ผลต่างระหว่างรุ่นของ "มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Char (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Pubat (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาดทันใจด้วยสจห.
บรรทัด 1:
{{กล่องข้อมูล มหาวิทยาลัย
| name = มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม<br/> <small>University of Birmingham</small>
| image_name = ตราอาร์มเบอร์มิงแฮม.svg
| image_size = 200px
| caption = ตราอาร์มอย่างย่อของมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม
| motto = [[ภาษาลาติน|ลาติน]]: Per Ardua Ad Alta<ref>Ives et al. 2000, p. 238</ref><br/>แปลเป็นไทยได้ว่า จงพยายามไปสู่ที่สูงส่ง
| established = พ.ศ. 2443 ได้รับพระบรมราชโองการให้เป็นมหาวิทยาลัย <br/> พ.ศ. 2441 วิทยาลัยวิทยาศาสตร์เมสัน<ref name="Mason">{{cite web|title=Mason College|url=http://www.birmingham.ac.uk/university/about/history/mason.aspx|publisher=Birmingham University|accessdate=9 October 2014}}</ref><ref name="The First Civic University">Ives et al. 2000, p. 12</ref><br> พ.ศ. 2386 โรงเรียนแพทย์ในพระบรมราชินูปถัมภ์แห่งเบอร์มิงแฮม
| city = [[เบอร์มิงแฮม]]
| province = [[เวสต์มิดแลนด์ส|เวสต์มิดแลนด์]]
| country = สหราชอาณาจักร
| coor = {{Coord|52|27|2|N|1|55|50|W|display=inline,title}}
| campus = ในเมืองและชานเมือง
| type = สถาบันอุดมศึกษาของรัฐบาล
| colours = น้ำเงิน แดง เหลืองทอง และฟ้า {{Scarf|{{Cells|3|#0000A0}}{{Cell|#FDD017}}{{Cells|10|#0000A0}}{{Cell|#E42217}}{{Cells|3|#306EFF}}{{Cells|2|#0000A0}}}}
{{collapsible list|title=สีประจำคณะ|
คณะอักษรศาสตร์และนิติศาสตร์<br />
บรรทัด 21:
คณะแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์<br />{{scarf|{{cell3|black}}{{cell|#FDD017}}{{cell2|maroon}}{{cell|#FDD017}}{{cell3|black}}{{cell|#FDD017}}{{cell2|maroon}}{{cell|#FDD017}}{{cell3|black}}}}
}}
| website = [http://www.birmingham.ac.uk/ birmingham.ac.uk]
}}
'''มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม''' เป็นสถาบันอุดมศึกษาเน้นวิจัยขนาดใหญ่ ตั้งที่เมือง[[เบอร์มิงแฮม]] อันมีสถานะเป็นอำเภอใน[[เวสต์มิดแลนด์ส|จังหวัดเวสต์มิดแลนด์]] มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยอิฐแดง (Red Brick Universities) และเป็นมหาวิทยาลัยอิฐแดงแห่งแรก ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2443 โดยรวมโรงเรียนแพทย์ในพระราชินูปถัมภ์แห่งเบอร์มิงแฮมเข้ากับวิทยาลัยวิทยาศาสตร์เมสัน<ref>[http://www.guardian.co.uk/education/2009/may/10/universityguide-uni-birmingham University guide 2014: University of Birmingham], ''[[The Guardian]]'', 8 June 2008. Retrieved 11 June 2010</ref> มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมมีชื่อเสียงในด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์และพาณิชยศาสตร์ โดยได้เป็นสมาชิก[[กลุ่มรัสเซล]] และกลุ่มมหาวิทยาลัยวิจัยยูนิเวอร์ซิตัส (หรือ อูนิแวร์ซิตัส) 21 ซึ่งมีที่ทำการที่มหาวิทยาลัยเอง
 
== ประวัติ ==
มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ก่อตั้งตามพระราชบัญญัติเมื่อ พ.ศ. 2443 จากการควบรวมโรงเรียนแพทย์ในพระราชินูปถัมภ์แห่งเบอร์มิงแฮม (Queen's College Birmingham) ซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ. 2371<ref name="medicine.bham.ac.uk">{{cite web|url=http://www.medicine.bham.ac.uk/histmed/history.shtml#TheBeginning |title=History of Medicine Unit – University of Birmingham |publisher=Medicine.bham.ac.uk }}</ref>กับวิทยาลัยวิทยาศาสตร์เมสัน (Mason Science College) ซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ. 2413<ref name="The First Civic University">Ives, E. (2000). The First Civic University: Birmingham, 1880–1980 – An Introductory History. Birmingham: University of Birmingham Press</ref> ใช้เวลา 5 ปี การก่อตั้งจึงสำเร็จ<ref name="Mason">{{cite web|title=Mason College|url=http://www.birmingham.ac.uk/university/about/history/mason.aspx|publisher=Birmingham University|accessdate=9 October 2014}}</ref> ตามชื่อของโจเซีย เมสัน (Josiah Mason) นักอุตสาหกรรมชาวอังกฤษ ก่อนหน้าที่มหาวิทยาลัยจะก่อตั้งนั้นเอง ได้มีการโอนภาควิชาเคมีและภาควิชากายวิภาคเปรียบเทียบจากโรงเรียนแพทย์ จนทำให้มีการยกฐานะวิทยาลัยวิทยาศาสตร์เมสันเป็นวิทยาลัยอุดมศึกษาเมสัน เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2341 มีโจเซฟ เชมเบอร์เลน (Joseph Chamberlain) เป็นนายกสภาสถาบัน
 
ไม่นานนักหลังจากการโอนย้ายส่วนงาน [[สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย]]มีพระบรมราชโองการให้ควบรวมทั้งสองสถาบันเข้าด้วยกัน เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2443<ref>Gosden, Peter. "From County College To Civic University, Leeds, 1904." ''Northern History'' 42.2 (2005) : 317-328. ''Academic Search Premier.'' Web. 12 Nov. 2014.</ref> ตระกูลกอฟ-คาลทอร์ป (Gough-Calthorpe Family) ได้บริจาคที่ดินส่วนหนึ่งของตนซึ่งตั้ง ณ ตำบลบอร์นบรุก (Bournbrook) ซึ่งมีขนาดราว ๆ 10 เฮกแตร์ (ุ62 ไร่ 2 งาน) ให้แก่มหาวิทยาลัยเพื่อใช้เป็นที่ตั้ง อาคารต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้นโดยมากใช้อิฐสีแดง หนึ่งในอาคารเหล่านั้น คือ อาคารแอสตันเว็บ ได้ถูกใช้เป็นสถานที่พยาบาลทหารบาดเจ็บจากการสู้รบ<ref>http://www.birmingham.ac.uk/Documents/university/our-impact.pdf</ref>
 
ต่อมาเมื่อมหาวิทยาลัยต้องขยายตัว ฮิวก์ คาสซัน (Hugh Casson) และเนวิล คอนเดอร์ (Neville Conder) สถาปนิก ได้รับมอบหมายจากมหาวิทยาลัยให้ทำแผนสร้างอาคารใหญ่ขึ้นเสริมอาคารที่มีอยู่เดิม ต่อจากนั้นมหาวิทยาลัยก็ได้เริ่มสร้างอาคารใหม่ ๆ โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา<ref name="hickman"/> ขณะเดียวกันนั้นเองมหาวิทยาลัยได้ช่วยเหลือ[[มหาวิทยาลัยซิมบับเว]]จัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ รวมทั้งช่วยเหลือการดำเนินงานวิทยาลัยอุดมศึกษานอร์ทสแตฟฟอร์ดเชอร์ (ปัจจุบันคือ [[มหาวิทยาลัยคีล]]) รวมไปถึงการก่อตั้ง[[มหาวิทยาลัยวอร์ริก]]<ref>Ives et al. 2000, p. 342.</ref> ซึ่งเดิมทีมหาวิทยาลัยวอริกจะมีสถานะเป็นเพียงวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ณ เมืองโคเวนทรี แต่อธิการบดีขณะนั้น (โรเบิร์ต เอตเกน (Robert Aitken)) ได้ทัดทานขอให้เปลี่ยนสถานะเป็นมหาวิทยาลัย<ref>Ives et al. 2000, p. 343.</ref>
 
[[Fileไฟล์:Aston Webb001.JPG|thumb|left|อาคารแอสตันเว็บ]]
 
การเติบโตของมหาวิทยาลัย นอกจากวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลของผู้บริหารแล้ว ยังได้อิทธิพลจากการค้นคว้าวิจัยของบุคลากรอีกด้วย อาทิ ช่วงระหว่าง พ.ศ. 2468 - 2491 [[นอร์มัน ฮาเวิร์ท]] (์Norman Harworth) หัวหน้าภาควิชาเคมี คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ และรองอธิการบดี (พ.ศ. 2490 - 2491) เป็นนักวิจัยด้านเคมีของ[[คาร์โบไฮเดรต]] โดยเขาได้ค้นพบโครงสร้างของน้ำตาลที่สามารถหมุนแกน[[โพลาไรเซอร์|แสงโพลาไรซ์]]ได้ รวมถึงค้นพบโครงสร้างที่แน่นอนของน้ำตาล[[มอลโทส]] [[เซลโลไบโอส]] [[แลกโทส]] [[เจนโชไบโอส]] [[เมลลิไบโอส]] เจนเชียโนส [[ราฟฟิโนส]] และโครงสร้างของน้ำตาลอัลโดสที่เป็นวงกลม งานของเขาทำให้มีการค้นพบโครงสร้างของสารที่ซับซ้อนกว่าขึ้นมาเช่น แป้งแท้ (starch) [[เซลลูโลส]] [[ไกลโคเจน]] [[อินูลิน]] และ[[ไซแลน]] จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี ประจำปี พ.ศ. 2483<ref>{{cite web|title=Norman Haworth - Biographical|url=http://www.nobelprize.org/nobel_prizes/chemistry/laureates/1937/haworth-bio.html|website=Nobelprize.org|publisher=The Nobel Foundation|accessdate=15 August 2014}}</ref>
 
มาร์ก โอลิฟันต์ (Mark Oliphant) อาจารย์ เสนอให้สร้างซิงโครตรอน (เครื่องเร่งอนุภาค) ที่ประกอบด้วยโปรตอนในปี พ.ศ. 2486 แต่เขากลับปฏิเสธว่าไม่มีความเป็นไปได้ในเวลาต่อมา กระนั้นสองปีให้หลังได้มีการค้นพบสถานะสมดุล ทำให้สามารถสร้างเครื่องเร่งอนุภาคขนาด 1 กิกะอิเล็กตรอนโวลต์ที่มหาวิทยาลัย ซึ่งเริ่มเดินในอีก 7 ปีต่อมา ด้วยเหตุผลด้านค่าพลังงานที่ต้องใช้ อย่างไรก็ตามเครื่องเร่งอนุภาคที่ห้องปฏิบัติการบรูกแฮเวนได้ถูกสร้างสำเร็จก่อนหน้าที่เครื่องของมหาวิทยาลัยจะสามารถเดินเครื่องได้<ref>{{cite book |first=Laurie M. |last=Brown |first2=Max |last2=Dresden|first3= Lillian |last3=Hoddeson |title=Pions to Quarks: Particle Physics in the 1950s: Based on a Fermilab Symposium |pages=167–9 |year=1989 |publisher=Cambridge University Press |isbn=0-521-30984-0}}</ref>
 
[[Fileไฟล์:Poynting Physics building 2.jpg|thumb|right|อาคารฟิสิกส์ (อาคารพอยติง)]]
 
ในปี พ.ศ. 2490 ปีเตอร์ เมเดวาร์ (Peter Medewar) ศาสตราจารย์ด้านสัตววิทยา ได้ศึกษาผลของภูมิคุ้มกันที่มีต่อการปลูกถ่ายอวัยวะ ในงานของเขา ได้ศึกษาการปลูกถ่ายผิวหนังวัวและการสร้างเม็ดสีในผิวหนังที่ปลูกใหม่ จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาแพทยศาสตร์ ประจำปี พ.ศ. 2503<ref name=Medawar>{{cite web|title=Peter Medawar - Biographical|url=http://www.nobelprize.org/nobel_prizes/medicine/laureates/1960/medawar-bio.html|website=Nobelprize.org|publisher=The Nobel Foundation|accessdate=15 July 2014}}</ref>
 
== ส่วนงาน ==
บรรทัด 87:
นอกจากนี้ยังมีศูนย์วิจัยต่าง ๆ ได้แก่ แผนกพัฒนานานาชาติ สถาบันการปกครองท้องถิ่น ศูนย์ศึกษาแอฟริกันตะวันตก ศูนย์รัสเซียและยุโรปตะวันออก ศูนย์ความเป็นเลิศด้านปัญญาประดิษฐ์ และสถาบันเชคสเปียร์
 
=== ศูนย์พัฒนานานาชาติ ===
ศูนย์พัฒนานานาชาติ (International Development Department) ของมหาวิทยาลัยถูกก่อตั้งเพื่อศึกษาวิจัยด้านการลดความยากจนในประเทศด้อยพัฒนา โดยอาศัยการบริหารจัดการที่เป็นธรรม ศูนย์ฯ เป็นสถาบันศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาด้านการพัฒนาและการลดความยากจนที่มีชื่อเสียงของโลกแห่งหนึ่ง<ref>{{cite web|url=http://ww2.prospects.ac.uk/cms/ShowPage/Home_page/Featured_institutions/Department_profiles/Profile_display/p!eFjkiad?mode=View&profileNo=1113&from=D|title=Department profile: University of Birmingham, School of Government & Society|publisher=Prospects|accessdate=25 August 2010}}</ref><ref>{{cite news|url=http://www.independent.co.uk/student/postgraduate/business-schools/birmingham-university-school-of-public-policy-1206245.html|title=Birmingham University, School of Public Policy|work=The Independent|date=21 December 2008|accessdate=25 August 2010}}</ref>
 
=== ส่วนงานนอกพื้นที่หลักของมหาวิทยาลัย ===
[[Imageไฟล์:Masoncroft.jpg|thumb|right|สถาบันเชคสเปียร์ ที่สแตรตฟอร์ดอะพอนเอวอน]]
นอกเหนือจากวิทยาเขตเอดจ์บาสตันและแซลลีโอ๊คแล้ว มหาวิทยาลัยมีส่วนงานที่ตั้งที่อื่นได้แก่
 
บรรทัด 105:
== ที่ตั้ง ==
=== วิทยาเขตเอดจ์บาสตัน ===
[[Fileไฟล์:BirminghamUniversityChancellorsCourt.jpg|thumb|240px|right|อาคารแอสตันเว็บ]]
มหาวิทยาลัยมีที่ตั้งห่างจากใจกลางเมืองเบอร์มิงแฮมราว ๆ 3 km ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ในท้องที่ตำบลเอดจ์บาสตัน (Edgbaston) ซึ่งได้รับบริจาคจากตระกูลคาลทอร์ป ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางสืบทอดหลายชั่วคน เงินทุนประเดิมส่วนหนึ่งได้จากการอุทิศของแอนดรูว์ คาร์เนอกี (Andrew Carnegie) เพื่อให้เป็น "โรงเรียนวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ชั้นนำ"<ref>{{cite book|first=Edmund |last=Burke|title=The Annual Register|year=1900|publisher=Rivingtons|page=27|isbn=1-60030-829-5}}</ref>ตามอย่าง[[มหาวิทยาลัยคอร์เนล]] ซึ่งตั้งที่เมืองอีทากา เทศมณฑลทอมป์กิน รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา<ref>[http://ecommons.library.cornell.edu/bitstream/1813/3164/11/002_10.pdf The Carnegie Committee], ''Cornell Alumni News'', II (10), 29 November 1899, p. 6</ref> นอกจากนี้ชาร์ลส์ โฮลครอฟต์ (Charles Holcroft) ยังได้ช่วยสมทบทุนร่วมกับผู้มีจิตศรัทธาอื่นอีกด้วย<ref>Ray Smallman, [http://www.eng.bham.ac.uk/metallurgy/news/RES%20-%20Hundred%20years%20of%20%20BUMS.pdf A hundred years of distinction], BUMS centenary lecture, p. 5</ref>
 
ภายในวิทยาเขตประกอบด้วยหอนาฬิกาขนาดใหญ่ชื่อโอลด์โจ (Old Joe) ตามชื่อของนายกสภาคนแรกซึ่งมีบทบาทอย่างสูงต่อการก่อตั้งมหาวิทยาลัย ออกแบบโดยอาศัยต้นแบบที่หอนาฬิกาตอร์เดลมังเจีย (Torre del Mangia) เมืองซีเอนา (Siena) ประเทศอิตาลี <ref>{{cite web|first=W.B.|last=Stephens|title=A History of the County of Warwick: Volume 7|year=1964|pages=43–57|location=London|publisher=Oxford University Press|url=http://www.british-history.ac.uk/report.aspx?compid=22961}}</ref> ครั้นสร้างเสร็จหอนาฬิกาดังกล่าวได้กลายเป็นอาคารที่สูงที่สุดในเมืองเบอร์มิงแฮม จนกระทั่งปี พ.ศ. 2512 จึงถูกทำลายสถิติไป ถึงกระนั้นหอนาฬิกาดังกล่าวก็ยังคงเป็นอาคารสูงอันดับที่สามในเมือง และเป็นหนึ่งในห้าสิบอันดับอาคารสูงในสหราชอาณาจักรอีกด้วย<ref name=50tallest>{{cite web |url=http://www.skyscrapernews.com/snuk_list.htm |title=Britain's tallest 100 buildings by height|publisher=Skyscraper News |accessdate=2008-08-09}}</ref>
บรรทัด 118:
นอกเหนือจากนี้ มหาวิทยาลัยได้ปรับปรุงซ่อมสร้างอาคารต่าง ๆ อาทิ
 
อาคารที่สร้างในยุคต่อมา ได้แก่ อาคารพลศึกษา อาคารภาควิชาเหมืองแร่ ซึ่งออกแบบโดยฟิลิป ดาวสัน (Philip Dowson) สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2510 และได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์เมื่อ พ.ศ. 2519 นอกเหนือจากนี้ มหาวิทยาลัยได้สร้างหอพักลูคัส (Lucas House) ขึ้นเพื่อรองรับจำนวนนักศึกษาที่มากขึ้น หอพักดังกล่าวสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2510 เช่นกัน
 
* พ.ศ. 2510 สร้างอาคารพลศึกษา อาคารภาควิชาเหมืองแร่ อาคารคณะแพทยศาสตร์ หอพักลูคัส (Lucas House)<ref name=STS>{{cite web|url=http://www.birmingham.gov.uk/ELibrary?E_LIBRARY_ID=64&a=1141397636571 |title=Signalling the Sixties: 1960s Architecture in Birmingham |location=West Midlands |publisher=Birmingham.gov.uk |date=13 June 2009 |accessdate=2010-04-29}}</ref> อนึ่ง อาคารภาควิชาเหมือนแร่ได้รับสถานะอาคารอนุรักษ์เมื่อ พ.ศ. 2519
* พ.ศ. 2511 สร้างอาคารภาควิชาครุศาสตร์เสร็จสิ้น เป็นอาคารแปดชั้นมีห้องบรรยาย ห้องปฏิบัติการและห้องพักอาจารย์ หลังคาของตึกทำจากทองแดง<ref name=hickman />
* พ.ศ. 2512 สร้างอาคารมัวร์เฮด (Muirhead Tower) ตั้งตามชื่อของจอห์น มัวร์เฮด (John Muirhead) ศาสตราจารย์สาขาปรัชญาคนแรกของมหาวิทยาลัย<ref name="Reisz">{{cite news|url=http://www.timeshighereducation.co.uk/story.asp?sectioncode=26&storycode=408321|title=Original features|last=Reisz|first=Matthew|date=24 September 2009|work=Times Higher Education|accessdate=2009-11-08}}</ref><ref>{{cite web|first=Dr R |last=Takagi |url=http://www.takagi-ryo.ac/docs/id/340/lang/1/ |title=Muirhead Tower of the University of Birmingham |publisher=Takagi-ryo.ac |accessdate=2010-04-29}}</ref>) ความสูง 16 ชั้น<ref name=hickman /> ปัจจุบันใช้เป็นที่ทำการคณะสังคมศาสตร์และห้องสมุดแคดเบอรี (Cadbury Library)
บรรทัด 126:
* พ.ศ. 2555 สร้างศูนย์กีฬาในร่มมูลค่า 175 ล้านปอนด์<ref>{{cite web |url=http://www.birmingham.ac.uk/news/latest/2011/08/09Aug-Estates-Development-FrameworkRelease.aspx |title=University proposes £175m transformation of historic Edgbaston campus |publisher=Birmingham.ac.uk |date=9 August 2011 }}</ref>
 
[[Fileไฟล์:University of Birmingham - geograph.org.uk - 464655.jpg|thumb|right|อาคารอักษรศาสตร์]]
 
นอกเหนือจากอาคารเรียนแล้ว ยังมีสวนพฤกษศาสตร์วินเทอร์บอร์น ซึ่งมีพื้นที่ขนาด 24,000 ตารางเมตร และป้ายหยุดรถไฟให้บริการภายในมหาวิทยาลัย
บรรทัด 140:
=== บรรณานุกรม ===
{{Refbegin}}
* {{Cite book|last=Foster|first=A.|title=Birmingham (Pevsner Architectural Guides)|publisher=Yale University Press|year=2005|location=London|isbn=0-300-10731-5}}
* {{cite book|last1=Ives|first1=Eric William|last2=Schwarz|first2=L. D.|last3=Drummond|first3=Diane K.|title=The First Civic University: Birmingham 1880-1980 An Introductory History|year=2000|publisher=University of Birmingham Press|location=Birmingham, UK|isbn=1-902459-07-5}}
* {{Cite book|title=The University of Birmingham Yearbook 2002–2003}}
* {{Cite book|last=Cheesewright|first=M.|title=Mirror to a Mermaid |publisher=The University of Birmingham Press|year=1975|location=Birmingham|isbn=0-7044-0130-4}}
* {{Cite book|last=Braithwaite|first=L.|title=University of Birmingham Architectural Trail|publisher=The University of Birmingham Press|year=1987|location=Birmingham|isbn=0-7044-0890-2}}
* {{Cite book|last=Hughes|first=A.|title=The University of Birmingham : A Short History|publisher=The University of Birmingham Press|year=1950|location=Birmingham}}
{{Refend}}