ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วิศวกรรมโครงสร้าง"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Roonie.02 (คุย | ส่วนร่วม)
Awksauce (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาด
บรรทัด 1:
[[Fileไฟล์:Unity-Zarya-Zvezda STS-106.jpg|right|thumb|วิศวกรรมโครงสร้างเกี่ยวข้องกับการสร้างระบบที่ซับซ้อนเช่นสถานีอวกาศนานาชาติ, ที่นี่จะเห็นจากกระสวยอวกาศแอตแลนติสที่แยกตัวออกไป]]
[[Fileไฟล์:Phoenix Mars Lander in testing PIA01885.jpg|thumb|right|วิศวกรโครงสร้างกำลังสืบสวนยานอวกาศที่มุ่งสู่ดาวอังคารของนาซา, Phoenix Mars Lander]]
[[Fileไฟล์:Tour Eiffel Wikimedia Commons.jpg|right|thumb|หอไอเฟลเป็นความสำเร็จทางประวัติศาสตร์ของวิศวกรรมโครงสร้าง]]
 
'''วิศวกรรมโครงสร้าง''' ({{lang-en|Structural engineering}}) เป็นสาขาหนึ่งของ[[วิศวกรรม]] ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์และการออกแบบโครงสร้างที่รองรับหรือต้านหน่วยแรง<ref>{{cite web|url=http://structures.ucsd.edu/index.php?page=structural_engineering/about_us/history|title=History of Structural Engineering|publisher=University of San Diego|accessdate=2007-12-02}}</ref>ที่เกิดขึ้นในวัสดุ, อาคาร, เครื่องจักรกล, ยานพาหนะ, อากาศยาน, และแม้แต่ยานอวกาศ.
 
วิศวกรโครงสร้างเป็นธรรมดามากที่สุดที่จะมีส่วนร่วมกับการออกแบบอาคารและสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่อาคาร<ref name = IStructE/> แต่พวกเขายังสามารถมีส่วนร่วมกับการออกแบบเครื่องจักร, อุปกรณ์ทางการแพทย์, ยานพาหนะหรือรายการใดๆใด ๆ ที่ความสมบูรณ์ของโครงสร้างมีผลกระทบต่อการทำงานหรือความปลอดภัยของรายการนั้นๆนั้น ๆ. วิศวกรโครงสร้างจะต้องให้แน่ใจว่าการออกแบบของพวกเขาตอบสนองกับกฏเกณฑ์การออกแบบที่กำหนดให้, ตั้งบนพื้นฐานของความปลอดภัย (เช่นโครงสร้างจะต้องไม่ยุบโดยไม่มีการเตือนตามกำหนด) หรือมีความสามารถการให้บริการและประสิทธิภาพการทำงาน (เช่นการแกว่งไปแกว่งมาของอาคารจะต้องไม่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายกับผู้อยู่อาศัย).
 
ทฤษฎีวิศวกรรมโครงสร้างจะยึดตามกฎทางกายภาพที่ถูกประยุกต์ใช้และความรู้เชิงประจักษ์ของประสิทธิภาพการทำงานของโครงสร้างของวัสดุและรูปทรงเรขาคณิตที่แตกต่างกัน. การออกแบบทางวิศวกรรมโครงสร้างใช้ประโยชน์จากองค์ประกอบโครงสร้างที่เรียบง่ายหลายอย่างเพื่อสร้างระบบโครงสร้างที่ซับซ้อน. วิศวกรโครงสร้างรับผิดชอบในการใช้เงินทุน, องค์ประกอบโครงสร้างและวัสดุด้วยความคิดที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้<ref name=IStructE>{{cite web| url=http://www.istructe.org/structuralengineers/db/35.asp |title=What is a structural engineer| publisher=[[Institution of Structural Engineers]]|accessdate=2007-12-02}}</ref>.
 
แต่ในประเทศไทย เมื่อกล่าวถึงวิศวกรรมโครงสร้าง มักจะเข้าใจว่าเป็นวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์, คำนวณ, การออกแบบอาคารและสิ่งก่อสร้างเท่านั้น. โดยวิศวกรรมโครงสร้างที่วิเคราะห์และออกแบบในด้านเครื่องกลหรือสิ่งอื่นๆอื่น ๆ มักจะถูกเรียกแยกไปตามวิศวกรรมสาขานั้นๆนั้น ๆ เช่น วิศวกรรมยานยนต์, วิศวกรรมอากาศยาน เป็นต้น.
 
== การวิเคราะห์โครงสร้าง ==
บรรทัด 20:
# สร้างแบบจำลอง
# คำนวณแรงที่กระทำภายนอก
# เลือกวัสดุและหน้าตัดโดยประมาณ
# วิเคราะห์แรงที่เกิดขึ้น
# เลือกวัสดุและขนาดให้สามารถรับแรงที่เกิดขึ้น
บรรทัด 42:
* ทฤษฎีกำลังประลัย (Ultimate Strength) จะพิจารณาจากกำลังประลัย (Ultimate Strength) คือขีดความสามารถสูงสุดของวัสดุ
 
== วิศวกรโครงสร้าง (มืออาชีพ) ==
บทความหลัก: วิศวกรโครงสร้าง
วิศวกรโครงสร้างรับผิดชอบในการออกแบบทางวิศวกรรมและการวิเคราะห์โครงสร้าง. วิศวกรโครงสร้างระดับเริ่มต้นอาจจะออกแบบองค์ประกอบโครงสร้างของแต่ละส่วนของโครงสร้างใหญ่เช่นคาน, เสา, และพื้นของอาคาร. วิศวกรที่มีประสบการณ์มากกว่าอาจจะรับผิดชอบในการออกแบบโครงสร้างและความสมบูรณ์ของระบบทั้งหมดเช่นอาคารทั้งอาคาร.
 
วิศวกรโครงสร้างรับผิดชอบในการออกแบบทางวิศวกรรมและการวิเคราะห์โครงสร้าง. วิศวกรโครงสร้างระดับเริ่มต้นอาจจะออกแบบองค์ประกอบโครงสร้างของแต่ละส่วนของโครงสร้างใหญ่เช่นคาน, เสา, และพื้นของอาคาร. วิศวกรที่มีประสบการณ์มากกว่าอาจจะรับผิดชอบในการออกแบบโครงสร้างและความสมบูรณ์ของระบบทั้งหมดเช่นอาคารทั้งอาคาร.
วิศวกรโครงสร้างมักจะเชี่ยวชาญในสาขาเฉพาะอย่างเช่นวิศวกรรมสะพาน, วิศวกรรมอาคาร, อาคารท่อส่ง, โครงสร้างอุตสาหกรรม, หรือโครงสร้างเครื่องจักรกลพิเศษเช่นรถยนต์, เรือหรืออากาศยาน.
 
วิศวกรโครงสร้างมักจะเชี่ยวชาญในสาขาเฉพาะอย่างเช่นวิศวกรรมสะพาน, วิศวกรรมอาคาร, อาคารท่อส่ง, โครงสร้างอุตสาหกรรม, หรือโครงสร้างเครื่องจักรกลพิเศษเช่นรถยนต์, เรือหรืออากาศยาน.
วิศวกรรมโครงสร้างมีมาตั้งแต่มนุษย์เริ่มที่จะสร้างโครงสร้างของพวกเขาเอง. มันกลายเป็นอาชีพที่ชัดเจนและเป็นทางการมากขึ้นกับวิวัฒนาการของวิชาชีพสถาปัตยกรรมที่แตกต่างจากวิชาชีพวิศวกรรมในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมปลายศตวรรษที่ 19. จนกระทั่งจุดนั้นสถาปนิกและวิศวกรโครงสร้างมักจะเป็นหนึ่งเดียวกัน - นักสร้างต้นแบบ. ด้วยการพัฒนาความรู้เป็นพิเศษของหลายทฤษฎีโครงสร้างที่โผล่ออกมาในช่วงที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 เท่านั้นที่ทำให้วิศวกรโครงสร้างมืออาชีพปรากฏแก่สายตา.
 
วิศวกรรมโครงสร้างมีมาตั้งแต่มนุษย์เริ่มที่จะสร้างโครงสร้างของพวกเขาเอง. มันกลายเป็นอาชีพที่ชัดเจนและเป็นทางการมากขึ้นกับวิวัฒนาการของวิชาชีพสถาปัตยกรรมที่แตกต่างจากวิชาชีพวิศวกรรมในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมปลายศตวรรษที่ 19. จนกระทั่งจุดนั้นสถาปนิกและวิศวกรโครงสร้างมักจะเป็นหนึ่งเดียวกัน - นักสร้างต้นแบบ. ด้วยการพัฒนาความรู้เป็นพิเศษของหลายทฤษฎีโครงสร้างที่โผล่ออกมาในช่วงที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 เท่านั้นที่ทำให้วิศวกรโครงสร้างมืออาชีพปรากฏแก่สายตา.
บทบาทของวิศวกรโครงสร้างวันนี้เกี่ยวข้องกับความเข้าใจอย่างมีนัยสำคัญของการโหลดทั้งแบบคงที่และแบบไดนามิก, และโครงสร้างที่จะต่อต้านพวกมัน, ความซับซ้อนของโครงสร้างที่ทันสมัยมักจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์อย่างมากจากวิศวกรเพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างจะสามารถรองรับและต่อต้านโหลดทั้งหลายที่พวกโครงสร้างจะต้องทำหน้าที่. วิศวกรโครงสร้างมักจะมีระดับปริญญาตรีหลักสูตรสี่หรือห้าปี, ตามด้วยอย่างน้อยสามปีของการปฏิบัติที่เป็นมืออาชีพก่อนที่จะได้รับการพิจารณาว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน. วิศวกรโครงสร้างได้รับอนุญาตหรือได้รับการรับรองจากสังคมการเรียนรู้และหน่วยงานกำกับดูแลที่แตกต่างกันทั่วโลก (เช่นสถาบันวิศวกรโครงสร้างในสหราชอาณาจักร). ขึ้นอยู่กับหลักสูตรปริญญาที่พวกเขาได้ศึกษามาและ/ หรือเขตอำนาจที่พวกเขากำลังมองหาใบอนุญาต,พวกเขาอาจจะได้รับการรับรอง (หรือได้รับอนุญาต) เป็นแค่วิศวกรโครงสร้าง, หรือวิศวกรโยธา,หรือเป็นทั้งวิศวกรโยธาและโครงสร้าง. อีกองค์กรระหว่างประเทศหนึ่งคือ IABSE (Internation Association for Bridge and Structural Engineering)<ref>[http://www.iabse.org/association/organisation/index.php IABSE "Organisation", ''iabse website'']</ref>. จุดประสงค์ของสมาคมนี้คือเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเพื่อก้าวไปสู่​​การปฏิบัติของวิศวกรรมโครงสร้างทั่วโลกในการให้บริการของวิชาชีพและสังคม.
 
บทบาทของวิศวกรโครงสร้างวันนี้เกี่ยวข้องกับความเข้าใจอย่างมีนัยสำคัญของการโหลดทั้งแบบคงที่และแบบไดนามิก, และโครงสร้างที่จะต่อต้านพวกมัน, ความซับซ้อนของโครงสร้างที่ทันสมัยมักจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์อย่างมากจากวิศวกรเพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างจะสามารถรองรับและต่อต้านโหลดทั้งหลายที่พวกโครงสร้างจะต้องทำหน้าที่. วิศวกรโครงสร้างมักจะมีระดับปริญญาตรีหลักสูตรสี่หรือห้าปี, ตามด้วยอย่างน้อยสามปีของการปฏิบัติที่เป็นมืออาชีพก่อนที่จะได้รับการพิจารณาว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน. วิศวกรโครงสร้างได้รับอนุญาตหรือได้รับการรับรองจากสังคมการเรียนรู้และหน่วยงานกำกับดูแลที่แตกต่างกันทั่วโลก (เช่นสถาบันวิศวกรโครงสร้างในสหราชอาณาจักร). ขึ้นอยู่กับหลักสูตรปริญญาที่พวกเขาได้ศึกษามาและ/ หรือเขตอำนาจที่พวกเขากำลังมองหาใบอนุญาต, พวกเขาอาจจะได้รับการรับรอง (หรือได้รับอนุญาต) เป็นแค่วิศวกรโครงสร้าง, หรือวิศวกรโยธา, หรือเป็นทั้งวิศวกรโยธาและโครงสร้าง. อีกองค์กรระหว่างประเทศหนึ่งคือ IABSE (Internation Association for Bridge and Structural Engineering) <ref>[http://www.iabse.org/association/organisation/index.php IABSE "Organisation", ''iabse website'']</ref>. จุดประสงค์ของสมาคมนี้คือเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเพื่อก้าวไปสู่​​การปฏิบัติของวิศวกรรมโครงสร้างทั่วโลกในการให้บริการของวิชาชีพและสังคม.
== ประวัติความเป็นมาของวิศวกรรมโครงสร้าง ==
บทความหลัก: ประวัติศาสตร์ของวิศวกรรมโครงสร้าง
 
== ประวัติความเป็นมาของวิศวกรรมโครงสร้าง ==
[[Image:Pont du gard.jpg|right|thumb|Pont Du Gard, ฝรั่งเศส, ท่อระบายน้ำยุคโรมันประมาณ 19 ปีก่อนคริสตกาล]]
บทความหลัก: ประวัติศาสตร์ของวิศวกรรมโครงสร้าง
 
[[ไฟล์:Pont du gard.jpg|right|thumb|Pont Du Gard, ฝรั่งเศส, ท่อระบายน้ำยุคโรมันประมาณ 19 ปีก่อนคริสตกาล]]
วิศวกรรมโครงสร้างย้อนกลับไป 2700 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อปิรามิดขั้นบันไดสำหรับฟาโรห์ Djoser ถูกสร้างขึ้นโดย Imhotep, วิศวกรคนแรกในประวัติศาสตร์ที่รู้จักชื่อ. ปิรามิดเป็นโครงสร้างสำคัญที่พบมากที่สุดที่สร้างขึ้นโดยอารยธรรมโบราณเพราะรูปแบบโครงสร้างของปิรามิดมีเสถียรภาพโดยเนื้อแท้และเกือบไม่สามารถปรับขนาดให้แน่นอนได้ (ซึ่งตรงข้ามกับรูปแบบส่วนใหญ่ของโครงสร้างอื่นๆ, ซึ่งไม่สามารถจะเพิ่มขนาดขึ้นเป็นสัดส่วนโดยตรงกับโหลดที่เพิ่มขึ้น)<ref name = Saouma/>.
 
วิศวกรรมโครงสร้างย้อนกลับไป 2700 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อปิรามิดขั้นบันไดสำหรับฟาโรห์ Djoser ถูกสร้างขึ้นโดย Imhotep, วิศวกรคนแรกในประวัติศาสตร์ที่รู้จักชื่อ. ปิรามิดเป็นโครงสร้างสำคัญที่พบมากที่สุดที่สร้างขึ้นโดยอารยธรรมโบราณเพราะรูปแบบโครงสร้างของปิรามิดมีเสถียรภาพโดยเนื้อแท้และเกือบไม่สามารถปรับขนาดให้แน่นอนได้ (ซึ่งตรงข้ามกับรูปแบบส่วนใหญ่ของโครงสร้างอื่น ๆ, ซึ่งไม่สามารถจะเพิ่มขนาดขึ้นเป็นสัดส่วนโดยตรงกับโหลดที่เพิ่มขึ้น) <ref name = Saouma/>.
อย่างไรก็ตาม มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะสังเกตุว่าเสถียรภาพทางโครงสร้างของปิรามิดเบื้องต้นไม่ได้เป็นผลมาจากรูปร่างของมัน. ความสมบูรณ์ของปิรามิดจะเป็นเหมือนเดิมตราบใดที่หินแต่ละก้อนมีความสามารถที่จะรองรับน้ำหนักของหินที่อยู่เหนือมัน<ref name=Fonte>{{cite report|title=Building the Great Pyramid in a Year : An Engineer's Report |author=Fonte, Gerard C. A.|publisher=Algora Publishing: New York|pages=34|accessdate=2013-12-05}}</ref>. บล็อกหินปูนถูกนำมาจากเหมืองใกล้สถานที่ก่อสร้าง. เนื่องจากแรงอัดของหินปูนอยู่ที่ประมาณ 30-250 MPa (MPa = Pa*10^6), บล็อกจะไม่พังลงมาภายใต้แรงอัด<ref name=standford.edu>{{cite web|url=http://www.stanford.edu/~tyzhu/Documents/Some%20Useful%20Numbers.pdf|title=Some Useful Numbers on the Engineering Properties of Materials (Geologic and Otherwise)|author=unknown|publisher=Stanford University|accessdate=2013-12-05}}</ref>. ดังนั้นความแข็งแรงของโครงสร้างของพีระมิดเกิดจากคุณสมบัติของหินที่ก่อกันขึ้นมามากกว่ารูปทรงเรขาคณิตของพีระมิด.
 
อย่างไรก็ตาม มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะสังเกตุว่าเสถียรภาพทางโครงสร้างของปิรามิดเบื้องต้นไม่ได้เป็นผลมาจากรูปร่างของมัน. ความสมบูรณ์ของปิรามิดจะเป็นเหมือนเดิมตราบใดที่หินแต่ละก้อนมีความสามารถที่จะรองรับน้ำหนักของหินที่อยู่เหนือมัน<ref name=Fonte>{{cite report|title=Building the Great Pyramid in a Year : An Engineer's Report |author=Fonte, Gerard C. A.|publisher=Algora Publishing: New York|pages=34|accessdate=2013-12-05}}</ref>. บล็อกหินปูนถูกนำมาจากเหมืองใกล้สถานที่ก่อสร้าง. เนื่องจากแรงอัดของหินปูนอยู่ที่ประมาณ 30-250 MPa (MPa = Pa*10^6), บล็อกจะไม่พังลงมาภายใต้แรงอัด<ref name=standford.edu>{{cite web|url=http://www.stanford.edu/~tyzhu/Documents/Some%20Useful%20Numbers.pdf|title=Some Useful Numbers on the Engineering Properties of Materials (Geologic and Otherwise)|author=unknown|publisher=Stanford University|accessdate=2013-12-05}}</ref>. ดังนั้นความแข็งแรงของโครงสร้างของพีระมิดเกิดจากคุณสมบัติของหินที่ก่อกันขึ้นมามากกว่ารูปทรงเรขาคณิตของพีระมิด.
ตลอดประวัติศาสตร์ยุคโบราณและยุคกลาง การออกแบบทางสถาปัตยกรรมและการก่อสร้างส่วนใหญ่ได้รับการดำเนินการโดยช่างฝีมือ, เช่นช่างก่ออิฐก่อหินและช่างไม้, ที่เติบโตขึ้นมาในบทบาทของผู้สร้างต้นแบบ. ทฤษฎีของโครงสร้างก็ยังไม่เกิดและความเข้าใจว่าโครงสร้างสามารถตั้งขึ้นได้อย่างไรถูกจำกัดอย่างมาก, และเกือบทั้งหมดขึ้นอยู่กับหลักฐานเชิงประจักษ์ของ'สิ่งที่เคยทำงานได้มาก่อน'. ความรู้ถูกเก็บรักษาไว้โดยสมาคมวิชาชีพและไม่ค่อยอัพเดทตามความก้าวหน้า. โครงสร้างทั้งหลายถูกทำซ้ำๆกันแต่เพิ่มขึ้นในขนาดที่ใหญ่ขึ้น<ref name=Saouma>{{cite web|url=http://ceae.colorado.edu/~saouma/Lecture-Notes/se.pdf|title=Lecture notes in Structural Engineering|author=Victor E. Saouma|publisher=University of Colorado|accessdate=2007-11-02}}</ref>.
 
ตลอดประวัติศาสตร์ยุคโบราณและยุคกลาง การออกแบบทางสถาปัตยกรรมและการก่อสร้างส่วนใหญ่ได้รับการดำเนินการโดยช่างฝีมือ, เช่นช่างก่ออิฐก่อหินและช่างไม้, ที่เติบโตขึ้นมาในบทบาทของผู้สร้างต้นแบบ. ทฤษฎีของโครงสร้างก็ยังไม่เกิดและความเข้าใจว่าโครงสร้างสามารถตั้งขึ้นได้อย่างไรถูกจำกัดอย่างมาก, และเกือบทั้งหมดขึ้นอยู่กับหลักฐานเชิงประจักษ์ของ'สิ่งที่เคยทำงานได้มาก่อน'. ความรู้ถูกเก็บรักษาไว้โดยสมาคมวิชาชีพและไม่ค่อยอัพเดทตามความก้าวหน้า. โครงสร้างทั้งหลายถูกทำซ้ำ ๆ กันแต่เพิ่มขึ้นในขนาดที่ใหญ่ขึ้น<ref name=Saouma>{{cite web|url=http://ceae.colorado.edu/~saouma/Lecture-Notes/se.pdf|title=Lecture notes in Structural Engineering|author=Victor E. Saouma|publisher=University of Colorado|accessdate=2007-11-02}}</ref>.
ไม่มีบันทึกว่าการคำนวณครั้งแรกของความแข็งแรงของโครงสร้างหรือพฤติกรรมของวัสดุโครงสร้าง, แต่อาชีพของวิศวกรโครงสร้างเป็นรูปเป็นร่างจริงๆในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ของคอนกรีต (ดูประวัติของคอนกรีต). วิทยาศาสตร์กายภาพที่อยูใต้วิศวกรรมโครงสร้างเริ่มที่จะได้รับการเข้าใจในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ({{lang-en|Renaissance}}) และมีการพัฒนามาตั้งแต่นั้นมาให้เป็นแอพพลิเคชั่นที่ทำโดยคอมพิวเตอร์ที่ถูกใช้เป็นหัวหอกในปี 1970s<ref>{{cite web |url=http://www.structuremag.org/downloads/pulse-release-ETABS-receives-Top-Seismic-product-5-24-06.pdf |title=ETABS receives "Top Seismic Product of the 20th Century" Award |year=2006 |work=Press Release |publisher=Structure Magazine |accessdate=April 20, 2012}}</ref>.
 
ไม่มีบันทึกว่าการคำนวณครั้งแรกของความแข็งแรงของโครงสร้างหรือพฤติกรรมของวัสดุโครงสร้าง, แต่อาชีพของวิศวกรโครงสร้างเป็นรูปเป็นร่างจริง ๆ ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ของคอนกรีต (ดูประวัติของคอนกรีต). วิทยาศาสตร์กายภาพที่อยูใต้วิศวกรรมโครงสร้างเริ่มที่จะได้รับการเข้าใจในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ({{lang-en|Renaissance}}) และมีการพัฒนามาตั้งแต่นั้นมาให้เป็นแอพพลิเคชั่นที่ทำโดยคอมพิวเตอร์ที่ถูกใช้เป็นหัวหอกในปี 1970s<ref>{{cite web |url=http://www.structuremag.org/downloads/pulse-release-ETABS-receives-Top-Seismic-product-5-24-06.pdf |title=ETABS receives "Top Seismic Product of the 20th Century" Award |year=2006 |work=Press Release |publisher=Structure Magazine |accessdate=April 20, 2012}}</ref>.
==Timeline==
* 1452-1519 เลโอนาร์โดดาวินชีได้มีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก
* 1638: กาลิเลโอกาลิเลอีตีพิมพ์หนังสือ "สองวิทยาศาสตร์ใหม่" ที่เขาได้ตรวจสอบความล้มเหลวของโครงสร้างง่ายๆ
[[File:Galilee.jpg|left|thumb|กาลิเลโอกาลิเลอีตีพิมพ์หนังสือ "สองวิทยาศาสตร์ใหม่" ที่เขาได้ตรวจสอบความล้มเหลวของโครงสร้างง่ายๆ]]
* 1660: 'กฎของฮุค' โดยโรเบิร์ต ฮุค
* 1687: Isaac Newton ตีพิมพ์ "Philosophiae Naturalis Principia Mathematica" ที่ประกอบด้วย'กฎการเคลื่อนไหวของนิวตัน'
[[File:Sir Isaac Newton by Sir Godfrey Kneller, Bt.jpg|right|thumb|Isaac Newton ตีพิมพ์ "Philosophiae Naturalis Principia Mathematica" ที่ประกอบด้วย'กฎการเคลื่อนไหวของนิวตัน']]
* 1750: สมการเกี่ยวกับคานของ Euler-Bernoulli
* 1700-1782: แดเนียล Bernoulli แนะนำหลักการของงานเสมือน
* 1707-1783: Leonhard Euler พัฒนาทฤษฎีของการโก่งงอของคอลัมน์
 
== Timeline ==
[[File:Leonhard Euler 2.jpg|thumb|200px|Leonhard Euler พัฒนาทฤษฎีของการโก่งงอของคอลัมน์]]
* 1452-1519 เลโอนาร์โดดาวินชีได้มีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก
* 1638: กาลิเลโอกาลิเลอีตีพิมพ์หนังสือ "สองวิทยาศาสตร์ใหม่" ที่เขาได้ตรวจสอบความล้มเหลวของโครงสร้างง่าย ๆ
[[ไฟล์:Galilee.jpg|left|thumb|กาลิเลโอกาลิเลอีตีพิมพ์หนังสือ "สองวิทยาศาสตร์ใหม่" ที่เขาได้ตรวจสอบความล้มเหลวของโครงสร้างง่าย ๆ]]
* 1660: 'กฎของฮุค' โดยโรเบิร์ต ฮุค
* 1687: Isaac Newton ตีพิมพ์ "Philosophiae Naturalis Principia Mathematica" ที่ประกอบด้วย'กฎการเคลื่อนไหวของนิวตัน'
[[ไฟล์:Sir Isaac Newton by Sir Godfrey Kneller, Bt.jpg|right|thumb|Isaac Newton ตีพิมพ์ "Philosophiae Naturalis Principia Mathematica" ที่ประกอบด้วย'กฎการเคลื่อนไหวของนิวตัน']]
* 1750: สมการเกี่ยวกับคานของ Euler-Bernoulli
* 1700-1782: แดเนียล Bernoulli แนะนำหลักการของงานเสมือน
* 1707-1783: Leonhard Euler พัฒนาทฤษฎีของการโก่งงอของคอลัมน์
 
[[ไฟล์:Leonhard Euler 2.jpg|thumb|200px|Leonhard Euler พัฒนาทฤษฎีของการโก่งงอของคอลัมน์]]
* 1826: Claude-Louis Navier ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับพฤติกรรมการยืดหยุ่นของโครงสร้าง
 
* 1873: Carlo Alberto Castigliano นำเสนอวิทยานิพนธ์ของเขา "Intorno ai Sistemi elastici" ซึ่งประกอบด้วยทฤษฎีบทของเขาสำหรับการเคลื่อนย้ายแบบคอมพิวเตอร์เป็นอนุพันธ์ย่อยของพลังงานความเครียด. ทฤษฎีบทนี้รวมถึงวิธีการของ "งานน้อยที่สุด" เป็นกรณีพิเศษ
* 1826: Claude-Louis Navier ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับพฤติกรรมการยืดหยุ่นของโครงสร้าง
* 1874: อ็อตโต Mohr รวบรวมความคิดของโครงสร้างแบบไม่ได้กำหนดที่คงที่
* 1873: Carlo Alberto Castigliano นำเสนอวิทยานิพนธ์ของเขา "Intorno ai Sistemi elastici" ซึ่งประกอบด้วยทฤษฎีบทของเขาสำหรับการเคลื่อนย้ายแบบคอมพิวเตอร์เป็นอนุพันธ์ย่อยของพลังงานความเครียด. ทฤษฎีบทนี้รวมถึงวิธีการของ "งานน้อยที่สุด" เป็นกรณีพิเศษ
* 1922: Stephen Timoshenko แก้ไขสมการเกี่ยวกับคานของ Euler-Bernoulli
* 1874: อ็อตโต Mohr รวบรวมความคิดของโครงสร้างแบบไม่ได้กำหนดที่คงที่
* 1936: งานตีพิมพ์ของ Hardy Cross เรื่องวิธีการกระจายโมเม้นท์, นวัตกรรมที่สำคัญอันหนึ่งในการออกแบบเฟรมต่อเนื่อง
* 1922: Stephen Timoshenko แก้ไขสมการเกี่ยวกับคานของ Euler-Bernoulli
* 1936: งานตีพิมพ์ของ Hardy Cross เรื่องวิธีการกระจายโมเม้นท์, นวัตกรรมที่สำคัญอันหนึ่งในการออกแบบเฟรมต่อเนื่อง
* 1941: Alexander Hrennikoff แก้ไขปัญหาการแยกส่วนของปัญหาความยืดหยุ่นของเครื่องบินโดยใช้กรอบงานแบบตาข่าย
* 1942: Richard Courant แบ่งโดเมนออกเป็นภูมิภาคย่อยที่แน่นอน
* 1956: เอกสารของ J. Turner, R. W. Clough, H. C. Martin, และ L. J. Topp เรื่อง "ความแข็งและการโก่งของโครงสร้างที่ซับซ้อน" แนะนำชื่อ "วิธีการองค์ประกอบที่แน่นอน" และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นครั้งแรกของการรักษาที่ครอบคลุมของวิธีการที่มันเป็นเป็นที่รู้จักกันในวันนี้
 
== ความล้มเหลวของโครงสร้าง ==
บทความหลัก: ความล้มเหลวของโครงสร้างและรายชื่อของความล้มเหลวและพังทลายลงมาของโครงสร้าง
ประวัติศาสตร์ของวิศวกรรมโครงสร้างประกอบด้วยการพังทลายลงมาและความล้มเหลวจำนวนมาก. บางครั้งเรื่องเหล่านี้เกิดจากความประมาทที่เห็นได้ชัด, เช่นในกรณีของการล่มสลายในโรงเรียน Petionville, ที่ท่านสาธุคุณ Fortin Augustin กล่าวว่า "เขาสร้างอาคารทั้งหมดด้วยตัวเขาเอง, เขาพูดว่าเขาไม่ต้องการวิศวกรสักคนเพราะเขามีความรู้ที่ดีในการก่อสร้าง" หลังจากการล่มสลายบางส่วนของโรงเรียนขนาดสามชั้นที่ส่งเพื่อนบ้านวิ่งหนีอลหม่าน. สุดท้ายการล่มสลายเสียชีวิต 94 คน, ส่วนใหญ่เป็นเด็ก.
 
ประวัติศาสตร์ของวิศวกรรมโครงสร้างประกอบด้วยการพังทลายลงมาและความล้มเหลวจำนวนมาก. บางครั้งเรื่องเหล่านี้เกิดจากความประมาทที่เห็นได้ชัด, เช่นในกรณีของการล่มสลายในโรงเรียน Petionville, ที่ท่านสาธุคุณ Fortin Augustin กล่าวว่า "เขาสร้างอาคารทั้งหมดด้วยตัวเขาเอง, เขาพูดว่าเขาไม่ต้องการวิศวกรสักคนเพราะเขามีความรู้ที่ดีในการก่อสร้าง" หลังจากการล่มสลายบางส่วนของโรงเรียนขนาดสามชั้นที่ส่งเพื่อนบ้านวิ่งหนีอลหม่าน. สุดท้ายการล่มสลายเสียชีวิต 94 คน, ส่วนใหญ่เป็นเด็ก.
ในกรณีอื่นๆ ความล้มเหลวของโครงสร้างจำเป็นต้องมีการศึกษาอย่างรอบคอบ, และผลของการสอบถามข้อมูลเหล่านี้ส่งผลในการปฏิบัติที่ดีขึ้นและมีความเข้าใจมากขึ้นของวิทยาศาสตร์ของวิศวกรรมโครงสร้าง. บางการศึกษาดังกล่าวเป็นผลมาจากการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ในที่ซึ่งวิศวกรคนเดิมดูเหมือนว่าจะได้ทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับสภาพของแนวทางการปฏิบัติอย่างมืออาชีพและแนวทางก็เป็นที่ยอมรับกันแต่ความล้มเหลวก็ยังคงเกิดขึ้น. กรณีที่มีชื่อเสียงหนึ่งของความรู้และการปฏิบัติด้านโครงสร้างที่ก้าวหน้าในลักษณะนี้สามารถพบได้ในชุดของความล้มเหลวที่เกี่ยวข้องกับ'คานกล่อง' ({{lang-en|box girders}}) ซึ่งทรุดตัวลงในประเทศออสเตรเลียในช่วงปี 1970s.
 
ในกรณีอื่น ๆ ความล้มเหลวของโครงสร้างจำเป็นต้องมีการศึกษาอย่างรอบคอบ, และผลของการสอบถามข้อมูลเหล่านี้ส่งผลในการปฏิบัติที่ดีขึ้นและมีความเข้าใจมากขึ้นของวิทยาศาสตร์ของวิศวกรรมโครงสร้าง. บางการศึกษาดังกล่าวเป็นผลมาจากการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ในที่ซึ่งวิศวกรคนเดิมดูเหมือนว่าจะได้ทำทุกอย่างให้สอดคล้องกับสภาพของแนวทางการปฏิบัติอย่างมืออาชีพและแนวทางก็เป็นที่ยอมรับกันแต่ความล้มเหลวก็ยังคงเกิดขึ้น. กรณีที่มีชื่อเสียงหนึ่งของความรู้และการปฏิบัติด้านโครงสร้างที่ก้าวหน้าในลักษณะนี้สามารถพบได้ในชุดของความล้มเหลวที่เกี่ยวข้องกับ'คานกล่อง' ({{lang-en|box girders}}) ซึ่งทรุดตัวลงในประเทศออสเตรเลียในช่วงปี 1970s.
==ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน==
===โครงสร้างอาคาร===
ดูเพิ่มเติม: วิศวกรรมอาคาร
 
== ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ==
[[Image:Sydney Opera House Sails edit02.jpg|thumb|ซิดนีย์โอเปร่าเฮ้าส์, ออกแบบโดย Ove Arup & Partners, กับสถาปนิก Jørn Utzon]]
=== โครงสร้างอาคาร ===
ดูเพิ่มเติม: วิศวกรรมอาคาร
 
[[ไฟล์:Sydney Opera House Sails edit02.jpg|thumb|ซิดนีย์โอเปร่าเฮ้าส์, ออกแบบโดย Ove Arup & Partners, กับสถาปนิก Jørn Utzon]]
[[Image:Millennium Dome (zakgollop) version.jpg|thumb|right|มิลเลนเนียมโดมในกรุงลอนดอน, ประเทศอังกฤษ, โดย Buro Happold และ Richard Rogers]]
 
[[ไฟล์:Millennium Dome (zakgollop) version.jpg|thumb|right|มิลเลนเนียมโดมในกรุงลอนดอน, ประเทศอังกฤษ, โดย Buro Happold และ Richard Rogers]]
[[Image:Burjdubaiaug92007.jpg|right|thumb|Burj Khalifa, ในดูไบ, ตึกที่สูงที่สุดในโลก, ภาพแสดงระหว่างการก่อสร้างในปี 2007]]
 
[[ไฟล์:Burjdubaiaug92007.jpg|right|thumb|Burj Khalifa, ในดูไบ, ตึกที่สูงที่สุดในโลก, ภาพแสดงระหว่างการก่อสร้างในปี 2007]]
วิศวกรรมโครงสร้างอาคารรวมถึงวิศวกรรมโครงสร้างทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบอาคาร, มันเป็นสาขาหนึ่งของวิศวกรรมโครงสร้างที่ใกล้เคียงกับงานสถาปัตยกรรม.
 
วิศวกรรมโครงสร้างอาคารรวมถึงวิศวกรรมโครงสร้างทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบอาคาร, มันเป็นสาขาหนึ่งของวิศวกรรมโครงสร้างที่ใกล้เคียงกับงานสถาปัตยกรรม.
วิศวกรรมโครงสร้างอาคารเบื้องต้นจะขับเคลื่อนโดยการจัดการความคิดสร้างสรรค์ของวัสดุและรูปแบบและความคิดทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ปลายสุดที่ตอบสนองความต้องการตามหน้าที่ของมันและมีความปลอดภัยด้านโครงสร้างเมื่อต้องแบกโหลดทั้งหมดที่มันอาจถูกคาดหวังที่จะได้สัมผัส. สิ่งนี้ค่อนข้างจะแตกต่างจากการออกแบบทางสถาปัตยกรรมซึ่งถูกผลักดันโดยการจัดการที่สร้างสรรค์ของวัสดุและรูปแบบ, มวล, พื้นที่, ปริมาณ, เนื้อหาและแสงสว่างเพื่อให้บรรลุจุดสิ้นสุดซึ่งเป็นความงาม, หน้าที่การทำงานและมักจะเป็นศิลปะ.
 
วิศวกรรมโครงสร้างอาคารเบื้องต้นจะขับเคลื่อนโดยการจัดการความคิดสร้างสรรค์ของวัสดุและรูปแบบและความคิดทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ปลายสุดที่ตอบสนองความต้องการตามหน้าที่ของมันและมีความปลอดภัยด้านโครงสร้างเมื่อต้องแบกโหลดทั้งหมดที่มันอาจถูกคาดหวังที่จะได้สัมผัส. สิ่งนี้ค่อนข้างจะแตกต่างจากการออกแบบทางสถาปัตยกรรมซึ่งถูกผลักดันโดยการจัดการที่สร้างสรรค์ของวัสดุและรูปแบบ, มวล, พื้นที่, ปริมาณ, เนื้อหาและแสงสว่างเพื่อให้บรรลุจุดสิ้นสุดซึ่งเป็นความงาม, หน้าที่การทำงานและมักจะเป็นศิลปะ.
สถาปนิกมักจะเป็นนักออกแบบอาคารผู้นำ, ที่มีวิศวกรโครงสร้างที่ได้รับการว่าจ้างให้เป็นที่ปรึกษาย่อย. ปริมาณที่แต่ละสาขาจะนำ​​การออกแบบได้จริงขึ้นอยู่อย่างมากกับชนิดของโครงสร้าง. หลายโครงสร้างมีโครงสร้างที่ง่ายและถูกนำโดยสถาปัตยกรรม, เช่นอาคารสำนักงานและบ้านที่อยู่อาศัยหลายชั้น, ในขณะที่โครงสร้างอื่นๆ, เช่นโครงสร้างความตึง ({{lang-en|tensile structure}}), Thin-shell structure และ gridshell ที่ขึ้นอยู่อย่างมากกับรูปแบบของพวกมันเพื่อความแข็งแรงของพวกมันเอง, และวิศวกรอาจจะมีอิทธิพลที่มีนัยสำคัญมากขึ้นต่อรูปแบบ, ด้วยเหตุนี้ความงามจึงมีมากกว่าสถาปัต.
 
สถาปนิกมักจะเป็นนักออกแบบอาคารผู้นำ, ที่มีวิศวกรโครงสร้างที่ได้รับการว่าจ้างให้เป็นที่ปรึกษาย่อย. ปริมาณที่แต่ละสาขาจะนำ​​การออกแบบได้จริงขึ้นอยู่อย่างมากกับชนิดของโครงสร้าง. หลายโครงสร้างมีโครงสร้างที่ง่ายและถูกนำโดยสถาปัตยกรรม, เช่นอาคารสำนักงานและบ้านที่อยู่อาศัยหลายชั้น, ในขณะที่โครงสร้างอื่น ๆ, เช่นโครงสร้างความตึง ({{lang-en|tensile structure}}), Thin-shell structure และ gridshell ที่ขึ้นอยู่อย่างมากกับรูปแบบของพวกมันเพื่อความแข็งแรงของพวกมันเอง, และวิศวกรอาจจะมีอิทธิพลที่มีนัยสำคัญมากขึ้นต่อรูปแบบ, ด้วยเหตุนี้ความงามจึงมีมากกว่าสถาปัต.
การออกแบบโครงสร้างอาคารต้องให้แน่ใจว่าอาคารจะสามารถตั้งตรงได้อย่างปลอดภัย, สามารถทำงานได้โดยไม่มีการโก่งตัวหรือการเคลื่อนไหวมากเกินไปซึ่งอาจก่อให้เกิดความเมื่อยล้าขององค์ประกอบโครงสร้าง, การแตกร้าวหรือความล้มเหลวของอุปกรณ์, ส่วนติดตั้งหรือผนังกั้นห้อง, หรือไม่สบายสำหรับผู้อยู่อาศัย. มันจะต้องรับผิดชอบสำหรับการเคลื่อนไหวและแรงเนื่องจากอุณหภูมิ, การคืบ, การแตกและโหลดที่ทับอยู่ข้างบน. นอกจากนี้ยังต้องให้แน่ใจว่าการออกแบบสามารถสร้างได้จริงภายในความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ของการผลิตวัสดุ. มันจะต้องยอมให้สถาปัตยกรรมในการทำงาน, และบริการของอาคารเพื่อให้เหมาะพอดีกับภายในอาคารและการทำงานตามหน้าที่ (เครื่องปรับอากาศ, การระบายอากาศ, สารสกัดจากควัน, ไฟฟ้า, แสงสว่างและอื่นๆ). การออกแบบโครงสร้างของอาคารที่ทันสมัย​​สามารถที่ซับซ้อนอย่างสุดขั้ว, และมักจะต้องการทีมงานขนาดใหญ่เพื่อให้เสร็จสมบูรณ์.
 
การออกแบบโครงสร้างอาคารต้องให้แน่ใจว่าอาคารจะสามารถตั้งตรงได้อย่างปลอดภัย, สามารถทำงานได้โดยไม่มีการโก่งตัวหรือการเคลื่อนไหวมากเกินไปซึ่งอาจก่อให้เกิดความเมื่อยล้าขององค์ประกอบโครงสร้าง, การแตกร้าวหรือความล้มเหลวของอุปกรณ์, ส่วนติดตั้งหรือผนังกั้นห้อง, หรือไม่สบายสำหรับผู้อยู่อาศัย. มันจะต้องรับผิดชอบสำหรับการเคลื่อนไหวและแรงเนื่องจากอุณหภูมิ, การคืบ, การแตกและโหลดที่ทับอยู่ข้างบน. นอกจากนี้ยังต้องให้แน่ใจว่าการออกแบบสามารถสร้างได้จริงภายในความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ของการผลิตวัสดุ. มันจะต้องยอมให้สถาปัตยกรรมในการทำงาน, และบริการของอาคารเพื่อให้เหมาะพอดีกับภายในอาคารและการทำงานตามหน้าที่ (เครื่องปรับอากาศ, การระบายอากาศ, สารสกัดจากควัน, ไฟฟ้า, แสงสว่างและอื่น ๆ). การออกแบบโครงสร้างของอาคารที่ทันสมัย​​สามารถที่ซับซ้อนอย่างสุดขั้ว, และมักจะต้องการทีมงานขนาดใหญ่เพื่อให้เสร็จสมบูรณ์.
ความพิเศษของวิศวกรรมโครงสร้างอาคารรวมถึง:
 
ความพิเศษของวิศวกรรมโครงสร้างอาคารรวมถึง:
* วิศวกรรมแผ่นดินไหว
* วิศวกรรม ส่วนหน้าของอาคาร
* วิศวกรรมไฟ
* วิศวกรรมหลังคา
* วิศวกรรมอาคารสูง
* วิศวกรรมลม
 
===โครงสร้างทาง* วิศวกรรมแผ่นดินไหว===
* วิศวกรรม ส่วนหน้าของอาคาร
* วิศวกรรมไฟ
* วิศวกรรมหลังคา
* วิศวกรรมอาคารสูง
* วิศวกรรมลม
 
=== โครงสร้างทางวิศวกรรมแผ่นดินไหว ===
บทความหลัก: โครงสร้างทางวิศวกรรมแผ่นดินไหว
'''โครงสร้างทางวิศวกรรมแผ่นดินไหว'''คือพวกผู้ที่ถูกทำด้านวิศวกรรมเพื่อให้ทนต่อแผ่นดินไหว
 
'''โครงสร้างทางวิศวกรรมแผ่นดินไหว'''คือพวกผู้ที่ถูกทำด้านวิศวกรรมเพื่อให้ทนต่อแผ่นดินไหว
[[File:Chichen Itza 3.jpg|thumb|left|ปิรามิดที่ทนต่อแผ่นดินไหว, El Castillo, Chichen Itza]]
 
[[ไฟล์:Chichen Itza 3.jpg|thumb|left|ปิรามิดที่ทนต่อแผ่นดินไหว, El Castillo, Chichen Itza]]
วัตถุประสงค์หลักของวิศวกรรมแผ่นดินไหวคือเพื่อเข้าใจปฏิสัมพันธ์ของโครงสร้างกับการสั่นของพื้นดิน, คาดการณ์ผลที่ตามมาของการเกิดแผ่นดินไหวที่เป็นไปได้, และออกแบบและสร้างโครงสร้างที่จะคงทนในระหว่างการเกิดแผ่นดินไหว.
[[Image:Snapshot of base isolation effect.jpg|thumb|696 × 700 px|right|ภาพจากวิดีโอแสดงการสั่นไหวของโต๊ะ [http://www.youtube.com/watch?v=kzVvd4Dk6sw&locale=en_US&persist_locale=1] สำหรับฐานทดสอบที่ถูกแยกออกต่างหาก (ขวา) และรูปแบบอาคารปกติ (ซ้าย)]]
 
วัตถุประสงค์หลักของวิศวกรรมแผ่นดินไหวคือเพื่อเข้าใจปฏิสัมพันธ์ของโครงสร้างกับการสั่นของพื้นดิน, คาดการณ์ผลที่ตามมาของการเกิดแผ่นดินไหวที่เป็นไปได้, และออกแบบและสร้างโครงสร้างที่จะคงทนในระหว่างการเกิดแผ่นดินไหว.
โครงสร้างที่ทนต่อแผ่นดินไหวไม่จำเป็นต้องมีความแข็งแรงมากอย่างเช่นพีระมิด El Castillo Chichen Itza ที่แสดงไว้ด้านบน. ในความเป็นจริง, หลายโครงสร้างที่ได้รับการพิจารณาว่าแข็งแกร่งอาจจะแข็งทื่อ, ซึ่งจะส่งผลให้ประสิทธิภาพการคงอยู่เมื่อเกิดการสั่นไหวที่ไม่ดี.
[[ไฟล์:Snapshot of base isolation effect.jpg|thumb|696 × 700 px|right|ภาพจากวิดีโอแสดงการสั่นไหวของโต๊ะ [http://www.youtube.com/watch?v=kzVvd4Dk6sw&locale=en_US&persist_locale=1] สำหรับฐานทดสอบที่ถูกแยกออกต่างหาก (ขวา) และรูปแบบอาคารปกติ (ซ้าย)]]
 
โครงสร้างที่ทนต่อแผ่นดินไหวไม่จำเป็นต้องมีความแข็งแรงมากอย่างเช่นพีระมิด El Castillo Chichen Itza ที่แสดงไว้ด้านบน. ในความเป็นจริง, หลายโครงสร้างที่ได้รับการพิจารณาว่าแข็งแกร่งอาจจะแข็งทื่อ, ซึ่งจะส่งผลให้ประสิทธิภาพการคงอยู่เมื่อเกิดการสั่นไหวที่ไม่ดี.
 
หนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญของวิศวกรรมแผ่นดินไหวคือการแยกฐาน, ซึ่งจะช่วยให้ฐานของโครงสร้างที่จะเตลื่อนไหวได้อย่างอิสระจากพื้นดิน
 
=== โครงสร้างวิศวกรรมโยธา ===
[[Imageไฟล์:Oil platform Norway.jpg|thumb|right|โครงสร้างแบบฐานแรงโน้มถ่วง 'Statfjord' ระหว่างการก่อสร้างในนอร์เวย์. เกือบทั้งหมดของโครงสร้างจะจมอยู่ใต้น้ำในที่สุด]]
 
วิศวกรรมโครงสร้างโยธารวมถึงวิศวกรรมโครงสร้างทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสภาพแวดล้อม ซึ่งจะประกอบด้วย:
 
* สะพาน
บรรทัด 154:
* ทางน้ำ
* โครงสร้างพื้นฐานของน้ำและน้ำเสีย
วิศวกรโครงสร้างเป็นผู้นำนักออกแบบสำหรับโครงสร้างเหล่านี้, และมักจะออกแบบแต่เพียงผู้เดียว. ในการออกแบบโครงสร้างเช่นนี้, ความปลอดภัยของโครงสร้างมีความสำคัญยิ่ง (ในสหราชอาณาจักร การออกแบบเขื่อน, โรงไฟฟ้านิวเคลียร์และสะพานจะต้องมีการลงนามโดยวิศวกรผู้มีใบอนุญาต)
 
วิศวกรโครงสร้างเป็นผู้นำนักออกแบบสำหรับโครงสร้างเหล่านี้, และมักจะออกแบบแต่เพียงผู้เดียว. ในการออกแบบโครงสร้างเช่นนี้, ความปลอดภัยของโครงสร้างมีความสำคัญยิ่ง (ในสหราชอาณาจักร การออกแบบเขื่อน, โรงไฟฟ้านิวเคลียร์และสะพานจะต้องมีการลงนามโดยวิศวกรผู้มีใบอนุญาต)
โครงสร้างวิศวกรรมโยธามักจะประสพกับแรงที่รุนแรงสุดขั้ว, เช่นการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในอุณหภูมิ, โหลดแบบไดนามิกเช่นคลื่นหรือการจราจร, หรือแรงกดดันสูงจากน้ำหรือก๊าซที่ถูกบีบอัด. นอกจากนี้ มันยังมักจะถูกสร้างในสภาพแวดล้อมที่กัดกร่อน, เช่นในทะเล, ในโรงงานอุตสาหกรรมหรือใต้ดิน.
 
โครงสร้างวิศวกรรมโยธามักจะประสพกับแรงที่รุนแรงสุดขั้ว, เช่นการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในอุณหภูมิ, โหลดแบบไดนามิกเช่นคลื่นหรือการจราจร, หรือแรงกดดันสูงจากน้ำหรือก๊าซที่ถูกบีบอัด. นอกจากนี้ มันยังมักจะถูกสร้างในสภาพแวดล้อมที่กัดกร่อน, เช่นในทะเล, ในโรงงานอุตสาหกรรมหรือใต้ดิน.
===โครงสร้างเครื่องกล===
[[File:BMW 328i F30 2012 vl 2.jpg|thumb|โครงสร้างเครื่องกล]]
[[File:BMW S1000RR race.jpg|thumb]]
 
=== โครงสร้างเครื่องกล ===
หลักการของวิศวกรรมโครงสร้างถูกนำมาใช้กับความหลากหลายของโครงสร้างของเครื่องจักรกล (ที่เคลื่อนที่ได้). การออกแบบโครงสร้างคงที่ถือว่าพวกมันมีรูปทรงเรขาคณิตที่เหมือนกันเสมอ (ในความเป็นจริง, โครงสร้างที่เรียกว่าคงที่สามารถเคลื่อนที่อย่างมีนัยสำคัญ, และการออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรมจะต้องนำสิ่งนี้มาพิจารณาถ้าจำเป็น), แต่การออกแบบของโครงสร้างที่เคลื่อนที่ได้หรือกำลังเคลื่อนที่ต้องพิจารณาความล้า, การแปรเปลี่ยนในวิธีการที่โหลดจะถูกแรงต้านและการโก่งตัวของโครงสร้างอย่างมีนัยสำคัญ.
 
[[ไฟล์:BMW 328i F30 2012 vl 2.jpg|thumb|โครงสร้างเครื่องกล]]
แรงซึ่งหลายชิ้นส่วนของเครื่องกลที่จะต้องได้รับอาจจะแปรเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ, และอาจจะรุนแรงในอัตราที่สูง. แรงที่เรือหรือเครื่องบินได้รับอาจจะแปรเปลี่ยนอย่างมากและอาจจะเป็นหลายพันครั้งตลอดช่วงอายุการใช้งานของโครงสร้าง. การออกแบบโครงสร้างต้องให้แน่ใจว่าโครงสร้างดังกล่าวมีความสามารถที่จะทนต่อโหลดเช่นนั้นได้ตลอดช่วงอายุของมันโดยไม่ล้มเหลว.
[[ไฟล์:BMW S1000RR race.jpg|thumb]]
 
หลักการของวิศวกรรมโครงสร้างถูกนำมาใช้กับความหลากหลายของโครงสร้างของเครื่องจักรกล (ที่เคลื่อนที่ได้). การออกแบบโครงสร้างคงที่ถือว่าพวกมันมีรูปทรงเรขาคณิตที่เหมือนกันเสมอ (ในความเป็นจริง, โครงสร้างที่เรียกว่าคงที่สามารถเคลื่อนที่อย่างมีนัยสำคัญ, และการออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรมจะต้องนำสิ่งนี้มาพิจารณาถ้าจำเป็น), แต่การออกแบบของโครงสร้างที่เคลื่อนที่ได้หรือกำลังเคลื่อนที่ต้องพิจารณาความล้า, การแปรเปลี่ยนในวิธีการที่โหลดจะถูกแรงต้านและการโก่งตัวของโครงสร้างอย่างมีนัยสำคัญ.
งานเหล่านี้ต้องการวิศวกรรมโครงสร้างเครื่องจักรกล:
 
แรงซึ่งหลายชิ้นส่วนของเครื่องกลที่จะต้องได้รับอาจจะแปรเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ, และอาจจะรุนแรงในอัตราที่สูง. แรงที่เรือหรือเครื่องบินได้รับอาจจะแปรเปลี่ยนอย่างมากและอาจจะเป็นหลายพันครั้งตลอดช่วงอายุการใช้งานของโครงสร้าง. การออกแบบโครงสร้างต้องให้แน่ใจว่าโครงสร้างดังกล่าวมีความสามารถที่จะทนต่อโหลดเช่นนั้นได้ตลอดช่วงอายุของมันโดยไม่ล้มเหลว.
* หม้อไอน้ำและภาชนะความดัน
 
* ขบวนรถและรถลาก
งานเหล่านี้ต้องการวิศวกรรมโครงสร้างเครื่องจักรกล:
* รถเครน
 
* ลิฟท์
* หม้อไอน้ำและภาชนะความดัน
* บันไดเลื่อน
* ขบวนรถและรถลาก
* รถเครน
* ลิฟท์
* บันไดเลื่อน
* เรือ
===โครงสร้างการบินและอวกาศ===
 
=== โครงสร้างการบินและอวกาศ ===
[[Image:Airbus A380 blue sky.jpg|thumb|left|Airbus A380, เครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก]]
[[File:Patriot missile launch b.jpg|thumb|left|การออกแบบขีปนาวุธต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของการวิเคราะห์โครงสร้าง]]
โครงสร้างการบินและอวกาศมีหลายประเภทรวมถึงยานส่ง (Atlas, เดลต้า, ไททัน), ขีปนาวุธ (ALCM, Harpoon), ยานเหนือเสียง (กระสวยอวกาศ), เครื่องบินรบ (F-16, F-18) และเครื่องบินพาณิชย์ (โบอิ้ง 777, MD-11). โครงสร้างการบินและอวกาศมักจะประกอบด้วยแผ่นบางที่มีแผ่นเสริมแรงสำหรับพื้นผิวภายนอก, ผนังที่แบ่งตัวเครื่องบินออกเป็นส่วนๆและกรอบเพื่อรองรับรูปร่างและตัวยึดเช่นการเชื่อม, หมุด, สกรูและน็อตที่ยึดชิ้นส่วนต่างๆเข้าด้วยกัน.
 
[[ไฟล์:Airbus A380 blue sky.jpg|thumb|left|Airbus A380, เครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก]]
===โครงสร้างระดับนาโน===
[[ไฟล์:Patriot missile launch b.jpg|thumb|left|การออกแบบขีปนาวุธต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของการวิเคราะห์โครงสร้าง]]
โครงสร้างนาโนเป็นวัตถุที่มีขนาดกลางระหว่างโครงสร้างโมเลกุลและต้องส่องกล้องจุลทรรศน์ (ขนาดไมโครเมตร). ในการอธิบายโครงสร้างนาโน มันมีความจำเป็นที่จะต้องแยกความแตกต่างระหว่างตัวเลขของขนาดใน'ระดับนาโน' ({{lang-en|nanoscale}}). พื้นผิวสิ่งทอนาโนมีหนึ่งมิติในระดับนาโน, คือเพียงความหนาของพื้นผิวของวัตถุอยู่ระหว่าง 0.1 และ 100 นาโนเมตร. ท่อนาโน {{Disambiguation needed|date=February 2013}} มีสองมิติในระดับนาโน, คือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่ออยู่ระหว่าง 0.1 และ 100 นาโนเมตร; ความยาวของมันอาจจะมากกว่ามาก. สุดท้ายอนุภาคนาโนทรงกลมมีสามมิติในระดับนาโน, คืออนุภาคอยู่ระหว่าง 0.1 และ 100 นาโนเมตรใน​​แต่ละมิติเชิงพื้นที่. คำว่าอนุภาคนาโนและอนุภาคขนาดเล็ก ({{lang-en|ultrafine particles (UFP)}}) มักจะถุกใช้เป็นคำพ้องเสียง แม้ว่า UFP สามารถมีขนาดถึงในช่วงไมโครเมตร. คำว่า 'โครงสร้างนาโน' มักจะถูกใช้เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีแม่เหล็ก.
 
โครงสร้างการบินและอวกาศมีหลายประเภทรวมถึงยานส่ง (Atlas, เดลต้า, ไททัน), ขีปนาวุธ (ALCM, Harpoon), ยานเหนือเสียง (กระสวยอวกาศ), เครื่องบินรบ (F-16, F-18) และเครื่องบินพาณิชย์ (โบอิ้ง 777, MD-11). โครงสร้างการบินและอวกาศมักจะประกอบด้วยแผ่นบางที่มีแผ่นเสริมแรงสำหรับพื้นผิวภายนอก, ผนังที่แบ่งตัวเครื่องบินออกเป็นส่วน ๆ และกรอบเพื่อรองรับรูปร่างและตัวยึดเช่นการเชื่อม, หมุด, สกรูและน็อตที่ยึดชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน.
===วิศวกรรมโครงสร้างวิทยาศาสตร์การแพทย์===
 
=== โครงสร้างระดับนาโน ===
[[File:Marcelletti SO2.jpg|thumb|right|การออกแบบอุปกรณ์การแพทย์ต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในวิศวกรรมโครงสร้าง]]
โครงสร้างนาโนเป็นวัตถุที่มีขนาดกลางระหว่างโครงสร้างโมเลกุลและต้องส่องกล้องจุลทรรศน์ (ขนาดไมโครเมตร). ในการอธิบายโครงสร้างนาโน มันมีความจำเป็นที่จะต้องแยกความแตกต่างระหว่างตัวเลขของขนาดใน'ระดับนาโน' ({{lang-en|nanoscale}}). พื้นผิวสิ่งทอนาโนมีหนึ่งมิติในระดับนาโน, คือเพียงความหนาของพื้นผิวของวัตถุอยู่ระหว่าง 0.1 และ 100 นาโนเมตร. ท่อนาโน {{Disambiguation needed|date=February 2013}} มีสองมิติในระดับนาโน, คือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่ออยู่ระหว่าง 0.1 และ 100 นาโนเมตร; ความยาวของมันอาจจะมากกว่ามาก. สุดท้ายอนุภาคนาโนทรงกลมมีสามมิติในระดับนาโน, คืออนุภาคอยู่ระหว่าง 0.1 และ 100 นาโนเมตรใน​​แต่ละมิติเชิงพื้นที่. คำว่าอนุภาคนาโนและอนุภาคขนาดเล็ก ({{lang-en|ultrafine particles (UFP)}}) มักจะถุกใช้เป็นคำพ้องเสียง แม้ว่า UFP สามารถมีขนาดถึงในช่วงไมโครเมตร. คำว่า 'โครงสร้างนาโน' มักจะถูกใช้เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีแม่เหล็ก.
อุปกรณ์ทางการแพทย์ (ที่เรียกกันว่า Armamentarium) ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยในการวินิจฉัย, การตรวจสอบหรือการรักษาสภาวะทางการแพทย์. มีหลายประเภทขั้นพื้นฐานคือ: อุปกรณ์การวินิจฉัยรวมถึงเครื่องถ่ายภาพทางการแพทย์, ที่ใช้เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรค; อุปกรณ์รวมถึงปั๊มฉีดเข้าหลอดเลือด, เลเซอร์ทางการแพทย์และการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดด้วย LASIK; การตรวจสอบทางการแพทย์ยอมให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ในการวัดสภาวะทางการแพทย์ของผู้ป่วย. จอภาพอาจวัดสัญญาณชีพผู้ป่วยและพารามิเตอร์อื่นๆ รวมถึงคลื่นไฟฟ้าหัวใจ, คลื่นไฟฟ้าสมอง, ความดันโลหิตและก๊าซที่ละลายในเลือด; อุปกรณ์วินิจฉัยทางการแพทย์ยังอาจใช้ในบ้านเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง, เช่น สำหรับการควบคุมโรคเบาหวาน. ช่างเทคนิคอุปกรณ์ชีวการแพทย์ (BMET) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของระบบการจัดส่งการดูแลสุขภาพ. ถูกจ้างเบื้องต้นโดยโรงพยาบาล, BMETs เป็นคนที่รับผิดชอบในการบำรุงรักษาอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์.
 
==องค์ประกอบ= วิศวกรรมโครงสร้างวิทยาศาสตร์การแพทย์ ===
บทความหลัก: Space frame
 
[[ไฟล์:Marcelletti SO2.jpg|thumb|right|การออกแบบอุปกรณ์การแพทย์ต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในวิศวกรรมโครงสร้าง]]
[[Image:Bending.svg|thumb|right|การกำหนดที่ชัดเจนของความสมดุลย์ของแรง ({{lang-en|[[:en:statically determinate]]}}) จะทำเพียงแค่รองรับคาน, ทำให้เกิดการโก่งงอภายใต้โหลดที่กระจายอย่างสม่ำเสมอ]]
โครงสร้างใดๆจะถูกทำขึ้นหลักๆจากเพียงจำนวนเล็กน้อยของชนิดขององค์ประกอบที่แตกต่างกัน ได้แก่:
 
อุปกรณ์ทางการแพทย์ (ที่เรียกกันว่า Armamentarium) ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยในการวินิจฉัย, การตรวจสอบหรือการรักษาสภาวะทางการแพทย์. มีหลายประเภทขั้นพื้นฐานคือ: อุปกรณ์การวินิจฉัยรวมถึงเครื่องถ่ายภาพทางการแพทย์, ที่ใช้เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรค; อุปกรณ์รวมถึงปั๊มฉีดเข้าหลอดเลือด, เลเซอร์ทางการแพทย์และการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดด้วย LASIK; การตรวจสอบทางการแพทย์ยอมให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ในการวัดสภาวะทางการแพทย์ของผู้ป่วย. จอภาพอาจวัดสัญญาณชีพผู้ป่วยและพารามิเตอร์อื่น ๆ รวมถึงคลื่นไฟฟ้าหัวใจ, คลื่นไฟฟ้าสมอง, ความดันโลหิตและก๊าซที่ละลายในเลือด; อุปกรณ์วินิจฉัยทางการแพทย์ยังอาจใช้ในบ้านเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง, เช่น สำหรับการควบคุมโรคเบาหวาน. ช่างเทคนิคอุปกรณ์ชีวการแพทย์ (BMET) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของระบบการจัดส่งการดูแลสุขภาพ. ถูกจ้างเบื้องต้นโดยโรงพยาบาล, BMETs เป็นคนที่รับผิดชอบในการบำรุงรักษาอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์.
* เสา ({{lang-en|column}})
 
== องค์ประกอบโครงสร้าง ==
บทความหลัก: Space frame
 
[[ไฟล์:Bending.svg|thumb|right|การกำหนดที่ชัดเจนของความสมดุลย์ของแรง ({{lang-en|[[:en:statically determinate]]}}) จะทำเพียงแค่รองรับคาน, ทำให้เกิดการโก่งงอภายใต้โหลดที่กระจายอย่างสม่ำเสมอ]]
 
โครงสร้างใด ๆ จะถูกทำขึ้นหลัก ๆ จากเพียงจำนวนเล็กน้อยของชนิดขององค์ประกอบที่แตกต่างกัน ได้แก่:
 
* เสา ({{lang-en|column}})
* คาน ({{lang-en|beam}})
* แผ่น ({{lang-en|plate}})
* โครงสร้างรูปโค้ง ({{lang-en|arch}})
* เปลือกนอก ({{lang-en|shell}})
* Catenaries
 
องค์ประกอบทั้งหลายเหล่านี้สามารถจำแนกตามรูปแบบ (ตรง, แผ่น, โค้ง) และมิติ (มิติเดียว/สองมิติ) ดังนี้:
 
{| class="wikitable" cellpadding="3" cellspacing="0" border="1" style="border-collapse: collapse;"
บรรทัด 222:
| แรงโค้งงอ ({{lang-en|bending}}) เป็นหลัก
| align="center" |คาน || align="center" | โครงสร้างรูปโค้งต่อเนื่อง
| align="center" |แผ่น, แผ่นพื้นคอนกรีต || align="center"| [[planar lamina|lamina]], โดม
|-
| แรงตึง ({{lang-en|tensile stress}}) เป็นหลัก
| align="center"| เชือก, เหล็กประกับ ({{lang-en|tie}}) || align="center"|[[Catenary]]
| colspan="2" align="center" | เปลือกนอก
|-
| แรงกดทับ ({{lang-en|compression}}) เป็นหลัก
| colspan="2" align="center" | ตอม่อหรือเสาสะพาน, เสา
| colspan="2" align="center" | กำแพงรับน้ำหนัก
|}
 
=== เสา ===
บทความหลัก: เสา
[[Fileไฟล์:National Capitol Columns - Washington, D.C..jpg|thumb|National Capitol Columns ที่ United States National Arboretum ใน Washington, D.C.]]
 
เสาเป็นองค์ประกอบที่แบกรับแรงตามแนวแกนเท่านั้น - นั้นคือแรงกดทับ ({{lang-en|compression}}) - หรือทั้งแรงตามแนวแกนและแรงโค้งงอ ({{lang-en|bending}}) (ซึ่งทางเทคนิคเรียกว่าคาน-เสา ({{lang-en|beam-column}}) แต่ในทางปฏิบัติเรียกแค่เสา). การออกแบบของเสาจะต้องตรวจสอบความสามารถในแนวแกนขององค์ประกอบ, และความสามารถในการโค้งงอ.
 
ความสามารถในการโค้งงอคือความสามารถขององค์ประกอบในการทนต่อความโน้มเอียงในการหักงอ. ความสามารถของมันขึ้นอยู่กับรูปทรงเรขาคณิต, วัสดุ, และความยาวที่มีผลของเสา, ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวะที่เหนี่ยวรั้งที่ด้านบนและด้านล่างของเสา. ความยาวที่มีผลจะเท่ากับ <math>K*l</math> โดยที่ <math>l</math> คือความยาวที่แท้จริงของเสา.
 
ความสามารถของเสาในการแบกโหลดในแนวแกนขึ้นอยู่กับระดับของแรงโค้งงอที่มันจะต้องรองรับ, และในทางกลับกัน, ระดับของแรงโค้งงอที่มันจะต้องรองรับก็จะขึ้นอยู่กับความสามารถของเสาในการแบกโหลดในแนวแกน. นี้จะถูกแสดงในแผนภูมิการทำงานร่วมกันและเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นเส้นตรงและซับซ้อนอันหนึ่ง.
 
=== คาน ===
บทความหลัก: คาน
 
[[Fileไฟล์:Torne River railway bridge 20130317 002.jpg|thumb|สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำ Torne : 'สะพานที่มีตัวรับน้ำหนักประกอบด้วยเหล็กรูปสามเหลี่ยม' ({{lang-en|truss bridge}}) ระหว่างสวีเดนกับฟินแลนด์]]
คานอาจถูกนิยามว่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีด้านๆหนึ่งใหญ่กว่าอีกสองด้านและโหลดที่ถูกใส่ให้มักจะถูกกดลงบนแกนหลักขององค์ประกอบนั้น. คานและเสาจะถูกเรียกว่าองค์ประกอบของเส้นและมักจะถูกแทนด้วยเส้นที่เรียบง่ายในการสร้างแบบจำลองโครงสร้าง.
 
คานอาจถูกนิยามว่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีด้าน ๆ หนึ่งใหญ่กว่าอีกสองด้านและโหลดที่ถูกใส่ให้มักจะถูกกดลงบนแกนหลักขององค์ประกอบนั้น. คานและเสาจะถูกเรียกว่าองค์ประกอบของเส้นและมักจะถูกแทนด้วยเส้นที่เรียบง่ายในการสร้างแบบจำลองโครงสร้าง.
* แบบคานยื่น ({{lang-en|cantilever}}) (มีรองรับที่ปลายด้านหนึ่งเท่านั้นด้วยการเชื่อมต่อแบบถาวร เช่นเสาธงแนวราบหรือเอียง)
 
* มีการรองรับง่ายๆ (การรองรับอยู่ในแนวตั้งที่ปลายแต่ละด้าน, ในแนวนอนมีเพียงด้านเดียวเพื่อทนต่อแรงเสียดทาน เช่นกระดานโดดน้ำ, และสามารถหมุนที่จุดรองรับ เช่นสะพานเปิด/ปิดได้)
* คงที่แบบคานยื่น ({{lang-en|cantilever}}) (มีรองรับที่ปลายทั้งสองด้านโดยหนึ่งเท่านั้นด้วยการเชื่อมต่อตายตัว,แบบถาวร ไม่สามารถหมุนได้ที่จุดรองรับเช่นเสาธงแนวราบหรือเอียง)
* มีการรองรับง่าย ๆ (การรองรับอยู่ในแนวตั้งที่ปลายแต่ละด้าน, ในแนวนอนมีเพียงด้านเดียวเพื่อทนต่อแรงเสียดทาน เช่นกระดานโดดน้ำ, และสามารถหมุนที่จุดรองรับ เช่นสะพานเปิด/ปิดได้)
* คงที่ (รองรับที่ปลายทั้งสองด้านโดยการเชื่อมต่อตายตัว, ไม่สามารถหมุนได้ที่จุดรองรับ)
* อย่างต่อเนื่อง (รองรับสามจุดหรือมากกว่า)
* ผสมกันของแบบข้างต้น (เช่น รองรับที่ปลายด้านหนึ่งและตรงกลาง)
 
คานเป็นองค์ประกอบที่แบกรับแรงโค้งงออย่างเดียวเท่านั้น. แรงโค้งงอทำให้ส่วนหนึ่งของคาน (แบ่งตามความยาวของมัน) อยู่ในสภาพ​​การกดทับและส่วนอื่นๆอื่น ๆ อยู่ในความตึง. ส่วนที่ถูกกดทับจะต้องถูกออกแบบเพื่อต้านทานการโค้งงอและการบด, ในขณะที่ส่วนที่อยู่ในความตึงจะต้องมีความสามารถเพียงพอที่จะต่อต้านความตึงนั้น.
 
=== Trusses ===
บทความหลัก: Truss
 
[[Imageไฟล์:McDonnell-Planetarium.jpg|thumb|ท้องฟ้าจำลอง McDonnell โดย Gyo Obata ในเซนต์หลุยส์, รัฐมิสซูรี่, สหรัฐอเมริกาเป็นโครงสร้างเปลือกคอนกรีต]]
[[Imageไฟล์:gateway arch.jpg|thumb|right|ประตูโค้ง Gateway Arch ในเซนต์หลุยส์, รัฐมิสซูรี่ สูง 630 ฟุต (192 เมตร), หุ้มด้วยสเตนเลส (ชนิด 304)]]
truss เป็นโครงสร้างแบบหนึ่งที่ประกอบด้วยองค์ประกอบโครงสร้างสองประเภท ได้แก่; ส่วนประกอบที่ถูกแรงกดทับ ({{lang-en|compression member}})และส่วนประกอบที่ถูกแรงดึง ({{lang-en|tension member}}) (เช่นเสาค้ำ ({{lang-en|strut}}) และเหล็กประกับ ({{lang-en|tie}})). truss ส่วนใหญ่ใช้เหล็กฉาก ({{lang-en|gusset plate}}) ในการเชื่อมต่อหลายๆองค์ประกอบเข้าด้วยกัน. เหล็กฉากค่อนข้างมีความยืดหยุ่นและช่วยลดโมเม้นท์การโค้งงอ ({{lang-en|bending moment}}) ที่จุดเชื่อมต่อ, จึงเป็นการช่วยให้ truss members สามารถแบกรับแรงตึงหรือแรงกดทับหลักได้.
 
truss เป็นโครงสร้างแบบหนึ่งที่ประกอบด้วยองค์ประกอบโครงสร้างสองประเภท ได้แก่; ส่วนประกอบที่ถูกแรงกดทับ ({{lang-en|compression member}}) และส่วนประกอบที่ถูกแรงดึง ({{lang-en|tension member}}) (เช่นเสาค้ำ ({{lang-en|strut}}) และเหล็กประกับ ({{lang-en|tie}}) ). truss ส่วนใหญ่ใช้เหล็กฉาก ({{lang-en|gusset plate}}) ในการเชื่อมต่อหลาย ๆ องค์ประกอบเข้าด้วยกัน. เหล็กฉากค่อนข้างมีความยืดหยุ่นและช่วยลดโมเม้นท์การโค้งงอ ({{lang-en|bending moment}}) ที่จุดเชื่อมต่อ, จึงเป็นการช่วยให้ truss members สามารถแบกรับแรงตึงหรือแรงกดทับหลักได้.
Truss มักจะถูกนำมาใช้ในโครงสร้างขนาดใหญ่, ในที่ซึ่งมันไม่ประหยัดการใช้คานเป็นแท่งแข็ง.
 
Truss มักจะถูกนำมาใช้ในโครงสร้างขนาดใหญ่, ในที่ซึ่งมันไม่ประหยัดการใช้คานเป็นแท่งแข็ง.
===แผ่น===
 
แผ่นแบกรับการหักงอในสองทิศทาง. แผ่นพื้นคอนกรีตเป็นตัวอย่างหนึ่งของแผ่น. แผ่นสามารถเข้าใจได้โดยใช้กลไกต่อเนื่อง ({{lang-en|continuum mechanics}}), แต่เนื่องจากความซับซ้อนที่เกี่ยวข้อง, พวกมันส่วนใหญ่มักได้รับการออกแบบโดยใช้วิธีการเชิงประจักษ์ประมวลผลหรือการวิเคราะห์คอมพิวเตอร์.
=== แผ่น ===
แผ่นแบกรับการหักงอในสองทิศทาง. แผ่นพื้นคอนกรีตเป็นตัวอย่างหนึ่งของแผ่น. แผ่นสามารถเข้าใจได้โดยใช้กลไกต่อเนื่อง ({{lang-en|continuum mechanics}}), แต่เนื่องจากความซับซ้อนที่เกี่ยวข้อง, พวกมันส่วนใหญ่มักได้รับการออกแบบโดยใช้วิธีการเชิงประจักษ์ประมวลผลหรือการวิเคราะห์คอมพิวเตอร์.
 
นอกจากนี้พวกมันยังสามารถได้รับการออกแบบด้วยทฤษฎีเส้นผลตอบแทน ({{lang-en|yield line theory}}), ในที่ซึ่งกลไกการล่มสลายที่ได้สันนิษฐานไว้มีการวิเคราะห์เพื่อให้ขอบเขตด้านบน ({{lang-en|upper bound}}) บนโหลดที่ล่มสลาย (ดู Plasticity). เทคนิคนี้ถูกนำมาใช้ในทางปฏิบัติ<ref>http://www.ramsay-maunder.co.uk/downloads/precast_roof_slabs.pdf</ref> แต่เพราะวิธีการนี้จะให้ ขอบเขตด้านบน, เช่นการคาดการณ์ที่ไม่ปลอดภัยของการโหลดที่ล่มสลาย, สำหรับกลไกการล่มสลายที่ถูกคิดขึันอย่างไม่ดี การดูแลอย่างมากเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่ากลไกการล่มสลายที่สันนิษฐานไว้จะเป็นจริง<ref>http://www.ramsay-maunder.co.uk/downloads/l_shaped_landing.pdf</ref>.
 
=== เปลือก ===
บทความหลัก: โครงสร้างเปลือกบาง
 
ดูเพิ่มเติม: gridshell
 
เปลือกได้รับกำลังของพวกมันมาจากรูปแบบของพวกมันเอง, และแบกรับแรงกดทับทั้งหมดในสองทิศทาง. โดมเป็นตัวอย่างหนึ่งของเปลือก. พวกมันสามารถได้รับการออกแบบโดยการทำเป็นแบบแขวนห่วงโซ่, ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น catenary ในแรงตึงเครียดที่บริสุทธิ์, และกลับหัวรูปแบบเพื่อให้บรรลุแรงบีบอัดที่บริสุทธิ์.
 
=== โครงสร้างโค้ง ===
บทความหลัก: Arch
[[Image:Columns in the inner court of the Bel Temple Palmyra Syria.JPG|thumb|เสาแบบคลาสสิคที่ประกอบด้วยหลายๆส่วนของหินซ้อนทับกันและสำเร็จออกมาเป็นวัดแห่ง Bel ในสไตล์โครินเทียน, ประเทศซีเรีย]]
[[Image:IRB-7-MUDDY2.jpg|thumb|สะพานเชือก - ตัวอย่างหนึ่งของโครงสร้าง catenary]]
 
[[ไฟล์:Columns in the inner court of the Bel Temple Palmyra Syria.JPG|thumb|เสาแบบคลาสสิคที่ประกอบด้วยหลาย ๆ ส่วนของหินซ้อนทับกันและสำเร็จออกมาเป็นวัดแห่ง Bel ในสไตล์โครินเทียน, ประเทศซีเรีย]]
โครงสร้างโค้งแบกรับแรงกดทับบีบอัดในทิศทางเดียวเท่านั้น, ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีความเหมาะสมที่จะสร้างซุ้มประตูโค้งจากอิฐ. พวกมันได้รับการออกแบบโดยมั่นใจว่าสายของแรงผลักดัน ({{lang-en|line of thrust}}) ของแรงยังคงอยู่ภายในความลึกของซุ้มประตูโค้ง. ส่วนใหญ่มันจะถูกใช้เพื่อเพิ่มความโดดเด่นของโครงสร้างใดๆ.
[[ไฟล์:IRB-7-MUDDY2.jpg|thumb|สะพานเชือก - ตัวอย่างหนึ่งของโครงสร้าง catenary]]
 
โครงสร้างโค้งแบกรับแรงกดทับบีบอัดในทิศทางเดียวเท่านั้น, ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีความเหมาะสมที่จะสร้างซุ้มประตูโค้งจากอิฐ. พวกมันได้รับการออกแบบโดยมั่นใจว่าสายของแรงผลักดัน ({{lang-en|line of thrust}}) ของแรงยังคงอยู่ภายในความลึกของซุ้มประตูโค้ง. ส่วนใหญ่มันจะถูกใช้เพื่อเพิ่มความโดดเด่นของโครงสร้างใด ๆ.
===Catenaries===
 
=== Catenaries ===
บทความหลัก: โครงสร้างแรงดึง
Catenaries ได้รับความแข็งแรงของพวกมันจากรูปแบบของพวกมันเอง, และแบกรับแรงตึงอย่างเดียวโดยการเบี่ยงเบน (เช่นเดียวกับเชือกที่จะย้อยลงมาเมื่อมีคนเดินบนนั้น). พวกมันส่วนใหญ่มักจะเป็นโครงสร้างของสายเคเบิลหรือผ้า. โครงสร้างผ้าทำหน้าที่เป็น catenary ในสองทิศทาง.
 
Catenaries ได้รับความแข็งแรงของพวกมันจากรูปแบบของพวกมันเอง, และแบกรับแรงตึงอย่างเดียวโดยการเบี่ยงเบน (เช่นเดียวกับเชือกที่จะย้อยลงมาเมื่อมีคนเดินบนนั้น). พวกมันส่วนใหญ่มักจะเป็นโครงสร้างของสายเคเบิลหรือผ้า. โครงสร้างผ้าทำหน้าที่เป็น catenary ในสองทิศทาง.
===ทฤษฎีวิศวกรรมโครงสร้าง===
บทความหลัก: ทฤษฎีวิศวกรรมโครงสร้าง
 
=== ทฤษฎีวิศวกรรมโครงสร้าง ===
[[Image:bolt-in-shear.PNG|thumb|รูปของโบลต์(สกรู)ในความเค้นเฉือน(ความเค้นที่ทำให้วัสดุบิดรูปร่างไปจากเดิม) ({{lang-en|shear stress}}), รูปบนแสดงให้เห็นการเฉือนเดี่ยว, รูปล่างแสดงให้เห็นการเฉือนคู่ ]]
บทความหลัก: ทฤษฎีวิศวกรรมโครงสร้าง
 
[[ไฟล์:bolt-in-shear.PNG|thumb|รูปของโบลต์ (สกรู) ในความเค้นเฉือน (ความเค้นที่ทำให้วัสดุบิดรูปร่างไปจากเดิม) ({{lang-en|shear stress}}), รูปบนแสดงให้เห็นการเฉือนเดี่ยว, รูปล่างแสดงให้เห็นการเฉือนคู่ ]]
วิศวกรรมโครงสร้างขึ้นอยู่กับความรู้ในรายละเอียดของกลศาสตร์ประยุกต์, วัสดุศาสตร์และคณิตศาสตร์ประยุกต์เพื่อที่จะเข้าใจและคาดการณ์ว่าโครงสร้างรองรับและต่อต้านน้ำหนักตัวเองและน้ำหนักของโหลดได้อย่างไร. เพื่อที่จะนำความรู้มาใช้ให้ประสบความสำเร็จ วิศวกรโครงสร้างโดยทั่วไปต้องมีความรู้ในรายละเอียดของรหัสการออกแบบ ({{lang-en|design codes}}) ด้านปฏิบัติและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง, เทคนิคของการวิเคราะห์โครงสร้าง, รวมทั้งความรู้บางอย่างเกี่ยวกับความต้านทานการกัดกร่อนของวัสดุและโครงสร้าง, โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโครงสร้างเหล่านั้นจะสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอก. ตั้งแต่ปี 1990s, ซอฟแวร์ผู้เชี่ยวชาญได้มีอยู่ในตลาดเพื่อช่วยในการออกแบบโครงสร้าง, ด้วยฟังก์ชั่นการทำงานที่จะช่วยในการวาดภาพ, การวิเคราะห์และการออกแบบโครงสร้างที่มีความแม่นยำสูงสุด; ตัวอย่างเช่น AutoCAD, StaadPro, ETABS, Prokon, Revit Structure เป็นต้น. ซอฟต์แวร์ดังกล่าวยังอาจต้องพิจารณาโหลดในสิ่งแวดล้อม, เช่นจากการเกิดแผ่นดินไหวและลม.
 
วิศวกรรมโครงสร้างขึ้นอยู่กับความรู้ในรายละเอียดของกลศาสตร์ประยุกต์, วัสดุศาสตร์และคณิตศาสตร์ประยุกต์เพื่อที่จะเข้าใจและคาดการณ์ว่าโครงสร้างรองรับและต่อต้านน้ำหนักตัวเองและน้ำหนักของโหลดได้อย่างไร. เพื่อที่จะนำความรู้มาใช้ให้ประสบความสำเร็จ วิศวกรโครงสร้างโดยทั่วไปต้องมีความรู้ในรายละเอียดของรหัสการออกแบบ ({{lang-en|design codes}}) ด้านปฏิบัติและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง, เทคนิคของการวิเคราะห์โครงสร้าง, รวมทั้งความรู้บางอย่างเกี่ยวกับความต้านทานการกัดกร่อนของวัสดุและโครงสร้าง, โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโครงสร้างเหล่านั้นจะสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอก. ตั้งแต่ปี 1990s, ซอฟแวร์ผู้เชี่ยวชาญได้มีอยู่ในตลาดเพื่อช่วยในการออกแบบโครงสร้าง, ด้วยฟังก์ชั่นการทำงานที่จะช่วยในการวาดภาพ, การวิเคราะห์และการออกแบบโครงสร้างที่มีความแม่นยำสูงสุด; ตัวอย่างเช่น AutoCAD, StaadPro, ETABS, Prokon, Revit Structure เป็นต้น. ซอฟต์แวร์ดังกล่าวยังอาจต้องพิจารณาโหลดในสิ่งแวดล้อม, เช่นจากการเกิดแผ่นดินไหวและลม.
===วัสดุ===
 
=== วัสดุ ===
บทความหลัก: วัสดุโครงสร้าง
วิศวกรรมโครงสร้างขึ้นอยู่กับความรู้ของวัสดุและคุณสมบัติของพวกมัน, เพื่อที่จะเข้าใจว่าวัสดุที่แตกต่างกันรองรับและต่อต้านโหลดได้อย่างไร.
 
วิศวกรรมโครงสร้างขึ้นอยู่กับความรู้ของวัสดุและคุณสมบัติของพวกมัน, เพื่อที่จะเข้าใจว่าวัสดุที่แตกต่างกันรองรับและต่อต้านโหลดได้อย่างไร.
วัสดุโครงสร้างที่พบบ่อยคือ
 
วัสดุโครงสร้างที่พบบ่อยคือ
 
* เหล็ก: เหล็กดัด, เหล็กหล่อ
* คอนกรีต: คอนกรีตเสริมเหล็ก, คอนกรีตอัดแรง
* โลหะผสม: เหล็กกล้า, เหล็กสเตนเลส
* อิฐ
* ไม้: ไม้เนื้อแข็ง, ไม้เนื้ออ่อน
* อลูมิเนียม
* วัสดุคอมโพสิต: ไม้อัด
* วัสดุโครงสร้างอื่น ๆ : อิฐที่ตากแห้ง, ไม้ไผ่, คาร์บอนไฟเบอร์, พลาสติกเสริมไฟเบอร์, อิฐโคลน, วัสดุมุงหลังคา