ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เรือบรรทุกอากาศยาน"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Elite501st (คุย | ส่วนร่วม)
Elite501st (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 17:
การพัฒนาเรือดาดฟ้าเรียบทำให้เกิดเรือขนาดใหญ่ลำแรกๆ ขึ้น ในปีพ.ศ. 2461 เรือ[[เอชเอ็มเอส อาร์กัส (ไอ49)|เอชเอ็มเอส ''อาร์กัส'']]ได้กลายเป็นเรือบรรทุกอากาศยานลำแรกของโลกที่สามารถนำเครื่องบินขึ้นและลงจอดได้<ref>Geoffrey Till, "Adopting the Aircraft Carrier: The British, Japanese, and American Case Studies" in {{cite book |title= Military Innovation in the Interwar Period|edition=|editor1-first= Williamson|editor1-last= Murray|editor2-first= Allan R|editor2-last= Millet |year= 1996|publisher=Cambridge University Press|location= New York|isbn= 0-521-63760-0|page= 194}}</ref> เมื่อถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 2463 การปฏิวัติเรือบรรทุกแบบต่างๆ ก็เป็นไปได้ด้วยดี ส่งผลให้เกิดเรืออย่าง [[เรือบรรทุกอากาศยานเฮาเชา|เรือเฮาเชา]] (พ.ศ. 2465) [[เอชเอ็มเอส เฮอร์เมส (95)|เอชเอ็มเอส เฮอร์เมส]] (พ.ศ. 2467) และ[[เรือบรรทุกอากาศยานเบียน|เรือเบียน]] (พ.ศ. 2470) เรอืบรรทุกอากาศยานลำแรกๆ นั้นเป็นเรือที่ดัดแปลงมาจากเรือหลายแบบ เช่น เรือบรรทุก เรือลาดตระเวน เรือลาดตระเวนประจัญบาน หรือเรือประจัญบาน [[สนธิสัญญาวอชิงตัน]]ในปีพ.ศ. 2465 มีผลต่อการสร้างเรือบรรทุก สหรัฐและราชอาณาจักรได้รับอนุญาตให้สร้างเรือบรรทุกที่มีขนาดใหญ่ได้ถึง 135,000 ตัน ในขณะที่บางกรณีที่มีข้อยกเว้นให้สามารถดัดแปลงเรือหลักขนาดใหญ่กว่าให้เป็นเรือบรรทุกได้ เช่น [[เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นเลกซิงตัน]] (พ.ศ. 2470)
 
[[ไฟล์:Attack on carrier USS Franklin 19 March 1945.jpg|thumb|left|การเข้าโจมตีเรือ[[ยูเอสเอส แฟรงคลิน (ซีวี-13)|[[ยูเอสเอส แฟรงคลิน]]เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2488 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 742 คน]]
 
ในช่วงทศวรรษที่ 2456 กองทัพเรือมากมายเริ่มสั่งซื้อและสร้างเรือบรรทุกอากาศยานที่ทำการออกแบบเป็นพิเศษ นี่ทำให้การออกแบบนั้นตอบรับกับบทบาทในอนาคตและทำให้เกิดเรือที่ทรงอานุภาพ ใน[[สงครามโลกครั้งที่ 2]] เรือเหล่านี้ได้กลายมาเป็นกำลังสำคัญของกองเรือสหรัฐ อังกฤษ และญี่ปุ่น โดยเรียกเรือเหล่านี้ว่า [[กองเรือบรรทุกอากาศยาน]]
 
เรือบรรทุกอากาศยานถูกใช้อย่างหนักในสงครามโลกครั้งที่สองและมีแบบที่หลากหลายตามมา [[เรือบรรทุกอากาศยานคุ้มกัน]] เช่น [[ยูเอสเอส โบก (ซีวีอี-9)|ยูเอสเอส โบก]]ถูกสร้างขึ้นแต่ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าเรือบางลำจะถูกสร้างมาเพื่อจุดประสงค์นั้นๆ แต่เรือส่วนมากเป็นเรือดัดแปลงจากเรือสินค้าเพราะว่าเป็นเรือที่มีระยะหยุดเหมาะที่จะให้การสนับสนุนทางอากาศแก่ขบวนเรือและการรุกสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก [[เรือบรรทุกอากาศยานขนาดเบา]]ที่สร้างขึ้นโดยสหรัฐ เช่น [[ยูเอสเอส อินดีเพนเดนซ์ (ซีวีแอล-22)|ยูเอสเอส อินดีเพนเดนซ์]]เป็นเรือที่นำแนวคิดเรือบรรทุกอากาศยานคุ้มกันมาทำเป็นเรือที่ใหญ่ขึ้นและมีศักยภาพทางทหารมากขึ้น แม้ว่าเรือบรรทุกขนาดเบามักจะบรรทุกกองบินที่มีขนาดเท่ากับกองบินบนเรือบรรทุกคุ้มกัน แต่เรือบรทุกขนาดเบามีความได้เปรียบด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเพราะเรือเหล่านี้ถูกดัดแปลงมาจากเรือครุยเซอร์
 
[[File:Minas Gerais DN-ST-90-01327.jpg|thumb|[[เรือบรรทุกอากาศยานมินาส เกเรียส]]ของบราซิลในปีพ.ศ. 2527]]
 
ไฟสงครามทำให้เกิดการสร้างเรือและการดัดแปลงเรือที่ไม่ได้ทำตามแบบปกติ เรือแคม (''CAM'') เช่น เรือ[[เอสเอส ไมเคิล อี]] เป็นเรือบรรทุกสินค้าที่สามารถส่งเครื่องบินขึ้นฟ้าด้วยเครื่องดีด แต่ไม่สามารถรับเครื่องบินลงจอดได้ เรือเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในภาวะฉุกเฉินในสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นเดียวกับ[[เรือพาณิชย์บรรทุกอากาศยาน]] เช่น เรือ[[เอ็มวี เอ็มไพร์ แมคอัลไพน์]] [[เรือดำน้ำบรรทุกอากาศยาน]] เช่น [[เรือดำน้ำบรรทุกอากาศยานเซอร์คูฟ]]ของฝรั่งเศส และ[[เรือดำน้ำชั้นไอ-400]] ของญี่ปุ่นที่สามารถบรรทุกเครื่องบิน[[ไอชิ เอ็ม6เอ]]ได้สามลำ ซึ่งถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในทศวรรษที่ 2463 แต่ไม่ประสบความสำเร็จนักในสงครามโลกครั้งที่ 1
 
[[File:USS Tripoli LPH10 a.jpg|thumb|เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ชั้นอิโวจิมา''ทริโปลี''ของสหรัฐ]]
 
กองทัพเรือสมัยใหม่ที่ใช้เรือแบบดังกล่าวจะใช้เรือบรรทุกอากาศยานเป็นเรือหลักของกองเรือ ซึ่งเดิมที่เป็นหน้าที่ของ[[เรือประจัญบาน]] ในขณะที่บางคนจดจำการที่เรือเหล่านี้เป็นเรือหลักดำน้ำพร้อมขีปนาวุธ แต่ที่จดจำกันได้มากคืออำนาจการยิงของเรือที่ใช้้เป็นเครื่องขัดขว้างนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ มากกว่าหน้าที่ของเรือเหล่านี้ในกองเรือ<ref>http://www.navy.mil/navydata/cno/n87/usw/issue_5/ntlsecurity.html</ref> การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อตอบสนองกับการที่อำนาจทางอากาศเริ่มมีบทบาทสำคัญในการเอาชนะศัตรู สิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือเครื่องบินพิสัยไกล คล่องแคล่ว และมีประสิทธิภาพ ปฏิบัติการเรือบรรทุกเครื่องบินยังคงดำเนินต่อไปภายหลังสงครามทั้งในด้านขนาดและความสำคัญ [[เรือบรรทุกอากาศยานขนาดหนัก]]ที่มีระวางขับน้ำ 75,000 ตันหรือมากกว่านั้น ได้กลายมาเป็นจุดสุดยอดของการพัฒนา บางลำใช้[[เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์]]เป็นแหล่งพลังงานและเป็นแกนหลักของกองเรือที่ทำหน้าที่ระยะไกล เรือจู่โจมสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก เช่น [[ยูเอสเอส ทาราวา (แอลเอชเอ-1)|ยูเอสเอส ทาราวา]]และ[[เอชเอ็มเอส โอเชียน (แอล-12)|เอชเอ็มเอส โอเชียน]] มีหน้าที่บรรทุกและรับส่งนาวิกโยธินและยังใช้เฮลิคอปเตอร์จำนวนมากเพื่อทำปฏิบัติการดังกล่าว เรือเหล่านี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า"เรือบรรทุกเครื่องบินคอมมานโด"หรือ"เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์"ซึ่งมีบทบาทรองในการบรรทุกและใช้งานอากาศยานขึ้นลงในแนวดิ่ง
 
ด้วยสาเหตุที่เรือเหล่านี้ไม่มีอำนาจการยิงเท่าเรือแบบอื่น ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินตกเป็นเป้าของเรือ เครื่องบิน เรือดำน้ำ และขีปนาวุธของศัตรู ดังนั้นเรือบรรทุกอากาศยานจึงต้องร่วมเดินทางพร้อมกับเรือแบบอื่นๆ ในจำนวนมากเพื่อให้การป้องกัน ให้เสบียง และให้การสนับสนุนเชิงรุก โดยเรียกกองเรือแบบนี้ว่ากองยุทธการหรือกองเรือบรรทุกเครื่องบิน
 
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สนธิสัญญาอย่าง[[สนธิสัญญาวอชิงตัน]] [[สนธิสัญญาลอนดอน]] และ[[สนธิสัญญาลอนดอนครั้งที่ 2]] ได้จำกัดขนาดของเรือ เรือบรรทุกอากาศยานตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกสร้างอย่างไร้ข้อจำกัดโดยขึ้นอยู่กับงบประมาณและทำให้เรือสามารถบรรทุกเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้
 
== อ้างอิง ==