ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ทอกอนโทโมร์ ข่าน"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
NewFrontierHistoryThai (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
NewFrontierHistoryThai (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 13:
พระจักรพรรดิโทคนเตมือร์ขึ้นครองราชสมบัติด้วยพระชนมายุเพียงสิบสามพระชันษา จึงจำต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนคือไทเฮาพูดาชีรีและเอลเตมือร์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนเอลเตมือร์มีอำนาจมากมายล้นฟ้า จักรพรรดิโทคนเตมือร์ทรงอภิเษกกับพระจักรพรรดินีทานาชีรี (Danashiri) ซึ่งเป็นธิดาของเอลเตมือร์ และเนื่องจากจักรพรรดิยังทรงไม่มีพระโอรส เอลเตมือร์จึงพลักดันให้พระจักรพรรดิโทคนเตมือร์ทรงแต่งตั้งเจ้าชายเอลเตกูส พระโอรสของพระจักรพรรดิเหวินจงทูคเตมือร์ เป็น''ไท่จื่อ''หรือเจ้าชายรัชทายาท ในปีต่อมา[[ค.ศ. 1333]] เอลเตมือร์ถึงแก่อสัญกรรม อำนาจจึงถูกถ่ายทอดให้แก่ทังกีช (Tangkish) ผู้เป็นบุตรชาย ใน[[ค.ศ. 1335]] ทังกีชก่อการกบฎหมายจะยึดราชบัลลังก์มาให้แก่เจ้าชายรัชทายาทเอลเตกูส แต่ขุนพลบายันแห่งเมอร์กิตได้ให้การสนับสนุนจักรพรรดิโทคนเตมือร์และยกทัพเจ้าปราบกบฎของทังกีชได้สำเร็จ ทังกีชถูกประหารชีวิตและจักรพรรดินีทานาชีรีถูกปลดจากตำแหน่งและเนรเทศ ต่อมาภายหลังบายันแห่งเมอร์กิตได้ส่งคนไปลอบวางยาพิษปลงพระชนม์อดีตพระจักรพรรดินีทานาชีรีสิ้นพระชนม์
 
ผลงานการปราบกบฏของทังกีชในค.ศ. 1335 โดยขุนพลบายันแห่งเมอร์กิต ทำให้บายันขึ้นมามีอำนาจสูงสุดในราชสำนักหยวน ช่วงเวลาแห่งการปกครองของบายันนั้นเป็นช่วงเวลาแห่งการกดขี่สำหรับชาวจีน ด้วยเหตุที่บายันมีความเห็นว่าราชสำนักหยวนในขณะนั้นถูกอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนเข้าครอบงำและกำลังจะสูญเสียวิถีชีวิตอย่างชาวมองโกลไป บายันแห่งเมอร์กิตจึงมีนโยบายลดบทบาทของวัฒนธรรมจีนลง โดยการยกเลิกการสอบ[[จอหงวน]] (ซึ่งได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาในสมัยของ[[จักรพรรดิหยวนเหรินจง]]) นโยบายแบ่งแยกชนชาติระหว่างชาวมองโกลและชาวจีน โดยการห้ามชาวจีนเรียนรู้ภาษามองโกล และห้ามชาวมองโกลเรียนรู้ภาษาจีน จนถึงขั้นมีการเสนอให้สังหารชาวจีนห้าแซ่ ได้แก่ แซ่จาง แซ่หวัง แซ่หลิว แซ่หลี่ และแซ่เจ้า ไปทั้งหมดเพื่อป้องกันการกบฎ แม้ว่านโยบายนี้จักรพรรดิโตคนเตมือร์จะทรงไม่เห็นด้วยก็ตาม [[ค.ศ. 1339]] บายันได้รับการแต่งตั้งเป็นอัครเสนาบดี มีอำนาจล้นฟ้าอีกเช่นกัน พระจักรพรรดิโตคนเตมือร์เกรงว่าบายันจะเป็นภัยต่อพระองค์เอง จึงทรงสมคบคิดกับ[[โทคโตคา]] (Toghtogha) ผู้เป็นหลานชายของบายัน ทำการยึดอำนาจมาจากบายันและสังหารบายันไปใน[[ค.ศ. 1340]]
 
===การปกครองของโทคโตคา===
เนื่องจากจักรพรรดิโตคนเตมือร์ทรงไม่ใส่พระทัยในกิจการบ้านเมืองเท่าใดนัก อำนาจการปกครองทั้งหลายจึงตกอยู่แก่โทคโตคา โทคโตคามีนโยบายที่ตรงข้างกับบายันแห่งเมอร์กิต คือมีนโยบายส่งเสริมวัฒนธรรมจีนโดยการรวบรวมหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวรรณกรรมจีน รวมทั้งหลักปรัชญา[[ขงจื้อ]]
 
ใน[[ค.ศ. 1340]] พระจักรพรรดิโตคนเตมือร์มีพระชนมายุมากเพียงพอที่จะว่าราชการได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีผู้สำเร็จราชการแทน จักรพรรดิโตคนเตมือร์จึงทรงเริ่มทำการแก้แค้นให้แก่พระบิดาคือจักรพรรดิหมิงจงกูซาลา โดยการปลดพระป้ายวิญญาณของจักรพรรดิเหวินจงทูคเตมือร์พระปิตุลาออกจากศาลบรรพกษัตริย์ ปลดไทเฮาพูดาชีรีออกจากตำแหน่งและเนรเทศออกจากพระราชวัง ซึ่งต่อมาไม่นานอดีตไทเฮาก็สิ้นพระชนม์ รวมทั้งปลดเจ้าชายเอลเตกูสออกจากตำแหน่งรัชทายาทและเนรเทศออกจากพระราชวังเช่นกัน ระหว่างที่เสด็จเนรเทศออกไปนั้นพระจักรพรรดิก็ทรงส่งคนไปทำการปลงพระชนม์อดีตเจ้าชายรัชทายาทเอลเทกูสสิ้นพระชนม์
 
เนื่องจากจักรพรรดิโตคนเตมือร์ทรงไม่ใส่พระทัยในกิจการบ้านเมืองเท่าใดนัก อำนาจการปกครองทั้งหลายจึงตกอยู่แก่โทคโตคา ใน[[ค.ศ. 1340]] เช่นกัน พระสนมชาวเกาหลีแซ่ตระกูลคี ซึ่งเป็นพระสนมองค์โปรด ได้ประสูติพระโอรสพระองค์แรก พระนามว่าเจ้าชายอายูร์ชีรีดาร์ (Ayurshiridar) ทำให้พระจักรพรรดิโตคนเตมือร์ทรงโปรดปรานพระสนมแซ่คีมากขึ้นไปอีก จนมีการแต่งตั้งให้พระสนมคีเป็น พระจักรพรรดินีเอิลเจย์คูตูค (Öljei Khutugh) หรือ [[จักรพรรดินีคี]] ([[ภาษาจีน]]: 奇皇后; [[ภาษาเกาหลี]]:기황후) แม้ว่าจักรพรรดิโตคนเตมือร์จะทรงมีจักรพรรดินีอยู่แล้วก็ตาม ทำให้ในขณะนั้นราชวงศ์หยวนจึงมีพระจักรพรรดินีพร้อมกันสองพระองค์
 
กลุ่มของชาวจีนผู้เลื่อมใสในลัทธิบัวขาวและมีแนวคิดต่อต้านการปกครองของชาวมองโกล รวมตัวกันขึ้นเป็นกบฏโพกผ้าแดง ([[ภาษาจีน]]: 紅巾軍 Hóngjīnjūn) ซึ่งปะทุขึ้นครองแรกที่เมืองอิงโจว ([[ภาษาจีน]]: Yingzhou) มีผู้นำได้แก่ ฮั่นหลินเอ๋อ ([[ภาษาจีน]]: 韓林兒 Han Lin'er) และหลิวฟุตง ([[ภาษาจีน]]: 劉福通 Liu Futong) ใน[[ค.ศ. 1351]] จากนั้นกบฏโพกผ้าแดงจึงขยายตัวขึ้นมีชาวจีนเข้าร่วมมากมายตลอดจนทั้งภูมิภาคจีนตอนเหนือ โทคโตคาจึงนำกองทัพเข้าปราบกบฎในช่วง[[ค.ศ. 1352]]-[[ค.ศ. 1354]] ใช้เวลา่ถึงสามปีในการปราบกบฎโพกผ้าแดงจนหมดสิ้นไป แต่ยังคงหลงเหลือกลุ่มกบฎโพกผ้าแดงในทางตอนใต้ของจีนซึ่งคอยหาทางโจมตีนครต้าตูจากทางทะเลอยู่เสมอ
 
===การชิงบัลลังก์ของเจ้าชายอายูร์ชีรีดาร์===
[[ค.ศ. 1353]] พระจักรพรรดินีตระกูลคีได้ร่วมมือกับขุนนางมองโกลชื่อว่า ฮามา (Hama) ทำการโน้มน้าวให้พระจักรพรรดิโตคนเตมือร์ทรงแต่งตั้งเจ้าชายอายูร์ชีรีดาร์ให้เป็น''ไท่จื่อ''หรือเจ้าชายรัชทายาท แต่ถูกคัดค้านโดยอัครเสนาบดีโทคโตคา ทำให้จักรพรรดินีคีทรงพิโรธและสมคบคิดกันกับฮามาสร้างข้อกล่าวหาการทุจริตฉ้อราชย์บังหลวงให้แก่โทคโตคา เป็นเหตุให้โทคโตคาูถูกปลดจากตำแหน่งอัครเสนาบดีและถูกเนรเทศไป[[มณฑลยูนนาน]]ใน[[ค.ศ. 1354]] และเจ้าชายอายูร์ชีรีดาร์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าชายรัชทายาทในที่สุด โดยมีฮามาเป็นผู้กุมอำนาจในราชสำนักหยวนคนใหม่ ฮามาวางแผนการก่อกบฎปลดพระจักรพรรดิโตคนเตมือร์และยกเจ้าชายรัชทายาทอายูร์ชีรีดาร์เป็นพระจักรพรรดิองค์ใหม่ใน[[ค.ศ. 1356]]แต่ไม่สำเร็จ ฮามาถึงถูกเนรเทศออกจากราชสำนักไปในที่สุด
 
ใน[[ค.ศ. 1364]] เจ้าชายรัชทายาทอายูร์ชีรีดาร์ทรงวางแผนก่อการกบฏล้มราชบัลลังก์ของพระบิดา แต่ทว่าโพลัดเตมือร์ (Bolad Temür) ขุนนางผู้จงรักภัคดีต่อพระจักรพรรดิโตคนเตมือร์ได้ยกทัพเข้าต่อต้านเจ้าชายรัชทายาทอายูร์ชีรีดาร์และยึดนครต้าตูไว้ เจ้าชายอายูร์ชีรีดาร์ทรงหลบหนีไปยัง[[มณฑลเหอหนาน]]เพื่อขอความช่วยเหลือจากขุนพลเคอเกเตมือร์ (Köke Temür) เคอเกเตมือร์ยกทัพเข้ายึดนครต้าตูคืนให้แก่เจ้าชายอายูร์ชีรีดาร์ จักรพรรดิโตคนเตมือร์ส่งคนไปทำการลอบสังหารโพลัดเตมือร์เป็นเหตุให้เคอเกเตมือร์มีชัยชนะเข้ายึดเมืองต้าตูได้ เจ้าชายอายูร์ชีรีดาร์ทรงบังคับให้จักรพรรดิโตคนเตมือร์พระบิดาสละราชบัลลังก์ ซึ่งจักรพรรดิโตคนเตมือร์ทรงไม่ยอมแต่มอบตำแหน่งทางทหารให้แก่พระโอรสจนเป็ฯที่พอพระทัยทั้งสองฝ่าย
 
===การสิ้นสุดของราชวงศ์หยวน===
ใน[[ค.ศ. 1368]] ขุนพลชาวจีนชื่อว่า จูหยวนจาง ([[ภาษาจีน]]: 朱元璋 Zhu Yuanzhang) ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของกลุ่มกบฎโพกผ้าแดงและรวบรวมดินแดนบริเวณลุ่มแม่น้ำแยงซีเข้ามาในอาณัตของตนแล้วนั้น ได้ทำการปราบดาภิเษกก่อตั้ง[[ราชวงศ์หมิง]] (Ming dynasty) ขึ้นที่เมืองนานกิงอันเป็นฐานที่มั่นของจูหยวนจาง โดยมีพระนามว่า พระจักรพรรดิหงหวู่ (Hongwu Emperor) จากนั้นในปีเดียวกันได้ยกทัพเข้ายึดนครต้าตูอันเป็นราชธานีของราชวงศ์หยวนได้สำเร็จ พระจักรพรรดิโตคนเตมือร์พร้อมด้วยพระโอรสเจ้าชายอายูร์ชีรีดาร์เสด็จหลบหนีไปยังเมืองซ่างตู ([[ภาษาจีน]]: 上都 Shangdu) ราชธานีฝ่ายเหนือของราชวงศ์หยวน ใน[[ค.ศ. 1370]] กองทัพราชวงศ์หมิงเข้ายึดเมืองซ่างตู ทำให้จักรพรรดิโตคนเตมือร์ต้องเสด็จหนีอีกครั้งพร้อมกับพระโอรสไปยังเมืองอิงชาง ([[ภาษาจีน]]: 應昌 Yingchang; อยู่ในเขต[[มองโกเลียใน]]ในปัจจุบัน) ซึ่งในปีนั้นเองพระจักรพรรดิโตคนเตมือร์ประชวรสวรรคตที่เมืองอิงชาง พระชนมายุห้าสิบชันษา
 
ตลอด 37 ปีแห่งการครองราชย์ทรงได้รับการต่อต้านอย่างหนักจาก[[ชาวจีน]] เนื่องจากเศรษฐกิจของจีนในยุคนั้นตกต่ำอย่างหนัก และชาวจีนเห็นว่าชาว[[มองโกล]]เป็นชาวต่างชาติ ประกอบกับราชสำนักเริ่มอ่อนแอลง ชาวจีนจึงก่อการกบฏไปทั่ว
โดยเฉพาะ[[มณฑล]]ทางใต้
 
หลังจากที่พระจักรพรรดิโตคนเตมือร์สวรรคตได้ไม่นานในปีเดียวกันเมืองอิงชางก็ตกเป็นของราชวงศ์หมิง เจ้าชายอายูร์ชีรีดาร์พระโอรสเสด็จหนีไปยังเมือง[[คาราโครุม]] (Karakorum) ก่อตั้ง[[ราชวงศ์หยวนเหนือ]] พระจักรพรรดิหงหวู่ถวายพระนามแด่พระจักรพรรดิโตคนเตมือร์ว่า '''พระจักรพรรดิซุ่นตี้''' ([[ภาษาจีน]]: 順帝 Shundi) ในขณะที่ราชสำนักหยวนเหนือถวายพระนามว่า '''พระจักรพรรดิฮุ่ยจง'''
มีชาวนาผู้หนึ่งชื่อ[[จูหยวนจาง]] ก่อการกบฏและบุกเข้าไปยัง[[ต้าตู]] นครหลวงของ[[ราชวงศ์หยวน]] (หรือ[[ปักกิ่ง]]ในปัจจุบัน) ได้สำเร็จ จึงทำให้จักรพรรดิหยวนฮุ่ยจงพาเชื้อพระวงศ์หนีขึ้นเหนือไปตั้ง[[ราชวงศ์หยวนเหนือ]] ทำให้ราชวงศ์หยวนล่มสลายลง จูหยวนจางได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็น[[จักรพรรดิหมิงหงหวู่]] ปฐมจักรพรรดิแห่ง[[ราชวงศ์หมิง]]
 
จักรพรรดิหยวนฮุ่ยจง สวรรคตลงในอีก 2 ปีต่อมา เมื่อ พ.ศ. 1913 (ค.ศ. 1370) ขณะพระชนม์ได้ 50 พรรษา
 
==อ้างอิง==