ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ราชอาณาจักรอิตาลี"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 377:
[[ไฟล์:Pietro Badoglio 1921.jpg|thumb|150px|left|[[ปีเอโตร บาโดลโย]] ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งอิตาลีหลังการขับไล่มุสโสลีนีในปี ค.ศ. 1943]]
 
ปี [[ค.ศ. 1943]] มุสโสลีนีสูญเสียการสนับสนุนจากประชาชนชาวอิตาลีโดยเหตุที่เขาได้นำพาประเทศเข้าสู่หายนะจากสงคราม และในสายตาชาวโลก เขาถูกมองว่าเป็น "ซีซาร์หัวขี้เลื่อย" (sawdust caesar) เพราะได้นำประเทศเขาสู่สงครามโดยใช้กองทัพที่ขาดการฝึกฝนและขาดอาวุธที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ในการสู้รบในสมรภูมิต่างๆ อิตาลีต้องพบกับความล้มเหลว ความรู้สึกอับอายในตัวของมุสโสลีนีได้ทำให้สโสลีนีทำให้[[พระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 แห่งอิตาลี|พระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3]] และสมาชิกพรรคฟาสซิสต์จำนวนมากสิ้นศรัทธาในตัวเขา การขับไล่มุสโสลีนีในขั้นแรกจึงเกิดขึ้นเมื่อสภาใหญ่แห่งพรรคฟาสซิสต์ภายใต้การอำนวยการของ[[ดีโน กรันดี]] สมาชิกพรรคฟาสซิสต์ ได้ลงมติขับมุสโสลีนีออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคฟาสซิสต์ อีกหลายวันต่อมาในวันที่ [[26 กรกฎาคม]] [[ค.ศ. 1943]] พระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 ได้มีพระบรมราชโองการให้ปลดมุสโลสินีจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ และได้ทรงแต่งตั้งให้จอมพล[[ปีเอโตร บาโดลโย]] เป็นนายกรัฐมนตรีแทน
 
หลังการถูกปลดออกจากตำแหน่ง มุสโสลีนีก็ถูกควบคุมตัวทันที รัฐบาลใหม่ของบาโดลโยได้ทำการประกาศให้พรรคฟาสซิสต์เป็นพรรคการเมืองต้องห้าม ถือได้ว่าเป็นการกำจัดพรรคฟาสซิสต์ออกจากเวทีการเมืองขั้นสุดท้าย จากนั้นรัฐบาลใหม่จึงได้ทำการลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกระหว่างอิตาลีกับกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร และอิตาลีก็ได้เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรพร้อมกับประกาศสงครามต่อ[[นาซีเยอรมนี]] รัฐบาลใหม่ฝ่ายนิยมกษัตริย์ของอิตาลีได้ทำการจัดตั้งกองทัพร่วมของอิตาลีในทั้งสามเหล่าทัพ และได้พยายามจัดรูปแบบการบริหารราชการแผ่นดินให้มีลักษณะแบบพลพรรค (partisan) น้อยลง พร้อมทั้งได้อนุญาตให้มีพรรคการเมืองต่างๆ เกิดขึ้นได้อีกครั้ง หลังจากที่พรรคการเมืองเหล่านี้ถูกห้ามทำกิจกรรมทางการเมืองและมีเพียงพรรคฟาสซิสต์พรรคเดียวที่เป็นพรรคการเมืองโดยถูกตามกฎหมายตลอดสมัยการปกครองของมุสโสลีนี พรรคการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้มีทั้งพรรคฝ่ายเสรีนิยมและฝ่ายคอมมิวนิสต์ และได้เข้ามาร่วมอยู่ในทุกส่วนของรัฐบาลชุดนี้ <ref>Smith, 1997. p418.</ref> ชาวอิตาลีได้เฉลิมฉลองแสดงความยินดีในการสิ้นสุดอำนาจของมุสโสลีนี และเมื่อกองทัพสัมพันธมิตรรุกเข้าไปในดินแดนต่างๆ ของอิตาลี ชาวอิตาลีก็ได้ให้การต้อนรับกองทัพสัมพันธมิตรในฐานะผู้ปลดปล่อยซึ่งต่อต้านการยึดครองของเยอรมนี
 
[[ไฟล์:Bundesarchiv Bild 101I-316-1181-11, Italien, Benito Mussolini mit italienischen Soldaten.jpg|thumb|right|[[มุสโสลีนี]]ตรวจแถวพลทหารของ[[สาธารณรัฐสังคมนิยมอิตาลี]]ในปี ค.ศ. 1944]]
 
อย่างไรก็ตาม ยุคของมุสโสลีนีในอิตาลียังไม่จบลง หน่วยคอมมานโดเยอรมันหน่วยหนึ่งภายใต้การนำของ[[ออตโต สกอร์เซนี]] (Otto Skorzeny) ได้บุกเข้าไปช่วยมุสโสลีนีให้ออกจากโรงแรมบนภูเขาที่กักกันเขาอยู่ได้สำเร็จ [[ฮิตเลอร์]]ได้แนะนำให้มุสโสลีนีก่อตั้ง[[สาธารณรัฐสังคมนิยมอิตาลี]]ในอิตาลีตอนเหนือซึ่งเป็นพื้นที่เขตยึดครองของ[[นาซีเยอรมนี]] ทว่ามุสโสลีนีมีอำนาจในสาธารณรัฐที่ตั้งขึ้นใหม่เพียงน้อยนิด รัฐใหม่นี้จึงเป็นเพียง[[รัฐหุ่นเชิด]]ของเยอรมนีเท่านั้น กองทัพของอิตาลีฝ่ายฟาสซิสต์เป็นกองกำลังผสมระหว่างผู้นิยมลัทธิฟาสซิสต์ซึ่งยังภักดีต่อมุสโสลีนีและกองทัพนาซีเยอรมนี ฮิตแลอร์ฮิตเลอร์และกองทัพเยอรมันได้เปิดฉากทำการรบกับสัมพันธมิตรและเห็นประโยชน์ของอิตาลีเพียงเล็กน้อยว่าเป็นเพียงเขตกันชนที่จะต้องเพื่อต้านทานการรุกของสัมพันธมิตรที่ซึ่งจะเข้ามาทางใต้ของเยอรมนีเท่านั้น<ref>Smith, 1997. p419</ref>
 
ชีวิตของชาวอิตาลีในเขตยึดครองของเยอรมนีเป็นไปอย่างอย่างลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน[[กรุงโรม]] ประชากรชาวโรมในปี ค.ศ. 1943 รู้สึกอ่อนล้าเต็มทีกับสงครามที่เกิดขึ้น เมื่ออิตาลียอมลงนามสงบศึกกับฝ่ายสัมพันธมิตรในวันที่ [[8 กันยายน]] [[ค.ศ. 1943]] ชาวโรมต่างพากันออกมาในท้องถนนพร้อมตะโกนคำว่า "สันติภาพจงเจริญ" ("Viva la pace!") แต่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา กองทัพเยอรมันก็ได้เคลื่อนพลเข้ามาในเมือง และเข้าโจมตีทั้งฝ่ายต่อต้านฟาสซิสต์ ฝ่ายนิยมกษัตริย์ และ[[ชาวยิว]]<ref>Wallace, Robert. 1979. ''World War II: The Italian Campaign.'' New York: Time-Life Books. Pp. 36</ref> ชาวโรมถูกทหารเยอรมันข่มขู่เพื่อให้ส่งเสบียงอาหารและน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่กองทัพเยอรมัน ถ้าหากใครขัดขืนฝ่ายเยอรมันก็จะจับกุมตัวไว้ มีคนจำนวนมากที่ถูกนาซีเยอรมนีจับกุมแล้วถูกส่งตัวไปบังคับใช้แรงงาน<ref name="Wallace">Wallace, 1979. Pp. 36</ref> ในช่วงหลังการปลดปล่อยกรุงโรม ชาวโรมได้รายงานไว้ว่า ในช่วงสัปดาห์แรกแห่งการยึดครองของเยอรมนี ได้เกิดอาชญากรรรมต่อชาวอิตาลีขึ้นทั่วไปจากการที่ทหารเยอรมันเข้าปล้นร้านค้าและใช้ปืนจี้บังคับเอาสิ่งของจากชาวอิตาลี<ref name="Wallace"/> [[กฎอัยการศึก]]ได้ถูกประกาศใช้โดยอำนาจรัฐเยอรมนีเพื่อให้ชาวอิตาลีทุกคนห้ามออกนอกเคหสถานของตนภายหลังเวลาสามทุ่ม <ref name="Wallace"/> ระหว่างฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1943 ชาวโรมถูกจำกัดการปันส่วนอาหาร ฟืน และถ่านหิน เนื่องจากกองทัพเยอรมันได้เก็บเอาสิ่งของปัจจัยเหล่านี้ไว้สำหรับแจกจ่ายให้ทหารเยอรมันซึ่งอยู่ในโรงแรมที่ตนยึดครองอยู่<ref name="Wallace"/> การกระทำเหล่านี้ได้ทำให้ชาวอิตาลีต้องเผชิญกับอากาศที่หนาวอย่างทารุณและตกอยู่ในสภาพแทบจะไม่มีอาหารจะยังชีพเต็มที<ref>Wallace, 1979. Pp. 41-42</ref> ยิ่งกว่านั้นฝ่ายอำนาจรัฐเยอรมนียังได้เริ่มจับกุมผู้ชายชาวโรมที่ยังสามารถทำงานได้ไปบังคับใช้แรงงานเกณฑ์อีกด้วย<ref>Wallace, 1979. Pp. 45</ref> ถึงวันที่ [[4 มิถุนายน]] [[ค.ศ. 1944]] การยึดครองกรุงโรมโดยเยอรมนีจึงได้สิ้นสุดลงจากการล่าถอยของกองทัพเยอรมัน เนื่องจากกองทัพสัมพันธมิตรได้รุกคืบเข้ามา
 
[[ไฟล์:Cross mezzegra.jpg|thumb|ป้ายรูปกางเขนระบุตำแหน่งที่มุสโสลีนีถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าที่[[เมซเซกรา]] ประเทศอิตาลี]]