ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การดื้อแพ่ง"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม) ล เก็บกวาด |
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม) ล เก็บกวาด |
||
บรรทัด 1:
'''การดื้อแพ่ง''' หรือ '''การขัดขืนอย่างสงบ''' ([[ภาษาอังกฤษ|อังกฤษ]]: civil disobedience) ภาษาปาก{{ต้องการอ้างอิงตรงนี้}}ว่า '''"อารยะขัดขืน"''' เป็นรูปแบบการต่อต้านทางการเมืองอย่างสงบเพื่อกดดันให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางการเมืองที่เป็นอยู่<ref>http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=2738</ref> ในอดีต มีการใช้แนวทางดื้อแพ่งในการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้าน[[อังกฤษ]]ใน[[ประเทศอินเดีย]] ในการต่อสู้กับ[[การแบ่งแยกสีผิว]]ใน[[แอฟริกาใต้]] ในการเคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมืองของอเมริกา และใน[[ยุโรป]] รวมถึงประเทศแถบ[[สแกนดิเนเวีย]]ในการต่อต้านการยึดครองของนาซี
เพื่อที่จะแสดงออกถึงดื้อแพ่ง ผู้ขัดขืนอาจเลือกที่จะฝ่าฝืนกฎหมายใดเป็นการเฉพาะ เช่น กีดขวางทางสัญจรอย่างสงบ หรือเข้ายึดครองสถานที่อย่างผิดกฎหมาย ผู้ประท้วงกระทำการจลาจลอย่างสันติเหล่านี้ โดยคาดหวังว่าพวกตนจะถูกจับกุม หรือกระทั่งถูกทำร้ายร่างกายโดยเจ้าหน้าที่. ผู้ประท้วงมักจะได้รับการนัดแนะล่วงหน้า ว่าควรจะตอบสนองการจับกุมหรือทำร้ายร่างกายอย่างไร และจะขัดขืนอย่างเงียบ ๆ หรือไม่รุนแรง โดยไม่คุกคามเจ้าหน้าที่
บรรทัด 8:
ในสมัยนั้นในประเทศอินเดียมีกฎหมายบังคับให้การผลิตและขายเกลือกระทำได้โดยรัฐบาลอังกฤษเท่านั้น การผูกขาดเกลือเป็นรายได้ที่สำคัญ ถึงแม้ว่าคนอินเดียที่อาศัยอยู่ชายฝั่งทะเลจะสามารถผลิตเกลือเพื่อบริโภคเองได้ ก็จำเป็นต้องซื้อจากอังกฤษ หากผู้ใดฝ่าฝืนก็มีโทษถึงจำคุกทีเดียว
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม [[ค.ศ. 1930]] มหาตมะ คานธี พร้อมกับผู้ร่วมเดินทางจำนวน 78 คน เริ่มเดินเท้าจากเมือง Sabarmati ไปยังเมือง Dansi เมืองชายฝั่งทะเลที่อยู่ห่างออกไป 240 ไมล์ เมื่อขบวนเดินผ่านเมืองใดก็จะมีชาวเมืองนับพันเข้ามาร่วมเดิน จนขบวนยาวหลายไมล์
การกระทำของคานธีกลายเป็นข่าวไปทั่วโลก ในขณะที่ชาวอินเดียพากันเลียนแบบ ผลิตและขายเกลือกันอย่างไม่กลัวกฎหมาย ในที่สุดมหาตมะคานธีก็ถูกจับพร้อมกับประชาชนนับหมื่นคน มหาตมะ คานธี ให้การต่อศาลว่า
: ''".. การที่ข้าพเจ้ามิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่นั้น มิใช่เพราะข้าพเจ้าไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง แต่เป็นเพราะข้าพเจ้าต้องการปฏิบัติตามคำสั่งที่สูงยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือคำสั่งแห่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของข้าพเจ้าเอง..."''
เหตุการณ์ดื้อแพ่งของมหาตมะ คานธี ครั้งนั้นมีชื่อเรียกว่า "The Salt March" เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์อินเดีย หลังจากคานธีได้รับการปล่อยตัวออกมา ก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้คนอินเดียร่วมกันต่อสู้จนได้รับอิสรภาพใน [[ค.ศ. 1947]] ในที่สุด
บรรทัด 22:
ในปี ค.ศ. 1955 [[โรซา พาร์กส์]] (Rosa Parks) ปฏิเสธที่จะลุกให้ที่นั่งแก่คนผิวขาวบนรถประจำทางตามที่คนขับรถสั่ง ทั้งที่กฎหมายท้องถิ่นระบุว่าเมื่อโดยสารรถร่วมกัน เธอจะต้องสละที่ให้คนผิวขาวนั่ง เธอถูกจับขึ้นศาลและถูกตัดสินจำคุก จากนั้นกลุ่มคนผิวดำจึงพากันประท้วง จนกระทั่งรัฐบาลท้องถิ่นต้องยกเลิกกฎหมายนี้ กรณีประท้วงนี้มีชื่อเรียกว่า การคว่ำบาตรรถประจำทางมอนต์โกเมอรี (Montgomery Bus Boycott)<ref>พัฒนายุ ทารส, [http://www.nationweekend.com/2005/10/28/NW15_552.php แด่ 'โรซา ปาร์คส์' นักสู้เพื่อสิทธิคนผิวสี], เนชั่น สุดสัปดาห์, 28 ตุลาคม พ.ศ. 2548</ref>
มีร้านอาหารหลาย ๆ แห่งในรัฐทางใต้ ปฏิเสธที่จะให้บริการแก่คนผิวดำ จึงมีการดื้อแพ่งโดยใช้วิธี "ซิทอิน" (sit in) คือเข้าไปนั่งเฉย ๆ
การต่อสู้เหล่านี้เพื่อกดดันรัฐบาลกลาง จนนำมาสู่การออกกฎหมายสิทธิเลือกตั้ง (Voting Rights Act) ค.ศ. 1965 และกฎหมายสิทธิพลเมือง (Civil Rights Act) ค.ศ. 1968 ที่ให้สิทธิเท่าเทียมกันระหว่างคนผิวขาวและคนผิวดำ
== ดื้อแพ่งในสังคมไทย ==
แนวคิดดื้อแพ่งในทางการเมือง หรือที่นิยมใช้คำว่า "อารยะขัดขืน" นั้น เริ่มแพร่หลายใน[[ภาษาไทย]] ในบริบทของ[[การขับไล่ ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี|การประท้วงขับไล่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร]] ในปี [[พ.ศ. 2549]] อย่างไรก็ตาม คำว่า "อารยะขัดขืน" นั้นถูกนำมาใช้ครั้งแรกโดย[[ชัยวัฒน์ สถาอานันท์]]<ref name="nationsud">ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์. [http://www.nationweekend.com/2006/03/03/NW14_441.php คอลัมน์หมายเหตุการณ์.] เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 15 ฉบับที่ 718
: ''อารยะขัดขืนเป็นเรื่องของการขัดขืนอำนาจรัฐ ที่ทั้งเป้าหมายและตัววิธีการอันเป็นหัวใจของ Civil Disobedience ส่งผลในการทำให้สังคมการเมืองโดยรวมมี 'อารยะ' มากขึ้น... การจำกัดอำนาจรัฐนั้นเอง เป็นหนทาง 'อารยะ' ยิ่งการจำกัดอำนาจรัฐโดยพลเมืองด้วยวิธีการอย่างอารยะคือ เป็นไปโดยเปิดเผย ไม่ใช้ความรุนแรง และยอมรับผลตามกฎหมายที่จะเกิดขึ้นกับตัวผู้ใช้สันติวิธีแนวนี้ เพื่อให้สังคมการเมือง 'เป็นธรรม' ขึ้น เคารพสิทธิเสรีภาพของคนมากขึ้น และเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น''<ref>จากบทความใน ''รัฐศาสตร์สาร'' ปีที่ 24 ฉบับที่ 3, 2546, อ้างตาม ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์.</ref>
และโดยได้อธิบายคุณลักษณะ 7 ประการของ "อารยะขัดขืน" ในฐานะของปฏิบัติการทางการเมือง คือ
บรรทัด 42:
ก่อนหน้านี้ ช่วงปี [[พ.ศ. 2543]] [[สมชาย ปรีชาศิลปกุล]] ใช้คำว่า "สิทธิการดื้อแพ่งต่อกฎหมาย" เพื่ออธิบายแนวคิดเดียวกันนี้ ในหนังสือชื่อเดียวกัน<ref>สมชาย ปรีชาศิลปกุล, สิทธิการดื้อแพ่งต่อกฎหมาย : ศาสตร์แห่งการไม่เชื่อฟังรัฐ, สำนักพิมพ์ร่วมด้วยช่วยกัน พ.ศ. 2543. ISBN 9748768279</ref><ref>วิรพา อังกูรทัศนียรัตน์, [http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=627 อ่านเอาเรื่อง : รัฐประหาร ทางออกสุดท้ายของการเมืองไทยยุคทักษิณ?], นิตยสาร[[สารคดี (นิตยสาร)|สารคดี]] ฉบับที่ 260 ปีที่ 22, ตุลาคม พ.ศ. 2549</ref> โดยเสนอว่า
: ''civil disobedience ถือเป็นสิทธิที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ด้วยเหตุว่า เวทีประชาธิปไตยไม่น่าจะคับแคบเพียงการเลือกตั้งที่เป็นทางการ เพราะการใช้สิทธิเช่นนี้ถือได้ว่า เป็นการใช้ประชาธิปไตยทางตรง และดังนั้น จึงมีสถานะเหนือกว่าประชาธิปไตยของนักเลือกตั้งในระบบตัวแทน''
ส่วน [[ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร]] เสนอ<ref>"ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่ ขบวนการเคลื่อนไหวประชาสังคมในต่างประเทศ : บทสำรวจพัฒนาการ สถานภาพและนัยเชิงความคิด/ ทฤษฎีต่อการพัฒนาประชาธิปไตย" ISBN 9748539636 ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร พ.ศ. 2545.</ref> ว่า
: ''สิทธิที่จะไม่เชื่อฟังรัฐเป็นช่องทางการเคลื่อนไหวเรียกร้องของผู้คนธรรมดาในระบอบประชาธิปไตย นอกเหนือช่องทางปกติ เป็นตัวสร้างสิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งกระทำไม่ได้ในระบบที่ดำรงอยู่ ถือเป็นคุณูปการที่เด่นชัดของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม/ประชาสังคมรูปแบบใหม่ในปัจจุบัน''
ในวันที่ [[2 เม.ย.]] [[พ.ศ. 2549]] [[ไชยันต์ ไชยพร]] อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ฉีกบัตรเลือกตั้งของตนทิ้งให้สื่อมวลชนดูหลังจากที่ใช้สิทธิลงคะแนนไม่เลือกผู้ใดแล้ว
=== คำว่า "อารยะขัดขืน" ===
บรรทัด 53:
ชัยวัฒน์ได้อธิบายไว้ว่า ได้เลี่ยงที่จะใช้คำว่า "สิทธิการดื้อแพ่งต่อกฎหมาย" อย่างที่สมชายใช้ เนื่องจากคำว่า "ดื้อแพ่ง" ในภาษาไทยนั้นมีความหมายในนัยไม่สู้ดี และเสนอคำว่า "อารยะขัดขืน" ซึ่งเป็นคำที่มีอคติทางลบแฝงอยู่น้อยกว่า ขณะเดียวกัน ยังเป็นคำ[[กิริยา]]ที่คงคุณลักษณะความเป็นคำในเชิงปฏิบัติเอาไว้<ref>[http://www.bangkokbiznews.com/2006/03/07/news_20091046.php?news_id=20091046 'อารยะขัดขืน' กับการล้ม 'ระบอบทักษิณ'] หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2549.</ref>
"สุดสงวน" คอลัมนิสต์ประจำนิตยสารสกุลไทย ให้ความเห็นว่า การนำ "อารยะ" ซึ่งเป็นคำสันสกฤต มาสมาสหรือสนธิกับ "ขัดขืน" ซึ่งเป็นคำไทยนั้น ไม่เข้าหลักเกณฑ์ทางภาษา แต่ขณะเดียวกันก็นึกไม่ออกว่าจะหาคำใดมาใช้แทนคำที่ชัยวัฒน์ใช้ได้<ref>สุดสงวน, [http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=4731&stissueid=2693&stcolcatid=2&stauthorid=17 ภาษายุคสมัยขัดแย้งทางความคิด], นิตยสาร[[สกุลไทย]], ฉบับที่ 2693 ปีที่
[[แก้วสรร อติโพธิ]] ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการใช้คำว่า ''อารยะ'' ว่าแท้จริงแล้วคำว่า ''civil'' น่าจะหมายถึงคำว่าพลเมือง และเสนอว่าน่าจะแปลเป็นไทยว่า "การแข็งข้อไม่ยอมเป็นพลเมือง"<ref>[http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01pra09230349 คอลัมน์สยามภาษา] หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับ วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2549.</ref>
บรรทัด 72:
* [[พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์]]. 2549. [http://www.komchadluek.net/news/2006/04-04/pol--18132.html กระดานความคิด : อารยะขัดขืนของ อ.ไชยันต์ : บททดลองตีความ] [[หนังสือพิมพ์คมชัดลึก]] ฉบับวันที่ 4 เมษายน 2549
* [[วีระ สมบูรณ์]]. 2549. อารยะขัดขืน คอลัมน์อริยวิถี [[มติชนสุดสัปดาห์]] ปีที่ 26 ฉบับที่ 1340, 21-27 เมษายน 2549 หน้า 36
* [http://www.bangkokbiznews.com/2006/04/27/u001_98149.php?news_id=98149
* Saichan, Kosum. 2003. [http://dlc.dlib.indiana.edu/archive/00001112/ ''Civil Disobedience under Thai Crony Capitalism.''] Presented at "Politics of the Commons: Articulating Development and Strengthening Local Practices".
|