ผลต่างระหว่างรุ่นของ "คดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2551"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาด
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาด
บรรทัด 9:
หลัง[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2550]] [[คณะกรรมการการเลือกตั้ง]]พบการทุจริต มีการให้ใบแดงและพิจารณาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายมณเฑียร สงฆ์ประชา ผู้สมัครรับเลือกตั้งและรองเลขาธิการ[[พรรคชาติไทย]] กับนายสุนทร วิลาวัลย์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งและรองหัวหน้า[[พรรคมัชฌิมาธิปไตย]]<ref name="thaipost">ไทยโพสต์, มติ กกต. 4:1 เชือด'ชท.-มฌ.', [[12 เมษายน]] 2551, หน้า 2</ref>
 
วันที่ [[16 เมษายน]] 2551 [[คณะกรรมการการเลือกตั้ง]]มีมติด้วยคะแนนเสียง 4 ต่อ 1 (มติเสียงข้างน้อย 1 เสียงในทั้งสองกรณี คือ [[สมชัย จึงประเสริฐ|นายสมชัย จึงประเสริฐ]]) <ref name="thaipost" /> เห็นชอบตามที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เสนอความเห็นให้ส่งสำนวนเรื่องการยุบ[[พรรคชาติไทย]]และ[[พรรคมัชฌิมาธิปไตย]]ให้อัยการสูงสุดพิจารณา
 
แม้ว่าคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงได้สรุปก่อนหน้านั้นว่าหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคคนอื่นในทั้งสองพรรค ไม่มีส่วนรู้เห็นต่อการกระทำผิดของนายมณเฑียร สงฆ์ประชา และนายสุนทร วิลาวัลย์ แต่การที่ทั้งสองคนต่างก็เป็นกรรมการบริหารพรรคเสียเอง กกต.จึงพิจารณาตามมาตรา 237 วรรคสอง ของ[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550]] และมาตรา 103 วรรคสอง ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]และการได้มาซึ่ง[[สมาชิกวุฒิสภา]] พ.ศ. 2550 ซึ่งบัญญัติไว้ตรงกันว่า ถ้าการกระทำดังกล่าวปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบแล้วไม่ได้ยับยั้งหรือแก้ไข เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการซึ่งให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ใน[[รัฐธรรมนูญ]]
บรรทัด 17:
ส่วนกรณีที่พรรคมัชฌิมาธิปไตยแย้งว่านายสุนทร วิลาวัลย์ ได้พ้นจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคแล้ว เนื่องจากการลาออกของ[[ประชัย เลี่ยวไพรัตน์|นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์]] ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2550 ซึ่งทำให้กรรมการบริหารพรรคทั้งคณะสิ้นสุดลงพร้อมกันด้วยนั้น คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงไม่เห็นด้วย เนื่องจากพบว่าข้อบังคับพรรคข้อ 30 วรรคห้า ได้ระบุให้กรรมการบริหารพรรคอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่ากรรมการชุดใหม่จะเข้ามารับหน้าที่
 
ตามขั้นตอนทางกฎหมาย หากอัยการสูงสุดมีความเห็นสมควร อัยการสูงสุดจะยื่นคำร้องเพื่อให้[[ศาลรัฐธรรมนูญ]]มีคำสั่งยุบพรรค แต่หากอัยการสูงสุดมีความเห็นไม่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ นายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องตั้งคณะทำงานโดยมีผู้แทนจากทั้งนายทะเบียนพรรคและอัยการสูงสุด รวบรวมพยานหลักฐาน และส่งให้อัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป แต่หากในกรณีที่คณะทำงานดังกล่าวไม่อาจหาข้อยุติได้ภายใน 30 วัน นับแต่ที่ได้แต่งตั้งคณะทำงาน นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของ กกต. มีอำนาจยื่นคำร้องเองได้
 
== คำร้องให้ยุบพรรคพลังประชาชน ==
วันที่ [[26 กุมภาพันธ์]] 2551 [[คณะกรรมการการเลือกตั้ง]]มีมติด้วยเสียงข้างมาก 3 ใน 5 (งดออกเสียงหนึ่งเสียง) ให้ใบแดงและส่งความเห็นไปยัง[[ศาลฎีกา]]แผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ[[ยงยุทธ ติยะไพรัช|นายยงยุทธ ติยะไพรัช]] รองหัวหน้า[[พรรคพลังประชาชน]] ส.ส.แบบสัดส่วน ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา<ref>ไทยโพสต์, ระส่ำ! 'ยุบพรรค', 27 กุมภาพันธ์ 2551, หน้า 1,12</ref> เนื่องจากพบว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งที่[[จังหวัดเชียงราย]] โดยมีนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนัน ต.จันจว้า อ.แม่จัน เป็นพยานคนสำคัญ
 
คดีทุจริตเลือกตั้งนี้เกิดจากนายวิจิตร ยอดสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส.[[พรรคชาติไทย]] นำหลักฐานเป็นวีซีดี กล่าวหาว่านายยงยุทธเรียกกำนัน 10 คน ในอำเภอแม่จัน [[จังหวัดเชียงราย]] นำโดยนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ เดินทางไปพบที่กรุงเทพฯ ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 และเข้าพักที่โรงแรมเอสซีปาร์ค นายยงยุทธขอให้กำนันช่วยเหลือตนและน้องสาว ตลอดจนนายอิทธิเดช ผู้สมัคร เขต 3 จากนั้นคนสนิทของนายยงยุทธได้มอบเงินให้กำนันคนละ 20,000 บาท นายยงยุทธได้ออกมาตอบโต้ตลอดเวลาว่าเป็นการจัดฉาก ถูกสร้างพยานหลักฐานเท็จ ด้าน กกต. กล่าวว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับซีดีเพราะมีพยานบุคคลที่ยืนยันชัดเจน หลัง กกต.มีมติ นายยงยุทธได้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ประธานสภาโดยไม่ลาออก
 
วันที่ 8 กรกฎาคม 2551 [[ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง]] วินิจฉัยว่ากรณีที่นายยงยุทธให้เงินกับกำนัน อ.แม่จัน ทั้ง 10 คน เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจริงตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ จึงพิพากษายืนตามมติของ กกต. และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธเป็นเวลา 5 ปี ขณะที่ กกต.เตรียมดำเนินการต่อ โดยสรุปสำนวนส่งให้[[อัยการสูงสุด]] เพื่อยื่นต่อ[[ศาลรัฐธรรมนูญ (ประเทศไทย)|ศาลรัฐธรรมนูญ]] เสนอยุบพรรคพลังประชาชนต่อไป<ref>สำนักข่าวไทย, [http://www.mcot.net/inside-headline.php?nid=1440 ศาลฎีกาให้ใบแดงยงยุทธ เพิกถอนสิทธิ 5 ปี], 8 กรกฎาคม 2551</ref>
 
การพิจารณาคดีนี้คาดว่าอาจใช้เวลานานหลายเดือน เช่นเดียวกับคดียุบพรรคไทยรักไทย นอกจากนี้ ยังถูกเชื่อมโยงกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งหลายฝ่ายออกมาตั้งข้อสังเกตและต่อต้าน<ref>มติชน, [http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=25877&catid=156&catid=1 ส.ส.'พปช.'ปัดแก้รธน.ฟอก'แม้ว'นิรโทษฯ 111 ทรท. ยันไม่สนถูกถอดจากตำแหน่ง], 1 เมษายน 2551</ref> เนื่องจากมองว่ามีเจตนาทำเพื่อตัวเอง ไม่ให้พรรคพลังประชาชนถูกยุบ
 
== กรณีพรรคพลังประชาชนเป็นตัวแทนพรรคไทยรักไทย ==
บรรทัด 49:
* นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี (ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)
 
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ไต่สวนพยานวันที่ [[28 พฤศจิกายน]] [[พ.ศ. 2551]] มีตัวแทน[[พรรคการเมือง]]เข้าร่วมรับฟังพร้อมเพรียงพยาน[[พรรคมัชฌิมาธิปไตย]]จำนวน 20 ปาก และขอเพิ่มเติมอีก 29 ปาก พยาน[[พรรคชาติไทย]]จำนวน 42 ปาก พยานเทปซีดีคำปราศรัยห้ามซื้อเสียง และพยานเอกสาร 33 รายการ พยาน[[พรรคพลังประชาชน]]จำนวน 60 ปาก
 
== สรุปคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ==