ผลต่างระหว่างรุ่นของ "มัคส์ แอ็นสท์"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม) ล ลบลิงก์ที่ซ้ำซ้อน wikidata |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 1:
{{ใช้ปีคศ}}
{{กล่องข้อมูล ชีวประวัติ 2
| name =
| image = Max Ernst.jpg
| alt =
| caption =
| birth_date = [[2 เมษายน]] [[ค.ศ. 1891]]
| birth_place =
| death_date =
| death_place =
บรรทัด 14:
|right|}}
'''มักซ์ แอนสท์''' ({{lang-de|Max Ernst}}) เกิดเมื่อวันที่ 2 เมษายน ปี ค.ศ. 1891 ณ เมืองบรูล ประเทศ[[เยอรมนี]]
== ประวัติ ==
▲'''แมกซ์ แอร์นส์ท''' ({{lang-en|Max Ernst}}) เกิดเมื่อวันที่ 2 เมษายน ปี ค.ศ. 1891 ณ เมืองบรูห์ล ประเทศ[[เยอรมนี]] พ่อของเขาชื่อฟิลลิป์ แอร์นส์ท(Philips Ernst) ได้ปลูกฝังให้เขามีใจรักศิลปะ แอร์นส์ท ได้เข้าศึกษาชั้นสูงสุดที่มหาวิทยาลัยบอนน์ สาขาวิชาปรัชญา เขามีความสนใจในวิชาปรัชญาของกวีนอกรีต ทำให้ในช่วงวัยหนุ่มเขาค่อนข้างสับสน จนเกือบบั้นปลายชีวิตที่เขาหันมาทำศิลปะอย่างจริงจัง แอร์นส์ทค้นพบความจริงเกี่ยวกับกระบวนการสร้างงานอย่างไร้ขอบเขต จากการสร้างงานด้วยเทคนิคอัตโนมัต ในปี ค.ศ. 1925 ซึ่งเป็นกระบวนการที่แสดงออกของจิตไร้สำนึก จากเทคนิคการทำภาพพิมพ์ถู (Frottage) ผสมกับการระบายสี ปี ค.ศ. 1919 แอร์นส์ทได้เข้ารวมกลุ่มกับพวกจิตรกรและกวีดาดา จนกลายเป็นคนสำคัญระดับผู้นำของกลุ่มด้วยการเสนอแนวความคิด การต่อต้านขั้นพื้นฐานทางสายตาสัมผัส และสร้างผลงานภาพปะติดจนเป็นที่ยอมรับ ปี ค.ศ. 1921 หลังจากกลุ่มดาดาสลายตัวไป แอร์นส์ทได้ตั้งกลุ่มกับศิลปินคนอื่นๆ ด้วยการก่อตั้งกลุ่ม [[เซอร์เรียลลิซึม]](surrealism)เพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริง การนำเรื่องจิตวิเคราะห์ของ [[ฟรอยด์]](Sigmund Freud)มานำเป็นแนวทางในการแสวงหาการทำงานด้านศิลปะจนค้นพบเทคนิคฟรอททาจ (ในปี ค.ศ. 1925) และได้พัฒนามาเป็นลักษณะเฉพาะตัว ปี ค.ศ. 1939 เกิดสงครามโลก แอร์นส์ทถูกจับเป็นเชลยในฐานะที่เป็นชาวเยอรมันซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับฝรั่งเศส ความยากลำบากไม่ได้ทำให้เขาละทิ้งงานเขียนภาพ เขาได้วาดภาพชุด The Robbing of Bride ในปี ค.ศ. 1939-1940 เป็นภาพจินตนาการที่ยิ่งใหญ่ การที่แอร์นส์ทได้เข้ามาเป็นสามาชิกของกลุ่ม[[ดาดา]] ซึ่งต่อมาเป็นกลุ่มเซอร์เรียลิสม์นั้นเขาได้นำเอาความคิดแนวทางการลดทอนอย่างง่ายๆ มาใช้ นำมาซึ่งชิ้นส่วนแบบเขาวงกต มันเหมือนกับการสร้างสรรค์ละครที่ต้องอดทนทุกฉากทุกตอน เป็นแบบความฝันที่มหัศจรรย์ เป็นการค้นพบสิ่งที่แปลกใหม่ รวมทั้ง แอร์นส์ทได้เสนอคำศัพท์ที่เกี่ยวกับเทคนิควิธีการสร้างงานของเขาอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นผลงานด้านกวีนิพนธ์หรือผลงานศิลปะ สำหรับแอร์นส์ทแล้ว กวีและงานศิลปะเขาถือว่าเป็นสิ่งเดียวกัน แอร์นส์ทเปรียบเทียบการค้นคว้าทางด้านวรรณกรรมกับงานใต้น้ำของนักประดาน้ำ “คำว่ามหาสมุทร ฟังดูแล้วน่าจะล้อมรอบด้วยยอดภูเขาที่ผุดขึ้นมา เพื่อชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่มีอยู่ล้อมรอบสิ่งต่างๆ บรรดาวัตถุที่นักประดาน้ำสามารถนำขึ้นมาบนผิวน้ำ คงเป็นเพียงวัตถุธาตุซึ่งดูเหมือนเป็นความจริงที่ถูกค้นพบ การดำน้ำคือแอตแลนติกที่ยังไม่ตายถูกโรยไว้ด้วยภูเขาไฟ เรือโนอาห์เป็นเพียงพาหนะที่จะนำผู้โดยสารไปสู่จุดมุ่งหมายเท่านั้น ความสำคัญของนัยไม่ได้อยู่ที่การค้นพบอะไร แต่สิ่งที่อยู่และดำเนินไป การแสวงหา การตั้งโจทย์ปัญหา และการหาคำตอบ การคาดหวังด้วยจินตนาการถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ถูกค้นพบ เป็นเรื่องน่าสนใจมากกว่า” เซอร์เรียลิสม์ถือว่าการใช้จินตนาการสร้างผลงานจิตรกรรมมีจุดหมายเดียวกับกวีนิพนธ์ คือทำให้มนุษย์รู้จักโลก เป็นอิสระจากข้อจำกัดของความจริงภายนอก ด้วยมโนภาพของตัวตนภายในและเปลี่ยนชีวิตได้ การให้ความสำคัญกับคุณค่าของชีวิตที่อยู่ในโลกแห่งความฝันที่กลุ่ม เซอร์เรียลิสม์ได้สร้างสรรค์ขึ้นมา อยู่ในความคิดฝันจินตนาการของแต่ละคน ดังเช่น ประวัติผลงานที่แอร์นส์ทได้ถ่ายทอดแนวความคิดไว้มากมาย เสมือนหนึ่งเป็นบทประพันธ์แห่งความจริงจากชีวิตเขา
▲==กรอบแนวความคิดและผลงานของแมกซ์ แอร์นส์ท==
ที่มาของแนวความคิดและผลงานทางด้านศิลปะของ
นอกจากงานด้านจิตรกรรมแล้ว
เทคนิคการสร้างภาพพิมพ์ถูของ
==ผลงานของ
[[ไฟล์:Immortality,1913-1914.jpg|thumbnail|'''Immortality''',1913-1914. Oil on Wood, 46 x 31 cm.]]
===1. การบรรลุสิ่งที่ห่างไกลเหนืองานจิตรกรรม (Reaching Beyond Painting) ,1915-1922===
จิตรกรรมเกี่ยวกับรูปร่างคนหรือสัตว์ในระยะแรกๆ ของเขามีลักษณะใหญ่โตประชดประชันเป็นสิ่งที่ล้ำยุคที่ศิลปินคนอื่นยังไม่ได้ทำขึ้นในช่วงขณะนั้น เป็นการถ่ายทอดรูปแบบที่มีลักษณะทวิรูปคือการใช้รูปแบบของสิ่งสองสิ่งที่ต่างกันมาไว้ด้วยกัน และจากการต่อต้านศิลปะตามแบบอย่างฟิวเจอริสม์รวมถึงคิวบิสม์ที่นิยมในขณะนั้น
ในปี ค.ศ.1919 งานเทคนิคผสมได้ถูกนำมารวมกับงานพิมพ์เพื่อการค้า การพิมพ์ถูแล้วระบายสีเคลือบทับ(Over painting ) ของภาพประกอบในวัสดุสิ่งพิมพ์และงานภาพปะติดได้เข้ามาแทนทีการใช้พู่กัน ปากกา หรือดินสอ วิธีนี้ถือเป็นการท้าทายในเชิงทำลายที่ต่างจากมาตรฐานศิลปะในสมัยนั้น
===2. ประสบการณ์จากยุคดาดาและภาพปะติด (Fruit of a Long Experience Dada),1919-1922===
ผลงานศิลปะที่นำวัสดุและวิธีเสนอเป็นภาพปะติด โดยการตัดเฉพาะส่วนที่แตกต่างกัน สิ่งที่ขัดแย้งกันมารวมกัน ถือเป็นการต่อต้านความจริงขั้นพื้นฐานทางสายตา เพื่อสร้างสรรค์สู่โลกใหม่และหนีจากโลกความจริง โดยเฉพาะความจริงจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่นำมาซึ่งการทำลายล้างก่อเกิดเป็นสงคราม แนวคิดของ
===3. เซอร์เรียลิสม์มนุษย์ไม่ควรรู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้ (Surrealism Men Shall Know Nothing of this),1923-1924===
จากการตีความหลักจิตวิทยาวิเคราะห์ของฟรอยด์ ในความหมายที่เกี่ยวกับเนื้อหาความฝันที่เปิดเผย จุดประสงค์แห่งขีดความไร้สำนึกที่ปราศจากการควบคุม ถือเป็นแนวทางที่เด่นชัดของกลุ่มลัทธิเซอร์เรียลิสม์ โดยภาพวาดของ
===4. การพิมพ์ถูและประวัติธรรมชาติ (Frottage and History Natural),1925-1926===
เส้น 42 ⟶ 41:
===5. นก เจ้าสาว ป่า และดอกไม้ (Birds, Brides, Forests and History Natural),1927-1939===
จากเทคนิคภาพพิมพ์ถูโดยใช้กระดาษ
[[ไฟล์:The Scenery Changes Three Time.jpg|400*278px|thumbnail|The Scenery Changes Three Time]]
===6. นวนิยายภาพปะติดและการแผ่ขยาย (The Collage Novels and Loplop),1930-1936===
รูปแบบภาพตัดปะด้วยเทคนิคสื่อประสม(Mix Media) คือการเปลี่ยนจากภาพประกอบนิยายราคาถูกแกะสลักไม้ และเปลี่ยนมาเป็นพิมพ์แม่พิมพ์โลหะ เพื่อจะเอาชนะวิธีการแบบใหม่ของการคัดลอกงานด้วยวิธีการต่างๆ
===7. ทัศนียภาพโรแมนติก เมือง และป่า (The Romantic Vision : Cities and Jungles),1935-1938===
เทคนิคแกรททาจและฟรอททาจนั้นปรากฏเด่นชัดเจนมากขึ้นด้วยลักษณะของลวดลายต้นแบบจากเครื่องจักสานที่นำไปแทนความหมายของป้อมปราการเมืองหรือบ้านเรือนที่ปรักหักพังลง รกร้างเนิ่นนานจนเถาวัลย์แทรกขึ้นปะปนดูเป็นส่วนเดียวกัน ภาพมุมมองเกี่ยวกับป่านั้นมีลักษณะพืชพันธุ์ไม้กลายร่างเป็นคน หรืออาจโดยนัยตรงกันข้ามว่า คนกลายร่างเป็นต้นไม้ มันคือหน่วยเดียวกันที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะเป็นสัมพันธภาพระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม อีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นเมืองบนภูเขาให้ความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งที่หักพังของเมืองแห่งความฝัน
===8. ยุโรปหลังฝน (Europe after the Rain),1938-1942===
===9. ยุคแห่งการแสวงหาสู่ความเรียบง่าย (From the Age of Anxiety to the Childhood),1943-1976===
เส้น 60 ⟶ 59:
[[ไฟล์: Pieta or Revolution by Night, 1923.jpg|625*834px|thumbnail|Pieta or Revolution by Night, 1923. Oil on canvas, 89 x 116 cm. London, Tate Gallery]]
===Pieta or Revolution by Night, 1923. Oil on canvas, 89 x 116 cm. London, Tate Gallery===
ภาพนี้เป็นผลงานชิ้นเยี่ยมของ
เส้น 73 ⟶ 72:
===Spring in Paris, 1950. Oil on canvas, 116 x 89 cm. Wallraf-Richartz===
ภาพนี้ใช้เทคนิคเฉพาะตัวของเขาคือการระบายปาดเกลี่ยสีจากรอยแปรง และการใช้เทคนิคแบบผสมผสานให้เกิดเป็นรูปร่าง ภาพฤดูใบไม้ผลิในปารีส ดูเหมือนเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มความเป็นจริงต่อรูปแบบนามธรรม และการทำให้ผิดรูปผิดส่วน ซึ่งพบว่าเป็นลักษณะเฉพาะที่มีในงานของ
รูปร่างของคนมีความอ่อนโยนนุ่มนวลด้วยการใช้เส้นโค้ง มีรูปแบบค่อนไปทางแนวนามธรรม แต่ยังคงไว้ซึ่งความเข้าใจที่สื่อถึงรูปคน ใบหน้าคนถูกซ่อนอยู่ช่วงกลางลำตัวคน และขนาดที่เล็กลงช่วงกรอบพื้นสีฟ้า ด้านบนซ้ายมือของภาพมีการโยงเส้นสีดำหลายเส้นระหว่างรูแหน้ากากและส่วนหัวของรูปคนอาจมองดูเหมือนคนยืนอยู่ในห้องตรงช่องกรอบของหน้าต่าง มองออกไปเห็นท้องฟ้า เป็นการขัดแย้งกันระหว่างรูปร่างรูปทรงของคนที่ประกอบกันขึ้นมาด้วยเส้นโค้งและตารางกรอบสี่เหลี่ยมของพื้นภาพ สามารถเกิดคำถามขึ้นในใจของผู้ชมว่ารูปนั้นเป็นรูปคนหรือไม่ เพราะรูปทรงนั้นเหมือนมีชีวิต การใช้หลักการลด การตัดทอน ให้คงเหลือเฉพาะส่วนที่จำเป็น เพื่อเน้นความรู้สึกและความหมายของภาพ เป็นการใช้สื่อจากธรรมชาติแล้วพัฒนารูปร่างรูปทรงให้เป็นแบบนามธรรม
===บรรณานุกรม===
*
*Bischoff, Urich.(1991). '''Max Ernst. Germany''': Benedikt Taschen.
|