจำลองทางทฤษฎี'''
|| <!--D--> '''การทำนายปรากฏการณ์'''
|-
|| <!--A-->[[ความโน้มถ่วง]]
|| <!--B-->[[กล้องโทรทรรศน์วิทยุ]]
|| <!--C-->[[วิวัฒนาการของดาวฤกษ์]]
|| <!--D-->การสิ้นอายุขัยของ[[ดาวฤกษ์]]
|-
|| <!--A--> [[นิวเคลียร์ฟิวชั่น]]
|| <!--B--> [[กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล]]
|| <!--C--> [[การขยายตัวของเอกภพ]]
|| <!--D--> [[อายุของเอกภพ]]
|-
|| <!--A-->[[บิกแบง]]
|| <!--B-->[[สเปกโตรสโกปี]]
|| <!--C--> [[การพองตัวของจักรวาล]]
|| <!--D--> [[ความแบนของเอกภพ]]
|-
|| <!--A--> [[ความผันผวนควอนตัม]]
|| <!--B--> [[ดาราศาสตร์รังสีเอ็กซ์]]
|| <!--C--> [[ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป]]
|| <!--D--> [[หลุมดำ]]ที่ใจกลาง[[ดาราจักรแอนดรอเมดา]]
|-
|| <!--A--> [[การยุบตัวของความโน้มถ่วง]]
|| <!--B-->
|| <!--C-->
|| <!--D--> [[นิวคลีโอซินทีสิส|การเกิดของธาตุต่าง ๆ]]
|-
|| <!--A-->
|| <!--B-->
|| <!--C-->
|| <!--D-->
|-
|}
บรรทัด 140:
{{บทความหลัก|ดวงอาทิตย์}}
[[ดวงอาทิตย์]] เป็นเป้าหมายการศึกษาทางดาราศาสตร์ยอดนิยมแห่งหนึ่ง อยู่ห่างจากโลกไปประมาณ 8 [[นาทีแสง]] เป็นดาวฤกษ์ซึ่งอยู่ใน[[แถบลำดับหลัก]]โดยเป็นดาวแคระประเภท G2 V มีอายุประมาณ 4.6 พันล้านปี ดวงอาทิตย์ของเรานี้ไม่นับว่าเป็น[[ดาวแปรแสง]] แต่มีความเปลี่ยนแปลงในการส่องสว่างอยู่เป็นระยะอันเนื่องจากจากรอบปรากฏของ[[จุดดับบนดวงอาทิตย์]] อันเป็นบริเวณที่พื้นผิวดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิต่ำกว่าพื้นผิว
ดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างมากขึ้น
พื้นผิวรอบนอกของดวงอาทิตย์ที่เรามองเห็นเรียกว่า [[โฟโตสเฟียร์]] เหนือพื้นผิวนี้เป็นชั้น
ใจกลางของดวงอาทิตย์เรียกว่าย่านแกนกลาง เป็นเขตที่มี[[อุณหภูมิ]]และ[[ความดัน]]มากพอจะทำให้เกิดปฏิกิริยา[[นิวเคลียร์ฟิวชั่น]] เหนือจากย่านแกนกลางเรียกว่าย่านแผ่รังสี (radiation zone) เป็นที่ซึ่ง[[พลาสมา (สถานะของสสาร)|พลาสมา]]แผ่คลื่นพลังงานออกมาในรูปของรังสี ชั้นนอกออกมาเป็นย่านพาความร้อน (convection zone) ซึ่งสสารแก๊สจะเปลี่ยนพลังงานกลายไปเป็นแก๊ส เชื่อว่าย่านพาความร้อนนี้เป็นกำเนิดของสนามแม่เหล็กที่ทำให้เกิดจุดดับบนดวงอาทิตย์<ref name="solar" />
บรรทัด 154:
{{บทความหลัก|วิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์}}
วิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับองค์ประกอบของ[[ดาวเคราะห์]] [[ดวงจันทร์]] [[ดาวเคราะห์แคระ]] [[ดาวหาง]] [[ดาวเคราะห์น้อย]] และวัตถุท้องฟ้า
วัตถุในระบบสุริยะสามารถแบ่งออกได้เป็น ดาวเคราะห์รอบใน [[แถบดาวเคราะห์น้อย]] และดาวเคราะห์รอบนอก ในกลุ่มดาวเคราะห์รอบในประกอบด้วย [[ดาวพุธ]] [[ดาวศุกร์]] [[โลก]] และ[[ดาวอังคาร]] ส่วนในกลุ่มดาวเคราะห์รอบนอกเป็นดาวแก๊สยักษ์ ได้แก่ [[ดาวพฤหัสบดี]] [[ดาวเสาร์]] [[ดาวยูเรนัส]] [[ดาวเนปจูน]] และดาวเคราะห์หินขนาดเล็ก [[ดาวพลูโต|พลูโต]]<ref>E. Grayzeck, D. R. Williams (2006-05-11). [http://nssdc.gsfc.nasa.gov/planetary/ "Lunar and Planetary Science"]. NASA. เก็บข้อมูลเมื่อ 2006-08-21.</ref> พ้นจากดาวเนปจูนไปจะมี[[แถบไคเปอร์]] และ[[เมฆออร์ต|กลุ่มเมฆออร์ต]] ซึ่งแผ่กว้างเป็นระยะทางถึงหนึ่ง[[ปีแสง]]
ดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้นจากแผ่นจานฝุ่นที่หมุนวน
เมื่อดาวเคราะห์เหล่านี้มีมวลมากพอ โดยรวมเอาสสารที่มีความหนาแน่นแบบ
ความร้อนภายในของดาวเคราะห์หรือดวงจันทร์เป็นผลจากการปะทะกันที่ทำให้เกิดโครงร่างและ[[สารกัมมันตรังสี]] (เช่น [[ยูเรเนียม]] [[ธอเรียม]] และ [[อะลูมิเนียม|<sup>26</sup>Al]] ดาวเคราะห์และดวงจันทร์บางดวงสะสมความร้อนไว้มากพอจะทำให้เกิดกระบวนการทาง[[ธรณีวิทยา]]เช่น [[ภูเขาไฟ]]และ[[แผ่นดินไหว]] ส่วนพวกที่สามารถสะสมชั้นบรรยากาศของตัวเองได้ ก็จะมีกระบวนการกัดกร่อนของลมและน้ำ ดาวเคราะห์ที่เล็กกว่าจะเย็นตัวลงเร็วกว่า และปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาจะหยุดลงเว้นแต่หลุมบ่อจากการถูกชนเท่านั้น<ref>J.K. Beatty, C.C. Petersen, A. Chaikin, ed. (1999). ''The New Solar System'' (4th ed.). Cambridge press. ISBN 0-521-64587-5.</ref>
บรรทัด 172:
ดาวฤกษ์ถือกำเนิดขึ้นในย่านอวกาศที่มีฝุ่นและแก๊สอยู่หนาแน่น เรียกชื่อว่า[[เมฆโมเลกุล|เมฆโมเลกุลขนาดยักษ์]] เมื่อเกิดภาวะที่ไม่เสถียร ส่วนประกอบของเมฆอาจแตกสลายไปภายใต้แรงโน้มถ่วง และทำให้เกิดเป็น[[ดาวฤกษ์ก่อนเกิด]]ขึ้น บริเวณที่มีความหนาแน่นของแก๊สและฝุ่นสูงมากพอ และร้อนมากพอ จะเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น ซึ่งทำให้เกิดดาวฤกษ์ใน[[แถบลำดับหลัก]]ขึ้น<ref>[http://observe.arc.nasa.gov/nasa/space/stellardeath/stellardeath_intro.html "Stellar Evolution & Death"]. NASA Observatorium. เก็บข้อมูลเมื่อ 2006-06-08.</ref> ธาตุที่กำเนิดขึ้นในแกนกลางของดาวฤกษ์โดยมากเป็นธาตุที่หนักกว่า[[ไฮโดรเจน]]และ[[ฮีเลียม]]ทั้งสิ้น
คุณลักษณะ
การสิ้นสุดชะตากรรมของดาวฤกษ์ก็ขึ้นอยู่กับมวลของมันเช่นกัน ดาวฤกษ์ที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของเรามากกว่า 8 เท่าจะแตกสลายกลายไปเป็น[[ซูเปอร์โนวา]] ขณะที่ดาวฤกษ์ที่เล็กกว่าจะกลายไปเป็น[[เนบิวลาดาวเคราะห์]] และวิวัฒนาการต่อไปเป็น[[ดาวแคระขาว]] ซากของซูเปอร์โนวาคือ[[ดาวนิวตรอน]]ที่หนาแน่น หรือในกรณีที่ดาวฤกษ์นั้นมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของเรากว่า 3 เท่า มันจะกลายไปเป็น[[หลุมดำ]]<ref>Jean Audouze, Guy Israel, ed. (1994). ''The Cambridge Atlas of Astronomy'' (3rd ed.). Cambridge University Press. ISBN 0-521-43438-6.</ref> สำหรับดาวฤกษ์ที่เป็น[[ระบบดาวคู่]]อาจมีวิวัฒนาการที่แตกต่างออกไป เช่นอาจมีการถ่ายเทมวลแก่กันแล้วกลายเป็นดาวแคระขาวแบบคู่ซึ่งสามารถจะกลายไปเป็นซูเปอร์โนวาได้ การเกิดเนบิวลาดาวเคราะห์และซูเปอร์โนวาเป็นการกระจายสสารธาตุออกไปสู่[[สสารระหว่างดาว]] หากไม่มีกระบวนการนี้แล้ว ดาวฤกษ์
=== ดาราศาสตร์ดาราจักร ===
บรรทัด 180:
{{บทความหลัก|ดาราศาสตร์ดาราจักร}}
ระบบสุริยะของเราโคจรอยู่ภายใน[[ดาราจักรทางช้างเผือก]] ซึ่งเป็น[[ดาราจักรชนิดก้นหอยมีคาน]] และเป็น[[ดาราจักร]]สมาชิกแห่งหนึ่งใน[[กลุ่มท้องถิ่น]] ดาราจักรนี้เป็นกลุ่มแก๊ส ฝุ่น ดาวฤกษ์ และวัตถุ
ที่ใจกลางของทางช้างเผือกมีลักษณะคล้ายดุมกังหันขนาดใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของ[[หลุมดำมวลยวดยิ่ง]]
ที่ว่างระหว่างดวงดาวมี[[สสารระหว่างดาว]]บรรจุอยู่ เป็นย่านที่มีวัตถุ
เมื่อมีดาวฤกษ์มวลมากปรากฏขึ้นมากเข้า มันจะเปลี่ยนเมฆโมเลกุลให้กลายเป็น[[บริเวณเอชทู]]ซึ่งเป็นย่านเรืองแสงเต็มไปด้วยแก๊สและพลาสมา [[ลมดาวฤกษ์]]กับการระเบิด[[ซูเปอร์โนวา]]ของดาวเหล่านี้จะทำให้กลุ่มเมฆกระจายตัวกันออกไป แล้วเหลือแต่เพียงกลุ่มของดาวฤกษ์จำนวนหนึ่งที่เกาะกลุ่มกันเป็น[[กระจุกดาวเปิด]]อายุ
การศึกษา[[จลนศาสตร์]]ของมวลสารในทางช้างเผือกและดาราจักร
=== ดาราศาสตร์ดาราจักรนอกระบบ ===
บรรทัด 196:
การศึกษาวัตถุที่อยู่ในห้วงอวกาศอื่นนอกเหนือจากดาราจักรของเรา เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ[[กำเนิดและวิวัฒนาการของดาราจักร]] การศึกษารูปร่างลักษณะและ[[การจัดประเภทของดาราจักร]] การสำรวจ[[ดาราจักรกัมมันต์]] การศึกษาการจัด[[กลุ่มและกระจุกดาราจักร]] ซึ่งในหัวข้อหลังนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจกับ[[โครงสร้างขนาดใหญ่ของจักรวาล]]
ดาราจักรส่วนใหญ่จะถูกจัดกลุ่มตามรูปร่างลักษณะที่ปรากฏ เข้าตามหลักเกณฑ์ของการจัดประเภทดาราจักร ซึ่งมีกลุ่ม
ลักษณะของดาราจักรคล้ายคลึงกับชื่อประเภทที่กำหนด [[ดาราจักรชนิดรี]]จะมีรูปร่างในภาคตัดขวางคล้ายคลึงกับรูปวงรี ดาวฤกษ์จะโคจรไปแบบสุ่มโดยไม่มีทิศทางที่แน่ชัด ดาราจักรประเภทนี้มักไม่ค่อยมีฝุ่นระหว่างดวงดาวหลงเหลือแล้ว ย่านกำเนิดดาวใหม่ก็ไม่มี และดาวฤกษ์ส่วนใหญ่จะมีอายุมาก เรามักพบดาราจักรชนิดรีที่บริเวณใจกลางของ[[กระจุกดาราจักร]] หรืออาจเกิดขึ้นจากการที่ดาราจักรขนาดใหญ่สองแห่งปะทะแล้วรวมตัวเข้าด้วยกันก็ได้
บรรทัด 202:
[[ดาราจักรชนิดก้นหอย]]มักมีรูปทรงค่อนข้างแบน เหมือนแผ่นจานหมุน และส่วนใหญ่จะมีดุมหรือมีแกนรูปร่างคล้ายคานที่บริเวณใจกลาง พร้อมกับแขนก้นหอยสว่างแผ่ออกไปเป็นวง แขนก้นหอยนี้เป็นย่านของฝุ่นที่เป็นต้นกำเนิดของดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์อายุน้อยมวลมากจะทำให้แขนนี้ส่องสว่างเป็นสีฟ้า ส่วนที่รอบนอกของดาราจักรมักเป็นกลุ่มของดาวฤกษ์อายุมาก ดาราจักร[[ทางช้างเผือก]]ของเราและ[[ดาราจักรแอนดรอเมดา]]ก็เป็นดาราจักรชนิดก้นหอย
[[ดาราจักรไร้รูปแบบ]]มักมีรูปร่างปรากฏไม่แน่ไม่นอน ไม่ใช่ทั้งดาราจักรชนิดรีหรือชนิดก้นหอย ประมาณหนึ่งในสี่ของจำนวนดาราจักรทั้งหมดที่พบเป็นดาราจักรชนิดไร้รูปแบบนี้ รูปร่างอันแปลกประหลาดของดาราจักรมักทำให้เกิดปฏิกิริยาแรงโน้มถ่วง
[[ดาราจักรกัมมันต์]]คือดาราจักรที่มีการเปล่งสัญญาณพลังงานจำนวนมากออกมาจากแหล่งกำเนิดอื่นนอกเหนือจากดาวฤกษ์ ฝุ่น และแก๊ส แหล่งพลังงานนี้เป็นย่าน
[[โครงสร้างขนาดใหญ่ของจักรวาล]]ประกอบด้วย[[กลุ่มและกระจุกดาราจักร]]จำนวนมาก โครงสร้างนี้มีการจัดลำดับชั้นโดยที่ระดับชั้นที่ใหญ่ที่สุดคือ มหากระจุกของดาราจักร เหนือกว่านั้นมวลสารจะมีการโยงใยกันในลักษณะของ[[ใยเอกภพ]]และกำแพงเอกภพ ส่วนที่ว่างระหว่างนั้นมีแต่สุญญากาศ<ref>Zeilik, Michael (2002). ''Astronomy: The Evolving Universe'' (8th ed.). Wiley. ISBN 0-521-80090-0.</ref>
บรรทัด 215:
การสังเกตการณ์[[โครงสร้างขนาดใหญ่ของเอกภพ]] เป็นสาขาวิชาหนึ่งที่เรียกว่า [[จักรวาลวิทยาเชิงกายภาพ]] ช่วยให้เรามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการกำเนิดและวิวัฒนาการของจักรวาล ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปสำหรับพื้นฐานของจักรวาลวิทยาสมัยใหม่ ได้แก่ [[ทฤษฎีบิกแบง]] ซึ่งกล่าวว่าเอกภพของเรากำเนิดมาจากจุดเพียงจุดเดียว หลังจากนั้นจึงขยายตัวขึ้นเป็นเวลากว่า 13.7 พันล้านปีมาแล้ว หลักการของทฤษฎีบิกแบงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่การค้นพบ[[รังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาล]] ในปี ค.ศ. 1965
ตลอดช่วงเวลาการขยายตัวของเอกภพนี้ เอกภพได้ผ่านขั้นตอนของวิวัฒนาการมามากมายหลายครั้ง ในช่วงแรก ทฤษฎีคาดการณ์ว่าเอกภพน่าจะผ่านช่วงเวลา[[การพองตัวของจักรวาล]]ที่รวดเร็วมหาศาล ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกันและเสมอกันในทุกทิศทางในสภาวะเริ่มต้น หลังจากนั้น [[นิวคลีโอซินทีสิส]]จึงทำให้เกิดธาตุ
เมื่อมีอะตอมแรกเกิดขึ้น จึงมีการแผ่รังสีผ่านอวกาศ ปลดปล่อยพลังงานออกมาดั่งที่ทุกวันนี้เรามองเห็นเป็น[[รังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาล]] เอกภพขยายตัวผ่านช่วงเวลาของ[[ยุคมืด]]เพราะไม่ค่อยมีแหล่งกำเนิดพลังงานของดาวฤกษ์<ref>Hinshaw, Gary (2006-07-13). [http://map.gsfc.nasa.gov/m_uni.html "Cosmology 101: The Study of the Universe"]. NASA [[WMAP]]. เก็บข้อมูลเมื่อ 2006-08-10.</ref>
บรรทัด 221:
เริ่มมีการจัดโครงสร้างลำดับชั้นของสสารขึ้นนับแต่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นของสสาร สสารที่รวมกลุ่มกันอยู่เป็นบริเวณหนาแน่นที่สุดกลายไปเป็นกลุ่มเมฆแก๊สและดาวฤกษ์ยุคแรกสุด ดาวฤกษ์มวลมากเหล่านี้เป็นจุดกำเนิดของกระบวนการแตกตัวทางไฟฟ้าซึ่งเชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของธาตุหนักมากมายที่อยู่ในเอกภพยุคเริ่มต้น
ผลจากแรงโน้มถ่วงทำให้มีการดึงดูดรวมกลุ่มกันเกิดเป็น[[ใยเอกภพ]] มีช่องสุญญากาศเป็นพื้นที่ว่าง หลังจากนั้นโครงสร้างของแก๊สและฝุ่นก็
โครงสร้างพื้นฐานที่สุดของจักรวาลคือการมีอยู่ของ[[สสารมืด]]และ[[พลังงานมืด]] ในปัจจุบันเราเชื่อกันว่าทั้งสองสิ่งนี้มีอยู่จริง และเป็นส่วนประกอบถึงกว่า 96% ของความหนาแน่นทั้งหมดของเอกภพ เหตุนี้การศึกษาฟิสิกส์ในยุคใหม่จึงเป็นความพยายามทำความเข้าใจกับองค์ประกอบเหล่านี้<ref>Preuss, Paul. [http://www.lbl.gov/Science-Articles/Archive/dark-energy.html "Dark Energy Fills the Cosmos"]. U.S. Department of Energy, Berkeley Lab. เก็บข้อมูลเมื่อ 2006-09-08. </ref>
บรรทัด 230:
* [[โบราณดาราศาสตร์]] (Archaeoastronomy) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับวิทยาการดาราศาสตร์ในยุคโบราณหรือยุคดั้งเดิม โดยพิจารณาถึงสภาพสังคมและวัฒนธรรม อาศัยหลักฐานในทาง[[โบราณคดี]]และ[[มานุษยวิทยา]]เข้ามาช่วย
* [[ชีววิทยาดาราศาสตร์]] (Astrobiology) เป็นการศึกษาการมาถึงและวิวัฒนาการของระบบ[[ชีววิทยา]]ในเอกภพ ที่สำคัญคือการศึกษาและตรวจหาความเป็นไปได้ของสิ่งมีชีวิตในโลกอื่น
* [[เคมีดาราศาสตร์]] (Astrochemistry) เป็นการศึกษาลักษณะทาง[[เคมี]]ที่พบในอวกาศ นับแต่การก่อตัว การเกิดปฏิกิริยา และการสูญสลาย มักใช้ในการศึกษา[[เมฆโมเลกุล]] รวมถึงดาวฤกษ์อุณหภูมิต่ำ
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับ [[การวัดตำแหน่งดาว]] (Astrometry) และ[[กลศาสตร์ท้องฟ้า]] (Celestial Mechanics) ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับตำแหน่งและการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของวัตถุท้องฟ้า การระบุพิกัดและ[[จลนศาสตร์]]ของวัตถุท้องฟ้า ลักษณะของ[[วงโคจร]] [[ความโน้มถ่วง]] และ
== ดาราศาสตร์สมัครเล่น ==
บรรทัด 250:
นับแต่อดีตมา นักดาราศาสตร์สมัครเล่นได้สังเกตพบวัตถุท้องฟ้าและปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่สำคัญมากมายด้วยเครื่องมือที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง เป้าหมายในการสังเกตการณ์ของนักดาราศาสตร์สมัครเล่นโดยมากได้แก่ [[ดวงจันทร์]] [[ดาวเคราะห์]] [[ดาวฤกษ์]] [[ดาวหาง]] [[ฝนดาวตก]] และวัตถุในห้วงอวกาศลึกอีกจำนวนหนึ่งเช่น [[กระจุกดาว]] [[กระจุกดาราจักร]] หรือ[[เนบิวลา]] สาขาวิชาย่อยสาขาหนึ่งของดาราศาสตร์สมัครเล่น คือการถ่ายภาพทางดาราศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีการถ่ายภาพในท้องฟ้ายามราตรี นักดาราศาสตร์สมัครเล่นส่วนมากจะเจาะจงเฝ้าสังเกตวัตถุท้องฟ้าหรือปรากฏการณ์บางอย่างที่พวกเขาสนใจเป็นพิเศษ<ref>{{cite web | url=http://www.amsmeteors.org/ | title = The Americal Meteor Society | accessdate = 2006-08-24 }}</ref><ref>{{cite web | first=Jerry | last=Lodriguss | url=http://www.astropix.com/ | title = Catching the Light: Astrophotography | accessdate = 2006-08-24 }}</ref>
ส่วนใหญ่แล้วนักดาราศาสตร์สมัครเล่นจะสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ใน[[คลื่นที่ตามองเห็น]] แต่ก็มีการทดลอง
มีบทความทางดาราศาสตร์มากมายที่ส่งมาจากนักดาราศาสตร์สมัครเล่น อันที่จริงแล้ว นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่สาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ที่มือสมัครเล่นก็สามารถมีส่วนร่วมหรือเขียนบทความ
== ปีดาราศาสตร์สากล 2009 ==
บรรทัด 259:
ปี [[ค.ศ. 2009]] เป็นปีที่ครบรอบ 400 ปี นับจาก[[กาลิเลโอ]]ได้ประดิษฐ์[[กล้องโทรทรรศน์]]ขึ้นเพื่อทำการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ และพบหลักฐานยืนยัน[[แนวคิดดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล]]ที่นำเสนอโดย [[นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส]] ไม่นานก่อนหน้านั้น การค้นพบนี้ถือเป็นการปฏิวัติแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับ[[เอกภพ|จักรวาล]] และเป็นการบุกเบิกการศึกษาดาราศาสตร์ยุคใหม่โดยอาศัยกล้องโทรทรรศน์ ซึ่งมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้นตามที่เทคโนโลยีของกล้องโทรทรรศน์พัฒนาขึ้น
[[องค์การสหประชาชาติ]]จึงได้ประกาศให้ปี ค.ศ. 2009 เป็น'''[[ปีดาราศาสตร์สากล]]''' โดยได้ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2008 กิจกรรม
== ดูเพิ่ม ==
|