ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จักรพรรดิเหลียงอู่"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 11:
พระเจ้าเหลียงอู่ทรงเป็นฮ่องเต้ที่มีศรัทธาปสาทะในพระบวรพุทธศาสนามากที่สุดองค์หนึ่งของจีน ทรงรับศีลฆราวาสตลอดพระชนม์ชีพ มีพระบรมราชโองการสั่งห้ามการทำปาณาติบาต เข่นฆ่าชีสิตสัตว์สังเวยบรรพชน แม้พระองค์เองก็ยังประกอบพระราชพิธีสังเวยบูรพชนด้วยอาหารมังสวิรัต และยกเว้นโทษประหารชีวิต จนได้รับการถวายพระนามเป็น "ฮ่องเต้โพธิสัตว์"
ทั้งยังมีพระสมัญญานามว่า "พระเจ้าอโศกแห่งแผ่นดินจีน" เนื่องจากทรงปวารณาพระองค์ตามจริยาของพระเจ้าอโสกมหาราช บำรุงพระศาสนา ประกาศพระสัทธรรม และถือศีลมีเมตตาต่อสรรพสัตว์ พระองค์ทรงโปรดการปฏิบัติตามจริยาของพระเจ้าอโศก ที่
นอกจากนี้ ยังมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับพระราชกิจในด้านศาสนาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การที่พระองค์ทรงผนวชเป็นพระภิกษุถึง 3 ครั้ง จนข้าราชสำนักต้องนำทรัพย์สินไปไถ่พระองค์ให้ลาผนวชมากมาย นัยว่าเป็นอุบายในการถวายพระราชทรัพย์แก่ศาสนจักร
พระองค์ยังทรงนิยมสนนทนาธรรม ศึกษาพระสูตร เล่ากันว่า ทรงพบกับ[[พระโพธิธรรม]] (ตั๊กม๊อ) พระสังฆนายกองค์แรกแห่งนิกายฉาน (เซ็น) เมื่อท่านจาริกถึงเมืองจีนใหม่ๆ แต่ฮ่องเต้มิเข้าใจปริศนาธรรม จึงเมินเฉยพระเถระเจ้า กว่าจะทราบความสำคัญพระโพธิธรรมก็เดินทางไปวัดเส้าหลิน เพื่อประกาศธรรมนิกายฉานที่นั่น เรื่องราวตอนนี้
''วันหนึ่งเมื่อข้าหลวงอุ๋ยได้ถวายภัตตาหารเจแด่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแล้ว ข้าหลวงอุ๋ยได้กราบเรียนถามพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงว่า''
บรรทัด 40:
ตำนานเล่าว่า พระมเหสีจีฮุย (郗徽) ของพระเจ้าหลียงอู่ ทรงมีอุปนิสัยริษยาอาฆาตแค้น เมื่อสิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษา 30 ปี ก็เกิดใหม่กลายเป็นอสรพิษใหญ่ตามผลกรรมที่ถูกโทสะครอบงำนั้น ต่อมาพระนางไปแจ้งเหตุแก่พระสวามีในพระสุบิน ครั้งฮ่องแต้ทรงทราบจึงทรงปรึกษากับ[[พระเถระเป่าจื้อ]] (寶誌)พระเถระจึงเชิญพระสงฆ์ผู้มีคุณวิเศษมา แล้วร่วมกับองค์ฮ่องเต้ รจนาบทสวดขอขมากรรมเหลียงหวงเป่าชั่นจำนวน 10 บทขึ้น
หลังจากประกอบพิธีสวดบทขอขมากรรม แล้วพระมเหสีทรง
ทุกวันนี้ พระอารามจีนนิกายก็ยังสวดบทขอขมากรรม เหลียงหวงเป่าชั่น กันอยุ่ในวันสารทจีน และวันเช็งเม้ง
|