ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ปฏิบัติการวัลคือเรอ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 21:
บุคคลหลักของแผนการ คือ พันเอกเคลาส์ เชงค์ ฟอน สเตาฟเฟนเบิร์ก ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติการจริงหลังจากการลอบสังหารฮิตเลอร์ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 พันเอกสเตาฟเฟนเบิร์กยังได้ปรับปรุงแผนการวาลคิรีเพิ่มเติม ตำแหน่งหัวหน้ากองเสนาธิการของกองกำลังสำรองทำให้เขาสามารถเข้าถึงตัวฮิตเลอร์ในการรายงานต่าง ๆ ได้ ในตอนแรก พันเอกเทรสคอว์และพันเอกสเตาฟเฟนเบิร์กได้พยายามเสาะหานายทหารคนอื่นๆ ที่สามารถเข้าถึงตัวฮิตเลอร์และสามารถลงมือลอบสังหารเขาได้ ซึ่งนายพล[[:en:Helmuth Stieff|เฮลมุธ สตีฟฟ์]] ผู้บัญชาการฝ่ายการจัดกำลังของกองบัญชาการทหารสูงสุด ก็ได้อาสาที่จะเป็นมือสังหารฮิตเลอร์ แต่ได้ถอนตัวออกไปในภายหลัง เทรสคอว์พยายามหลายครั้งที่จะได้รับบรรจุในกองบัญชาการใหญ่ของฮิตเลอร์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ท้ายที่สุด พันเอกสเตาฟเฟนเบิร์กจึงตัดสินใจที่จะลงมือเองในการปฏิบัติการลอบสังหารฮิตเลอร์และปฏิบัติการวาลคิรีไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นการลดโอกาสที่จะสำเร็จเป็นอย่างมาก หลังจากความพยายามสองครั้งไม่ประสบผล สเตาฟเฟนเบิร์กจึงแอบลอบวางระเบิดที่ห้องประชุมในกองบัญชาการสนาม "รังหมาป่า" ของฮิตเลอร์ (แคว้นปรัสเซียตะวันออก)ในวันที่ 20 กรกฎาคม เพื่อสังหารฮิตเลอร์ ส่วนตนเองก็รีบออกจาก "รังหมาป่า" บินกลับมาดำเนินการตามแผนการต่อในกรุงเบอร์ลิน อย่างไรก็ดี ฮิตเลอร์รอดชีวิตมาจากการลอบวางระเบิดดังกล่าวมาได้
 
หลังจากที่นายพลฟรอมม์รับรู้ว่าฮิตเลอร์ไม่ได้ถูกสังหารโดยการลอบวางระเบิด เขาจึงออกคำสั่งให้ประหารชีวิตนายพลออลบริชต์ หัวหน้าของเขา พันเอกอัลบรีชต์ ริทเทอร์ เมอร์ทซ์ ฟอน เควอร์นไฮม์ (หัวหน้านายทหารเสนาธิการของนายพลออลบริชต์) พันเอกฟอน สเตาฟเฟนเบิร์ก และนายทหารคนสนิท ร้อยโทเวอร์เนอร์ ฟอน เฮฟเทน (นายทหารคนสนิทของพันเอกสเตาฟเฟนเบิร์ก)ผู้ที่ถูกตัดสินประหารชีวิตทั้งหมดถูกนำตัวไปยิงทิ้งภายในลานของกองบัญชาการใหญ่[[:en:Bendlerblock|เบนด์เลอร์บล็อก]]<ref>Rupert Butler, The Gestapo: A History of Hitler's Secret Police 1933-45. London: Amber Books Ltd. 2004. pg. 149.</ref> ไม่นานหลังจากเที่ยงคืน วันที่ 21 กรกฎาคม 1944
 
อย่างไรก็ตาม หลังการสั่งประหารผู้สมคบก่อการในปฏิบัติการวาลคิรีแล้ว ต่อมา ตัวนายพลฟรอมม์เองก็ไม่สามารถรอดพ้นไปจากชะตากรรมเดียวกันได้ เขาถูกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคนาซี กล่าวหาว่า จงใจเร่งสั่งประหารชีวิตผู้ร่วมก่อการพยายามรัฐประหารดังกล่าว (แทนที่จะเก็บตัวไว้ก่อนเพื่อไต่สวนต่อไป) เพื่อปิดปากมิให้มีการให้การพาดพิงมาถึงตัวนายพลฟรอมม์เองว่าเคยมีส่วนรู้เห็นในแผนการดังกล่าวด้วย นายพลฟรอมม์ถูกสอบสวน ถูกถอดยศ และถูกประหารชีวิตในวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1945 ที่บรันเดนบูร์ก จากความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดร้ายแรงและล้มเหลวในการรายงานผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับความพยายามก่อรัฐประหาร แม้ทางการนาซีเยอรมันจะไม่สามารถหาหลักฐานที่ชัดเจนว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับปฏิบัติการวาลคิรีก็ตาม
 
== อ้างอิง ==