ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ฆาตกรหั่นศพแห่งคลีฟแลนด์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Robosorne (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Tiemianwusi (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 26:
== การฆ่า ==
 
จำนวนอย่างเป็นทางการสำหรับการฆ่าที่เชื่อว่าเป็นผลงานของฆาตกรหั่นศพแห่งคลีฟแลนด์นั้น คือ สิบสองครั้ง ผู้ตายทั้งสิบสองถูกฆ่าในระหว่าง ค.ศ. 1935 ถึง 1938 ทว่า งานวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ปรากฏว่าน่าจะเกิดขึ้นมากกว่านั้น พีเทอร์ แมริโล (Peter Merylo) หัวหน้าพนักงานสอบสวนแห่งเมืองคลีฟแลนด์ ว่า เมื่อประมวลคดีลักษณะเดียวกัน ที่เกิดในห้วงเวลาเดียวกัน คือ คริสต์ทศวรรษ 1920 ถึง 1950 และเกิดในละแวกเดียวกัน คือ เมืองคลีฟแลนด์ และ[[ยังส์ทาวน์]] (Youngstown) รัฐโอไฮโอ และเมือง[[พิตส์เบิร์ก]] (Pittsburgh) [[รัฐเพนซิลเวเนีย]] (Pennsylvania) แล้ว น่าเชื่อว่า ฆาตกรหั่นศพแห่งคลีฟแลนด์ฆ่าคนมาแล้วมากกว่าสี่สิบคน ในบรรดาผู้ตายทั้งหมด มีสองคนที่โดดเด่นที่สุด คือ ผู้ตายนิรนามที่เรียกว่า "นางทะเลสาบ”ทะเลสาบ" (Lady of the Lake) เพราะพบศพแถวทะเลสาบเมื่อวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1934 และรอเบิร์ต รอเบิร์ตสัน (Robert Robertson) ที่พบศพเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1950
 
ส่วนใหญ่ ศพของผู้ตายมักลอยน้ำมา และไม่อาจระบุเอกลักษณ์ได้จนบัดเดี๋ยวนี้ปัจจุบัน แต่ผู้ตายบางราย เช่น รายที่ 2, ที่ 3 และที่ 8 พิสูจน์เอกลักษณ์แล้วพบว่า คือ เอ็ดเวิร์ด แอนแดรสซี (Edward Andrassy), ฟลอเรนซ์ พอลิลโล (Florence Polillo) และน่าจะเป็น โรส วอลเลส (Rose Wallace) ตามลำดับ และผู้ตายเป็นทั้งชายและหญิง แต่ส่วนใหญ่ปรากฏว่าเป็นชาวเมืองคลีฟแลนด์ชั้นล่างซึ่งเป็นผู้รับผลกระทบใน[[ยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่]] (Great Depression) เขาเหล่านั้นชื่อว่าเป็น "คนยากผู้ใช้แรงงาน”แรงงาน" (working poor) ซึ่งไร้บ้าน และอาศัยอยู่ที่[[เมืองแออัด]] (shanty town) อันโกโรโกโสที่เรียกว่า "[[แฟลตคลีฟแลนด์]]" (Cleveland Flats)
 
ฆาตกรหั่นศพผู้นี้ตัดศีรษะผู้ตายทุกคน และมักชำแหละศพพวกเขา บางทีผ่าครึ่งลำตัว แม้ผู้ตายส่วนใหญ่แล้ว ผู้ตายจะตายเพราะถูกตัดศีรษะแล้วก็ตาม สำหรับผู้ตายที่เป็นชายแล้ว ยังถูกตอนอวัยวะเพศด้วย ศพบางศพก็ปรากฏหลักฐานว่ามีการใช้ยาเคมีใส่เข้าไป ศพทั้งหลายจะพบเมื่อเวลาผ่านไปยาวนานมากหลังการตายแล้ว บางทีเป็นปี บางทีนานกว่านั้น ส่งผลให้การพิสูจน์เอกลักษณ์แทบจะเหลือวิสัยเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อส่วนศีรษะหายไปด้วย
 
ในระยะเวลาที่มีการรายงานถึงการฆ่าหั่นศพอย่างเป็นทางการนั้น [[อีเลียต เนส]] (Eliot Ness) ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยความปลอดภัยสาธารณะแห่งคลีฟแลนด์ (Public Safety Director of Cleveland) อันเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่เหนือฝ่ายตำรวจ และฝ่ายช่วยเหลือประชาชน รวมถึง ฝ่ายดับเพลิง<ref>{{cite book|title = Eliot Ness: The Real Story|last = Heimel|first = Paul|publisher = [[Knox Books]]|origdate = 1997|isbn = 0-9655824-0-X|location = Coudersport, PA|format = paperback|accessdate=2010-01-18}}</ref> งานสืบสวนของอีเลียตนั้นไม่ประสบความสำเร็จ แม้ว่าเขาจะได้ชื่อเสียงมากในการดำเนินคดีแก่[[อัล คาโปน]] ก็ตาม อีเลียตดำรงตำแหน่งนั้นต่อไปกว่าสี่ปีหลังจากการฆ่าสงบลงแล้ว
 
== ผู้ตาย ==
 
นักวิจัยส่วนใหญ่เห็นว่า ผู้ตายที่แน่ชัดที่สุดมีสิบสองคน แม้ว่าปัจจุบันมีพยานหลักฐานใหม่ที่ยันว่า ที่แน่ชัดควรเป็นสิบสามคน รวมเอาหญิงนิรนามที่เรียกกันว่า "นางทะเลสาบ” (Lady of the Lake)ทะเลสาบ" เข้าไว้ด้วย ในบรรดาผู้ตายสิบสองคนดังกล่าวนี้ มีเพียงสองคนที่สามารถพิสูจน์เอกลักษณ์ได้ ที่เหลืออีกอีกสิบคน แบ่งเป็น ชายหกคน ซึ่งเรียก [[จอห์น โด|นาย ก ถึงนาย ฉ]] และเป็นหญิงอีกสี่คน ซึ่งเรียก [[จอห์น โด|นาง ช ถึงนาง ญ]]
 
{|class="wikitable sortable"
บรรทัด 159:
 
: '''†''' ผู้ตายคนนี้ มีรอยสักประหลาดหลายรอยอยู่บนร่างกาย รอยหนึ่งเป็นชื่อคน ว่า “เฮเลนกับพอล” (Helen and Paul) อีกรอยเป็นชื่อย่อ ว่า “ดับเบิลยู.ซี.จี.” (W.C.G.) กางเกงในที่สวมอยู่กับศพมีตราร้านซักรีด ระบุชื่อย่อของเจ้าของกางเกงในว่า “เจ.ดี.” (J.D.) มีชาวเมืองคลีฟแลนด์นับพันเข้าชมศพบรรจุโลงและหน้ากากศพซึ่งจัดแสดงที่ [[นิทรรศการเกรตเลกส์]] (Great Lakes Exposition) แต่ก็ไม่ช่วยพิสูจน์เอกลักษณ์ของผู้ตาย
: '''‡''' ผู้ตายคนนี้ เป็นไปได้ว่า คือ “โรส วอลเลส” (Rose Wallace) เจ้าพนักงานตำรวจตรวจพิสูจน์ฟันของผู้ตายแล้ว พบว่า มีโครงสร้างพันธุกรรมอย่างเดียวกับชายที่แสดงตัวและระบุว่าผู้ตายน่าจะเป็นมารดาของตน โชคร้ายที่พนักงานแพทย์ผู้ตรวจพิสูจน์ได้ตายลงก่อน ประกอบกับที่ผู้ตายนั้นตายมาเป็นปี โดยที่ศพหายไปกว่าสิบเดือนถึงพบ การพิสูจน์เอกลักษณ์จึงกลายเป็นอันเหลือพ้นวิสัยไป
 
=== ผู้ที่น่าจะตายเนื่องในฆาตกรรมต่อเนื่องนี้ ===
 
มีการถกกันว่า มีอีกหลายคนที่น่าจะถูกฆ่าเนื่องในฆาตกรรมต่อเนื่องนี้ ในจำนวนนั้น รายแรก เป็นสตรีนิรนาม ได้ชื่อว่า “นางทะเลสาบ” (Lady of the Lake) เพราะพบศพของเธอใกล้หาดยูคลิด บนชายฝั่งทะเลสาบเลกเอรี เมื่อวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1934 อันเป็นจุดเดียวกับที่พบศพของนาง ช เนื่องจากถูกพบก่อนใครเพื่อน จึงมีผู้เรียกศพของหญิงนี้ว่า “นางหมายเลข 0” (Victim Zero) ด้วย
 
ศพชายนิรนามศีรษะขาดอีกศพ พบอยู่ใน[[รถไฟบรรทุก]] (boxcar) ที่เมือง[[นิวแคสเซิล]] (New Castle) รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1936 ส่วนศพศีรษะขาดอีกสามราย พบอยู่ในรถไฟบรรทุกใกล้เมือง[[แมกคีส์ร็อกส์]] (McKees Rocks) รัฐเดียวกัน เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 ศพทั้งหมดมีร่องรอยบาดแผลอย่างเดียวกับในศพทั้งสิบสองข้างต้น มีศพถูกชำแหละอีกจำนวนหนึ่งพบอยู่ในหนองใกล้เมืองนิวแคสเซิล รัฐเพนซิลเวเนีย ในช่วง ค.ศ. 1921 ถึง 1934 และ ค.ศ. 1939 ถึง 1942
 
อีกศพ ซึ่งพิสูจน์เอกลักษณ์แล้วว่าคือ รอเบิร์ต รอเบิร์ตสัน (Robert Robertson) พบที่อาคารธุรกิจแถวแถนนดาเวนพอร์ต (Davenport Avenue) ซอย 2138 ในเมืองคลีฟแลนด์ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1950 ชายผู้นี้ถูกฆ่ามาแล้วหกถึงแปดสัปดาห์ก่อนพบ และศีรษะก็ถูกตัดไปโดยเจตนา
 
== ผู้ต้องสงสัย ==
 
วันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1939 แฟร็ง โดเลซัล (Frank Dolezal) ชาวเมืองคลีฟแลนด์ ถูก มาร์ทิน แอล. โอ’โอ'ดอนเนล (Martin L. O'Donnell) นายอำเภอจับ โดยสงสัยว่าฆ่าฟรอเรนซ์ พอลิลโล แต่หกเดือนต่อมา เขาตายในห้องขังที่[[เทศมณฑลคูยาโฮกา]] (Cuyahoga County) การชันสูตรพลิกศพของแฟร็งพบว่า ซี่โครงหักหกซี่ อันเป็นความบาดเจ็บที่มิตรสหายเพื่อนร่วมห้องขังของเขายืนยันว่า ไม่เคยมีเมื่อตอนถูกจับ นักวิจัยส่วนใหญ่เชื่อว่า ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าแฟร็งเกี่ยวข้องกับฆาตกรรม แม้ว่าเขาจะรับสารภาพว่าฆ่าฟรอเรนซ์ พอลิลโลก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าเพื่อป้องกันตนเท่านั้น นอกจากนี้ ก่อนเขาตาย เขายังถอนคำรับสารภาพที่เคยให้ไว้ทั้งหมดด้วย โดยกล่าวว่า ตนเองถูกซ้อมให้รับสารภาพ
 
ดอกเตอร์ฟรานซิส อี. สวีนีย์ (Francis E. Sweeney) เป็นผู้ต้องสงสัยรายใหญ่อีกราย ตามการสืบสวนใน ค.ศ. 1938 ซึ่งพบข้อมูลสำคัญว่า ช่วง[[สงครามโลกครั้งที่ 1]] ดอกเตอร์ฟรานซิสเคยทำงานในหน่วยแพทย์ผ่าตัดสนาม อีเลียต เนสได้ถามปากคำดอกเตอร์ฟรานซิสเป็นการส่วนตัวด้วย โดยอีเลียตเรียกเขาด้วยรหัส “เกย์ลอร์ด ซุนดไฮม์”ซุนด์ไฮม์” (Gaylord Sundheim) อีเลียตกล่าวว่า ดอกเตอร์ฟรานซิส “ไม่ผ่าน” เครื่องจับเท็จถึงสองครั้ง การจับเท็จทั้งสองดำเนินการโดย ลีโอนาร์ด คีเลอร์ (Leonard Keeler) ผู้ชำนัญพิเศษด้านจับเท็จ ซึ่งลีโอนาร์ดกล่าวแก่อีเลียตว่า “คุณจับถูกคนแล้ว” (“You has your man”) อย่างไรก็ดี อีเลียตรู้สึกว่า โอกาสที่จะดำเนินคดีแก่ดอกเตอร์ฟรานซิสโดยสะดวกนั้น มีน้อยมาก เนื่องจาก ดอกเตอร์ฟรานซิสเป็นญาติสนิทของ [[มาร์ทิน แอล. สวีนีย์]] (Martin L. Sweeney) ผู้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และคู่แข่งทางการเมืองของอีเลียต มาร์ทินนั้นจ้องเล่นงานอีเลียตเรื่องที่เขาจับคนร้ายผิดคนอยู่ทุกฝีก้าว
 
แม้ไม่มีความคืบหน้าหรือความเกี่ยวพันใด ๆ อันจะยังให้เจ้าพนักงานตำรวจจัดว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัยก็ตาม ดอกเตอร์ฟรานซิสก็มอบตัว และถูกกักขังไว้ในโรงพยาบาลทหารผ่านศึก (Veterans' Hospital) ที่เมือง[[เดย์ทัน]] (Dayton) รัฐโอไฮโอ เพื่อรับการบำบัดโดยสมัครใจ หลังจากนั้น ปรากฏว่า ฆาตกรรมต่อเนื่องก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย และดอกเตอร์ฟรานซิสตายที่โรงพยาบาลนั้นใน ค.ศ. 1964
 
ใน ค.ศ. 1997 มีทฤษฎีแพร่กระจายไปว่า ฆาตกรรมต่อเนื่องนี้อาจไม่ได้กระทำโดยบุคคลเพียงคนเดียว “ไอ้บ้าฆ่าหั่นศพแห่งลำน้ำคิงส์บิวรี” อาจมีหลายคนก็ได้ ทฤษฎีนี้ตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า ผลการชันสูตรพลิกนั้นยังไม่เป็นที่ยุติ อาร์เธอร์ เจ. เพียร์ซ (Arthur J. Pearce) [[พนักงานแยกธาตุ]] (analyst) ประจำเทศมนฑลคูยาโฮกา กล่าวว่า การพิเคราะห์ของเขายังไม่เป็นที่แน่ใจว่า รอยตัดแต่ละศพนั้นเป็นการกระทำของผู้เชี่ยวชาญหรือมือสมัครเล่น สิ่งเดียวที่ทราบแน่ชัดมีเพียงว่า ศพผู้ตายทุกคนถูกชำแหละเท่านั้น<ref>{{cite book|title = The Maniac In The Bushes|last = Bellamy|first = John|publisher = [[Gray & Co.]]|origdate = 1997|isbn = 1886228191|location = Cleveland, OH|format = paperback|accessdate=2010-11-23}}</ref>
 
<!--
== ในวัฒนธรรมร่วมสมัย ==
 
''Butcher's Dozen'', the second of [[Max Allan Collins|Max Allan Collins's]] series of novels fictionalizing Ness's activities as Cleveland's Safety Director, is inspired on the torso murder legend.
 
The "Butcher of Kingsbury Run" was featured in the episode "Zoe's Reprise" of the [[CBS]] TV series ''[[Criminal Minds]]'', featuring a copy-cat serial killer in the Cleveland area. The episode originally aired Wednesday, February 18, 2009.<ref>[http://www.imdb.com/title/tt1256091/ IMDB: Criminal Minds, Zoe's Reprise, Season 4, Episode 15.]</ref>
 
''[[Unsolved Mysteries]]'' once featured a segment about the Torso Killer, linking the slayings to that of the [[Black Dahlia]]. The show's original host, [[Robert Stack]], had portrayed Eliot Ness on ''[[The Untouchables (1959 TV series)|The Untouchables]]''.
 
The Cleveland Torso Murders were the impetus for John Peyton Cooke's 1993 novel ''Torsos'' (aka ''Torso'' in the United Kingdom).
 
The graphic novel, also called ''[[Torso (Image Comics)|Torso]]'', created by [[Brian Michael Bendis]] and [[Marc Andreyko]] also focuses on the case.
 
William Bernhardt's 2009 novel 'Nemesis - The Final Case Of Eliot Ness' is a fictional account of the Torso murders investigation. It features Ness recounting details of the case to his biographer, shortly before his death.
-->
 
== เชิงอรรถ ==
เส้น 200 ⟶ 184:
 
== อ้างอิง ==
 
 
 
* Max Allan Collins; ''Butcher's Dozen''; Bantam Books; ISBN 9780553261516 (paperback, 1988)