ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประสาน ศิลป์จารุ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ZenithZealotry (คุย | ส่วนร่วม)
ใส่แม่แบบเก็บกวาด
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: เพิ่มข้อความไม่เป็นวิกิขนาดใหญ่
บรรทัด 2:
[[ไฟล์:Prasan Silpajaru.jpg|180px|thumb|ประสาน ศิลป์จารุ]]
 
'''นายประสาน ศิลป์จารุ''' (ชื่อเดิม : ทองแป๊ะ) ผู้ริเริ่มจัดงาน 5 ธันวามหาราช ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมนักจัดรายการข่าววิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ / อุปนายกสภาลูกเสือชาวบ้านกรุงเทพมหานคร / อดีตศิลปินตลกยุคแรกของไทยที่รู้จักกันดี ทองแป๊ะ ทองฮะฮ๊ะ ทองแถม ดอกดิน ก๊กเฮง สมพงษ์ บังเละ / ท่านคือผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิริเริ่มจัดงาน 5 ธันวามหาราชตั้งแต่สมัยแรกเมื่อปี 2520 ซึ่งครั้งแรกยังใช้ชื่อว่า งาน "วันร่มเกล้าชาวประชา" / ปัจจุบันท่านยังทำรายการทีวี โดยเป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งมีร่วม คุณเก่งกาจ จงใจพระ และคุณพยุง ช่ำชอง ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวี2 ชื่อรายการ "ขิงแก่ กรุงสยาม" และรายการ "อโรคยา" / ก่อนหน้านี้และอดีตท่านเคยยังเป็นโฆษกประจำสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยนักพากษ์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับอีกด้วย
 
ประสาน ศิลป์จารุ หรือชื่อเดิม ทองแป๊ะ สินจารุ เป็นศิลปินอาวุโสในวงการบันเทิง และเป็นศิลปินตลกยุคแรกของไทย ร่วมสมัยกับ ทองฮะ ทองแถม ดอกดิน บังเละ และท่านยังเป็นนักจัดรายการวิทยุชื่อดังมากสมัยก่อนที่สถานีเสียงวรจักร เป็นผู้แรกที่นำเพลงลูกทุ่งมาเปิดในสถานีวิทยุจนเพลงลูกทุ่งได้รับการยอมรับ และมีการพัฒนามากจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งท่านยังเป็นโต้โผวงดนตรีชื่อดัง เป็นผู้นำในการจัดงานไหว้ครูยุคแรกๆ ที่สวนวังสราญรมย์ ท่านได้เชิญครูบุญยงค์ นักระนาดชื่อดัง มาเป็นเจ้าเชษฐ์พิธีในงาน จนเป็นที่โด่งดังและยอมรับของเหล่าบรรดาคนในวงการศิลปิน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของการไหว้ครูเหล่าศิลปินมาจนถึงยุคปัจจุบันก็ว่าได้ และท่านยังเป็นผู้หนึ่งในการนำการจัดงานแสดงดนตรี ประชันดนตรีไทย ที่วัดพระพิเรนทร์ และร่วมเป็นคณะกรรมการในการตัดสินด้วย ท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในวงการบันเทิงเป็นอย่างยิ่ง เคยเล่นละครในคณะที่โด่งดังสมัยก่อน คือ “คณะเทพศิลป์อัศวินการละคร” ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล และใช้ชื่อในการแสดงว่า ทองแป๊ะ ตั้งแต่นั้น ดาราตลกที่มีชื่อเสียงในรุ่นนี้มี ดอกดิน กัญญามาลย์ , ทองฮ๊ะ , ทองแถม , บังเละ , อบ บุญติด ,มารศรี อิศรางกูร ณ อยุธยา ,ล้อต๊อก ,สมพงษ์ พงษ์มิตร ,สาหัส บุญหลง,ชูศรี โรจนประดิษฐ์ ,พูนสวัสดิ์ ธีมากร ฯลฯ และท่านยังเป็นที่เคารพรักของศิลปินลูกทุ่งอย่างเช่นคุณสุรพล สมบัติเจริญ อย่างยิ่ง สมัยก่อนนั้นท่านก็เป็นโฆษกแทบทุกงานจึงมีโอกาสเกื้อหนุนคุณสุรพลเป็นอย่างมาก และท่านยังเป็นผู้อนุรักษ์เพลงลูกทุ่งให้อยู่คู่ฟ้าเมืองไทยมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะท่านได้พูดปลุกใจปลุกกระแสให้คนไทย หันมารักและหวงแหนเพลงลูกทุ่งตลอดเวลาที่มีโอกาส สมัยก่อนนั้น ประเทศไทยมีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เพียงแห่งเดียว การจะบอกจะกล่าวอะไรก็มีเพียงสถานีเดียวเท่านั้น ท่านจะเป็นที่รู้จักกันที่ในชื่อนักจัดรายการที่ว่า “ทองแป๊ะ สินจารุ” ท่านเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบในการจัดรายการเป็นอย่างมาก จะไม่มีการพูดจาให้เสื่อมเสียต่อชาติบ้านเมือง ท่านจะพูดปลุกใจให้คนไทยรักชาติ หวงแหนในศิลปวัฒนธรรมไทย โดยไม่มีการเลือกพรรคเลือกพวก หากเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติแล้วนั้น ท่านจะเป็นผู้นำที่จะมาเตือนสติชาวไทยในทุกโอกาส
ในชีวิตของท่านนั้น ได้ทำคุณประโยชน์ต่อวงการวิทยุโทรทัศน์เป็นอย่างมาก ทั้งการรณรงค์ให้พูดภาษาไทยที่ถูกต้องในการจัดรายการ และการมีจิตสำนึกในการจัดรายการ จะต้องเป็นกลางและไม่พูดจาเลื่อนลอย แม้ว่าท่านจะไม่ได้มีการศึกษาที่สูงเช่นคนอื่นๆ แต่เมื่อถึงคราวการสอบเป็นผู้ประกาศข่าวของกรมกระชาสัมพันธ์ ท่านก็ไม่ได้ใช้อภิสิทธิ์ใดๆ และทำการสอบเฉกเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ นับร้อยๆ คนในคราวนั้น ผลออกมาว่าท่านสอบได้ที่ 1 ชนะคนที่จบปริญญาตรงสาขาได้ทั้งหมด จากการสอบเพียงครั้งเดียว ทำให้ได้เห็นว่าการดำรงตนและฝึกฝนในการใช้ภาษาไทยของท่านนั้น มีมาตรฐานจริง
สำหรับในเรื่องอื่นๆ ที่ท่านได้ไปช่วยเหลือกิจการต่างๆ ก็มีเช่น งานกิจการลูกเสือชาวบ้าน ซึ่งท่านได้ช่วยงานมานานแล้วควบคู่กันไปกับการทำรายการวิทยุโทรทัศน์ของท่าน จนท่านได้ดำรงตำแหน่งประธานลูกเสือชาวบ้านกรุงเทพมหานคร ถึง 2 สมัย ซึ่งถือได้ว่าตำแหน่งนี้จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากคนในวงกว้างขวางจริงๆ เพราะลูกเสือชาวบ้านกรุงเทพฯ มีทั้งอดีตข้าราชการระดับสูงมากจนถึงระดับธรรมดา และยังมีพ่อค้าวานิชที่มีฐานะอีกเป็นจำนวนมากเข้าร่วม ได้พร้อมใจกันยกให้ท่านเป็นประธาน ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้เป็นผู้ที่มีฐานะร่ำรวย และทุกคนก็ยังพร้อมใจกันยกให้ท่านเป็นประธานในครั้งนั้นถึง 2 สมัย และท่านยังทำผลงานในกิจการลูกเสือจนได้รับพระราชทานเหรียญราชอิสริยาภรณ์ลูกเสือสรรเสริญ ชั้นที่ 1 จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว , ท่านเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิชาวไทยเชื้อสายจีนที่เยาวราช และเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช ซึ่งปัจจุบันได้เป็นปึกแผ่นในทุกวันนี้ จนส่งผลให้ท่านได้รับรางวัล “สังข์เงิน” สาขา “เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์” จาก ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น นับเป็นเกียรติประวัติอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนไทยอย่างเต็มตัวและหัวใจที่มีจิตเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างจริงใจ ทำให้ทางรัฐบาลต้องจัดทำรางวัลนี้มอบให้ท่าน สำหรับการดำเนินโครงการต่างๆ ในสมัยที่ท่านช่วยงานมูลนิธิ 5 ธันวามหาราชนั้น ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมทำโครงการต่างๆ มากมาย ทั้งการเทิดทูนคำว่ามหาราชแด่องค์ในหลวง การทำโครงการจัดสร้างระฆังคู่ในหลวงพระราชินี ถวายในโอกาสครองคู่อย่างยาวนาน การเดินขบวนถวายพานพุ่มทีพระตำหนักสวนจิตรลดา และการจัดงานมหรสพที่ท้องสนามหลวงที่ยิ่งใหญ่ จนเป็นต้นแบบของการจัดงานมาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่ท่านก็ยังถ่อมตัวว่าท่านเป็นผู้อยู่เบี้องหลังเท่านั้น ความสำเร็จจะไม่เกิดขึ้นได้ถ้าคนไทยไม่ร่วมมือกัน
 
งานลูกเสือชาวบ้าน
การดำรงตนตลอดชีวิตที่ผ่านมา ท่านยังไม่หยุดทำคุณประโยชน์ให้กับวงการศิลปิน และวงการบันเทิงของเมืองไทย ท่านยังเป็นผู้ที่จัดรายการ “นายมั่น นายคง” และพัฒนามาเป็นรายการ “ขิงแก่ กรุงสยาม” อยู่ในเคเบิลทีวีดาวเทียมสถานีโทรทัศน์ MVTV 5 ในวันจันทร์-ศุกร์ เวลาตอนบ่ายของทุกวันธรรมดา รูปแบบการจัดรายการก็ยังเป็นในลักษณะการเมืองในปัจจุบัน และการเตือนสติคนไทยให้รู้รักสามัคคี และรักษาวัฒนธรรมประเพณีของไทย สมกับที่ท่านได้ดำรงตนมานานแล้วในเรื่องของความรักชาติ ทุกวันนี้ ท่านยังทำหน้าที่ของท่านในการให้ความรู้รักสามัคคีกับประชาชนและรักษามรดกไทย โดยไปจัดรายการขิงแก่กรุงสยามทุกวันจันทร์-ศุกร์ ส่วนในวันเสาร์ก็ยังไปช่วยงานต่างๆ ที่หน่วยงานอื่นๆ ขอมา และวันอาทิตย์ก็มีไปจัดรายการวิทยุอีก โดยหวังเพียงว่าให้คนไทยหันมาตระหนักถึงชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ
สำหรับในเรื่องอื่นๆ ที่ท่านได้เข้าไปช่วยเหลือกิจการต่างๆ ก็มีเช่น งานกิจการของลูกเสือชาวบ้าน อย่างเต็มความสามารถ ซึ่งท่านได้ช่วยงานมานานแล้วควบคู่กันไปกับการทำรายการวิทยุโทรทัศน์ของท่าน จนท่านได้รับคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานลูกเสือชาวบ้านกรุงเทพมหานคร ถึง 2 สมัย ซึ่งถือได้ว่าตำแหน่งนี้จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากคนในวงกว้างขวางจริงๆ เพราะลูกเสือชาวบ้านกรุงเทพฯ มีทั้งอดีตข้าราชการระดับสูงมากจนถึงระดับธรรมดา และยังมีพ่อค้าวานิชที่มีฐานะอีกเป็นจำนวนมากเข้าร่วม ได้พร้อมใจกันยกให้ท่านเป็นประธาน ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้เป็นผู้ที่มีฐานะร่ำรวย และทุกคนก็ยังพร้อมใจกันยกให้ท่านเป็นประธานในครั้งนั้นถึง 2 สมัย และท่านยังทำผลงานในกิจการลูกเสือจนได้รับพระราชทานเหรียญราชอิสริยาภรณ์ลูกเสือสรรเสริญ ชั้นที่ 1 จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว , อีกทั้งท่านยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิชาวไทยเชื้อสายจีนที่เยาวราช และเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช ซึ่งปัจจุบันได้เป็นปึกแผ่นในทุกวันนี้ จนส่งผลให้ท่านได้รับรางวัล “สังข์เงิน” สาขา “เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์” จาก ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น นับเป็นเกียรติประวัติอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนไทยอย่างเต็มตัวและหัวใจที่มีจิตเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างจริงใจ ทำให้ทางรัฐบาลต้องจัดทำรางวัลนี้มอบให้ท่าน สำหรับการดำเนินโครงการต่างๆ ในสมัยที่ท่านช่วยงานมูลนิธิ 5 ธันวามหาราชนั้น ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมทำโครงการต่างๆ มากมาย ทั้งการเทิดทูนคำว่ามหาราชแด่องค์ในหลวง การทำโครงการจัดสร้างระฆังคู่ในหลวงพระราชินี ถวายในโอกาสครองคู่อย่างยาวนาน การเดินขบวนถวายพานพุ่มทีพระตำหนักสวนจิตรลดา และการจัดงานมหรสพที่ท้องสนามหลวงที่ยิ่งใหญ่ จนเป็นต้นแบบของการจัดงานมาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่ท่านก็ยังถ่อมตัวว่าท่านเป็นผู้อยู่เบี้องหลังเท่านั้น ความสำเร็จจะไม่เกิดขึ้นได้ถ้าคนไทยไม่ร่วมมือกัน
ปัจจุบัน แม้ท่านจะมีอายุ 82 ปี ในปี 2553 นี้ ท่านยังได้รับการยอมรับจากนักจัดรายการต่างๆ ให้ท่านดำรงตำแหน่ง “นายกสมาคมนักจัดรายการข่าววิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์” ซึ่งมีบทบาทอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทำวิชาชีพในด้านนี้ เพราะต้องทำหน้าที่เป็นคนกลางให้ได้ในสภาวการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน และยังดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาลูกเสือชาวบ้าน และมูลนิธิการกุศลอีกหลายแห่ง
 
เป็นผู้ริเริ่มจัดงาน 5 ธันวามหาราช
ท่านเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีและิเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างสูงมาโดยตลอด ได้เข้าร่วมกิจกรรมเทิดพระเกียรติอยู่เสมอ จนในที่สุึด ท่านได้ริเริ่มจัดงาน "วันร่มเกล้าชาวประชา" ขึ้นเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2520 ณ วังสราญรมย์ เพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ การจัดงานในครั้งนั้น ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง จากความสำเร็จดังกล่าว ท่านได้ริเริ่มดำเนินการที่จะถวายสมัญญา "มหาราช" แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 5 ธันวาคม 2520 โดยเชิญข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และประชาชนสาขาอาชีพต่างๆ มาร่วมแสดงความเห็น ทั้งในภาครัฐบาล และเอกชน หลังจากที่ได้ร่วมประชุมกันหลายครั้ง ที่ประชุมมีความเห็นว่าจะยังไม่มีการถวานสมัญญานาม แต่จะจัดงานเตรียมการถวายกันก่อน โดยตั้งชื่องานว่า "5 ธันวามหาราช" กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 3 - 5 ธันวาคม 2520 เป็นผลให้มีการจัดงานในปีต่อๆ มาอย่างต่อเนื่องถึงปัจจุบัน /// สำหรับการจัดงาน 5 ธันวามหาราช นั้น ในงานจะจัดให้มีการฉายภาพยนตร์ 100 จอ จัดชกมวยไทยกว่าร้อยคู่ในแต่ละครั้ง และมหรสพอื่นๆ อีกมากมาย โดยใช้สนามหลวงเป็นสถานที่จัดงานตลอดมา และได้ร่วมกับคณะกรรมการจัดงาน "5 ธันวามหาราช" จัดตั้ง "มูลนิธิ 5 ธันวามหาราช" ขึ้นจนเป็นที่เรียบร้อย โดยมีคุณหญิงนงนุช จิรพงศ์ เป็นประธานมูลนิธิคนแรก และคุณหญิงวิจิตรา ดิษยะศริน เป็นประธานคนที่สอง และเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน / และในสมัยที่ท่านช่วยงานมูลนิธิ 5 ธันวามหาราชนั้น ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมทำโครงการต่างๆ มากมาย อาทิ การทำโครงการจัดสร้างระฆังคู่ในหลวงพระราชินี ถวายในโอกาสครองคู่อย่างยาวนาน การเดินขบวนถวายพานพุ่มทีพระตำหนักสวนจิตรลดา และการจัดงานมหรสพที่ท้องสนามหลวงที่ยิ่งใหญ่ จนเป็นต้นแบบของการจัดงานมาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่ท่านก็ยังถ่อมตัวว่าท่านเป็นผู้อยู่เบี้องหลังเท่านั้น ความสำเร็จจะไม่เกิดขึ้นได้ถ้าคนไทยไม่ร่วมมือกัน
 
เป็นผู้ริ่เริ่มให้ประพันธ์เพลง "พระภูมิพลมหาราช" ในปี 2522 โดย นายประสาน ศิลป์จารุ ได้ริเริ่มมอบหมายให้นายศักดิ์เกษม หุตาคม หรือ "อิงอร" ร่วมกับนายมงคล อมาตยกุล ทำการประพันธ์เพลง "พระภูมิพลมหาราช" ขึ้น เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติองค์พระมหากษัตริย์อีกทางหนึ่้ง
 
ปี 2528 ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ได้ประกาศว่ารัฐบาลจะจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสพระชนมายุครบ 60 พรรษา ในปี 2530 ทางคณะกรรมการมูลนิธิฯ จึงได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้เชิญ นายพิศาล มูลศาสตรสาทร ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานอำนวยการจัดงาน 5 ธันวามหาราช ปี 2528 และให้นายประจวบ จำปาทอง เป็นประธานจัดงาน กระทั่งปี 2529 นายพิศาล มูลศาสตรสาทร ได้ทำการสำรวจประชามติประชากรกว่า 40 ล้านคนในสมัยนั้น เพื่อขอความคิดเห็นในกรณีที่จะถวายสมัญญานาม "มหาราช" แด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผลปรากฎว่า ประชาชน 34 ล้านคน เห็นควรถวายพระนาม "พระภูมิพลมหาราช" อีก 6 ล้านคน เห็นควรถวายพระนาม "พระภัทรมหาราช" และพระนามอื่นๆ อีกเล็กน้อย จนกระทั่งวันที่ 5 ธันวาคม 2530 ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศถวายสมัญญานาม "พระภูมิพลมหาราช" ในท่ามกลางสันนิบาตรสโมสร เป็นที่ปลื้มปิติแด่ประชาชนชาวไทยทั้งมวล
 
ปี 2531 รับรางวัล "สังข์เงิน" จาก ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี สาขา เทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์
ทางสมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสมาคมที่พิจารณามอบรางวัลต่างๆ ให้กับบุคคลที่ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งมีอดีตนายกรัฐมนตรี และผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เคยได้รับรางวัลนี้มาตั้งแต่ปี 2518 โดยพิจารณาปีละ 5 ถึง 6 คน เข้ารับรางวัลจากนายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาแล้วเห็นสมควรเพิ่มสาขาขึ้นอีก 1 สาขา คือ สาขาเทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ และมอบให้ นายประสาน ศิลป์จารุ ได้รับรางวัลสังข์เงินนี้ จาก ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2531 ซึ่งปัจจุบันได้เป็นปึกแผ่นในทุกวันนี้ จนส่งผลให้ท่านได้รับรางวัล “สังข์เงิน” สาขา “เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์” จาก ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น นับเป็นเกียรติประวัติอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนไทยอย่างเต็มตัวและหัวใจที่มีจิตเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างจริงใจ เสียสละ และไม่เห็นแำก่เหน็ดเหนื่อย
 
การดำรงตนตลอดชีวิตที่ผ่านมา ท่านยังไม่หยุดทำคุณประโยชน์ให้กับวงการศิลปิน และวงการบันเทิงของเมืองไทย ท่านยังเป็นผู้ที่จัดรายการ “นายมั่น นายคง” และพัฒนามาเป็นรายการ “ขิงแก่ กรุงสยาม” อยู่ในเคเบิลทีวีดาวเทียมสถานีโทรทัศน์ MVTV 5 ในวันจันทร์-ศุกร์ เวลาตอนบ่ายของทุกวันธรรมดา และรายการ "อโรคยา" ซึ่งเป็นรายการที่เป็นประโยชน์ต่อคนรักสุขภาพ ออกอากาศทุกวันในเวลา 0700 - 0800 ทางสถานีเดียวกันข้างต้น สำหรับรูปแบบการจัดรายการก็ยัง "ขิงแก่กรุงสยาม" เป็นรายการในลักษณะการเมืองในปัจจุบัน และการเตือนสติคนไทยให้รู้รักสามัคคี และรักษาวัฒนธรรมประเพณีของไทย สมกับที่ท่านได้ดำรงตนมานานแล้วในเรื่องของความรักชาติ ทุกวันนี้ ปัจจุบันนี้ ท่านยังทำหน้าที่ของท่านในการให้ความรู้รักสามัคคีกับประชาชนและรักษามรดกไทยงานลูกเสือชาวบ้าน โดยไปงานนักจัดรายการขิงแก่กรุงสยามทุกวันจันทร์-ศุกร์ข่าววิทยุ ส่วนในวันเสาร์ก็ยังไปช่วยโทรทัศน์ และงานสังคมต่างๆ ที่หน่วยงานอื่นๆ ขอมา และวันอาทิตย์ก็มีไปจัดรายการวิทยุอีกอย่างเต็มกำลัง โดยหวังเพียงว่าให้คนไทยหันมาตระหนักถึงชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ
ปัจจุบัน แม้ท่านจะมีอายุเกือบ 8290 ปี ในปี 2553 นี้แล้ว ท่านยังได้รับการยอมรับจากนักจัดรายการต่างๆ ให้ท่านดำรงตำแหน่ง “นายกสมาคมนักจัดรายการข่าววิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์” ซึ่งมีบทบาทอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทำวิชาชีพในด้านนี้ เพราะต้องทำหน้าที่เป็นคนกลางให้ได้ในสภาวการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน และยังดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาลูกเสือชาวบ้าน และมูลนิธิการกุศลอีกหลายแห่ง นับเป็นบุคคลที่ทำคุณประโยชน์เพื่อชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง
 
[[หมวดหมู่:พิธีกรไทย]]