“ซานลูซิโอ”เลอูโช”<ref>UNESCO: 18th-Century Royal Palace at Caserta with the Park, the Aqueduct of Vanvitelli, and the San Leucio Complex[http://whc.unesco.org/en/list/549 ]</ref> ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น[[มรดกโลก]]โดยองค์การ[[ยูเนสโก]]ในปี ค.ศ. 1997
== ประวัติ ==
ในปี ค.ศ. 1750 [[พระเจ้าคาร์ลที่ 3 แห่งสเปน|พระเจ้าคาร์ลที่ 7 แห่งเนเปิลส์]]มีพระบรมราชโองการในมนตรีแบร์นาร์โด ทาตานุชชิชีเลือกที่ตั้งที่เดิมเป็นเรือนล่าสัตว์สสำหรับตระกูลอควาวิวาอากวาวีวา สำหรับการก่อสร้างสถานที่สำหรับการทดลองทางสังคมและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นโครงการผสมระหว่างการสร้างประชาคมที่สนองทั้งความต้องการทางด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และความต้องการทางสังคม ในระยะแรกซานลูซิโอเลอูโชเป็นสถานที่สำหรับการพักผ่อนจากการหาความสำราญในการล่าสัตว์ที่สร้างบนซากวัดซานลูซิโอที่เลอูโชที่[[สะพานส่งน้ำวานวิเทลลิวันวีเตลลี|สะพานส่งน้ำ]]นำน้ำจากน้ำตกไปยัง[[พระราชวังคาเซอร์ตากาแซร์ตา]]ที่ออกแบบโดย สถาปนิก[[Luigi Vanvitelli|ลุยจิจี วานวิเทลลิวันวีเตลลี]] พระราชโอรสองค์ที่สามในพระเจ้าคาร์ล [[Ferdinand I of the Two Sicilies|พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 4 แห่งเนเปิลส์]]ทรงสร้างตำหนักล่าสัตว์ส่วนพระองค์ ณ ที่นั้น พระองค์ทรงเป็นนักล่าสัตว์ผู้มีความสามารถและไม่โปรดชีวิตอันหรูหราในราชสำนัก ซานลูซิโอเลอูโชจึงได้รับการเลือกโดยพระเจ้าคาร์ลและพระราชโอรสทรงสร้างโรงงานไหม กลุ่มสิ่งก่อสร้างกลายมาเป็นสถานที่สำหรับผลิตไหมซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างประเภทที่ล้ำยุคของคริสต์ศตวรรษที่ 18 สถาปนิกฟรานเชสโค โคลเลชินีเป็นผู้ออกแบบโรงงานอุตสาหกรรม ที่กี่ที่ส่งเสียงดังติดตั้งเคียงข้างกับห้องชุดที่ประทับและห้องนั่งเล่นกลายเป็นชาเปลสำหรับคนงาน
จากนั้นก็ได้มีการสร้างหมู่บ้านสำหรับคนงานที่ขยายตัวจนกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรม ที่ในปี ค.ศ. 1789 กลายเป็น "Real Colonia dei Setaioli" ("ราชอาณานิคมช่างทอไหม") พระเจ้าเฟอร์ดินานด์มีพระราชประสงค์ที่จะทำการขยายให้ใหญ่โตขึ้นเป็นเมืองใหญ่ที่เรียกว่า "[[Ferdinandopoli|เฟอร์ดินานแฟร์ดีนันโดโพโปลี]]" แต่ต้องมาหยุดยั้งลงเนื่องมาจากการรุกรานของฝรั่งเศส