ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ)"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
BotKung (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาดบทความด้วยบอต
บรรทัด 4:
พระยาฤทธิอัคเนย์ มีชื่อเดิมว่า '''สละ เอมะศิริ''' เกิดเมื่อวันที่ [[14 มกราคม]] [[พ.ศ. 2432]] เป็นบุตรชายของพระยามนูสารศาสตรบัญชา (ศิริ เอมะศิริ) และ คุณหญิงเหลือบ เอมะศิริ
 
พระยาฤทธิอัคเนย์เป็นนาย[[ทหารปืนใหญ่]] ในช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีตำแหน่งเป็น ผู้บังคับการ[[กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์]] (ป. 1 รอ.) และถือเป็นผู้เดียวที่มีกองกำลังพลในบังคับบัญชา <ref>[http://www.maneebooks.com/German_capt/germ_02.html นักเรียนนายร้อยไทยในเยอรมัน ยุค ไกเซอร์ โดย [[สรศัลย์ แพ่งสภา]]]</ref> ใน[[สนธยา|เช้าตรู่]]ของวันที่ [[24 มิถุนายน]] พ.ศ. 2475 ที่เป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น พระยาฤทธิอัคเนย์ได้แสร้งทำเป็นเ้ดินเดินตรวจความเรียบร้อยของพาหนะต่าง ๆ ในสังกัดของตนเอง และเป็นผู้ออกคำสั่งให้ทหารปืนใหญ่ในบังคับบัญชาตนเองรวมพลกับ[[ทหารม้า]]จากกรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ (ม. 1 รอ.) เมื่อเดินทางมาถึง เพื่อต้อนขึ้น[[รถบรรทุก]]ไปยัง[[ลานพระบรมรูปทรงม้า]]เพื่อลวงเอากำลังมาเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตามแผนของพระยาทรงสุรเดช จึงทำให้แผนการ[[ปฏิวัติ]]สำเร็จลุล่วงด้วยดี
 
ึซึ่งก่อนหน้านั้น ในการประชุมวางแผน พระยาทรงสุรเดช ซึ่งเป็นเสนาธิการผู้วางแผนการปฏิวัติทั้งหมด ได้เสนอให้ใช้กำลังบุกจู่โจม[[พระที่นั่งอัมพรสถาน]]ในยามวิกาล อันเป็นที่ประทับของ[[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]] (รัชกาลที่ 7) เพื่อทำการควบคุมองค์ พระยาฤทธิ์อัคเนย์เห็นด้วยกับแผนการนี้ แต่ที่ประชุมส่วนใหญ่ โดย พระประศาสน์พิทยายุทธ ไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่าค่อนข้างเสี่ยงว่าจะมีการปะทะกันด้วยความรุนแรง แผนการนี้จึงตกไป<ref name="ทหารเรือปฏิวัติ">{{อ้างหนังสือ
บรรทัด 26:
ต่อมาเมื่อ จอมพล [[ป.พิบูลสงคราม]] ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในปี [[พ.ศ. 2482]] เกิดกรณี[[กบฏพระยาทรงสุรเดช]] ได้มีการกำจัดนักการเมืองและทหารฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม จอมพล ป. พระยาฤทธิอัคเนย์ ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการในคณะศาลพิเศษที่ถูกตั้งขึ้นมาพิจารณาในกรณีนี้ และได้ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี[[กรมราชทัณฑ์]]ด้วย แต่ต่อมา ก็ต้องลี้ภัยการเมืองไปพำนักอยู่ยังเมือง[[ปีนัง]] [[ประเทศมาเลเซีย]] ด้วย ร้อยเอก ชลอ เอมะศิริ หลานชายของตนเองเป็นผู้ถูกจับกุมด้วย ตัวของพระยาฤทธิอัคเนย์มีรางวัลนำจับจากทางรัฐบาลเป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท ซึ่งพระยาฤทธิอัคเนย์ก็ได้หลบภัยการเมืองจนสิ้นสุด[[สงครามโลกครั้งที่ 2]]
 
เมื่อ นาย[[ควง อภัยวงศ์]] ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากจอมพล ป. หลังสงคราม นายควงได้ออก[[พระราชบัญญัติ]]นิรโทษกรรมนักโทษการเมือง เมื่อปี [[พ.ศ. 2489]] พระยาฤทธิอัคเนย์จึงได้เดินทางกลับสู่ประเทศไทย และยังได้รับแต่งตั้งใ้ห้เป็นให้เป็น[[วุฒิสภาไทย|สมาชิกวุฒิสภา]] (ส.ว.) แทนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 อีกด้วย ในสมัยรัฐบาลที่ีมีที่มี พลเรือตรี [[ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์]] เป็นนายกรัฐมนตรีจากนั้นได้ปลีกตัวไปปฏิบัติธรรม ศึกษา[[พุทธศาสนา]] ที่[[วัดบางปิ้ง]] [[จังหวัดสมุทรปราการ]] โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวทางโลกและ[[การเมืองไทย|การเมือง]]ใด ๆ อีก จนกระทั่งถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคมะเร็งปอด เมื่อวันที่ [[23 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2509]] เวลา 02.55 น. ณ [[โรงพยาบาลศิริราช]] สิริอายุได้ 74 ปี
 
ด้านชีวิตครอบครัว พระยาฤทธิอัคเนย์[[สมรส]]กับคุณหญิงอิน ฤทธิอัคเนย์ เมื่อ [[พ.ศ. 2455]] มีบุตรธิดารวมทั้งสิ้น 7 คน