ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กระซู่"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม) ล เก็บกวาด |
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม) ล เก็บกวาด |
||
บรรทัด 30:
</imagemap>
<center><small>
การกระจายพันธุ์ของกระซู่
* {{Cite book | last = Foose | first = Thomas J. and van Strien, Nico | year = 1997 | title = Asian Rhinos – Status Survey and Conservation Action Plan | publisher = IUCN, Gland, Switzerland, and Cambridge, UK | isbn = 2-8317-0336-0}}<br />and
* {{Cite book | title = The Return of the Unicorns; The Natural History and Conservation of the Greater One-Horned Rhinoceros | last = Dinerstein | first = Eric | publisher = [[Columbia University Press]] | location = [[New York]] | year = 2003 | isbn = 0-231-08450-1 }}<br />This map does not include unconfirmed historical sightings in Laos and Vietnam or possible remaining populations in Burma.</ref></small></center>
บรรทัด 42:
'''กระซู่''' '''แรดสุมาตรา''' หรือ '''แรดขน'''<ref name="โลกสีเขียว" /> ({{lang-en|Sumatran Rhinoceros<ref>Wilson, D. E., and Reeder, D. M. (eds), ed (2005). [http://www.bucknell.edu/msw3/browse.asp?id=14100054. Mammal Species of the World] (3rd edition ed.). โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ ISBN 0-8018-8221-4</ref>}}; [[ชื่อวิทยาศาสตร์]]: ''Dicerorhinus sumatrensis'') เป็น[[สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม]]ใน[[อันดับสัตว์กีบคี่]]จำพวก[[แรด]] กระซู่เป็นแรดที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก และเป็นแรดเพียง[[สปีชีส์|ชนิด]]เดียวที่อยู่ใน[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]] ''Dicerorhinus'' มีลักษณะเด่นคือมี นอ 2 นอ เหมือนแรดแอฟริกา โดยนอจะไม่ตั้งยาวขึ้นมาเหมือน[[แรดชวา]] นอหน้าใหญ่กว่านอหลัง โดยทั่วไปยาว 15-25 ซม. ลำตัวมีขนหยาบและยาวปกคลุม เมื่อโตเต็มที่สูง 120–145 [[เซนติเมตร|ซม.]] จรดหัวไหล่ ยาว 250 ซม. และมีน้ำหนัก 500-800 [[กิโลกรัม|กก.]]
กระซู่อาศัยอยู่ใน[[ป่าดิบชื้น]] [[ป่าพรุ]] และ [[ป่าเมฆ]]ใน[[ประเทศอินเดีย]] [[ภูฏาน]] [[บังกลาเทศ]] [[พม่า]] [[ลาว]] [[ประเทศไทย|ไทย]] [[มาเลเซีย]] [[อินโดนีเซีย]] และ[[ประเทศจีน|จีน]] โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน[[มณฑลเสฉวน]]<ref>''The Art of Rhinoceros Horn Carving in China'' (1999), p. 27. Jan Chapman. Christie’s Books. ลอนดอน</ref><ref>''The Golden Peaches of Samarkand: A study of T’ang Exotics'' (1963), p 83. Edward H. Schafer. มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์ และ ลอสแอนเจลิส First paperback edition: 1985.</ref> ปัจจุบัน กระซู่ถูกคุกคามจนอยู่ในขั้นวิกฤติ เหลือสังคมประชากรเพียงหกแหล่งในป่า มีสี่แหล่งใน[[สุมาตรา]] หนึ่งแหล่งใน[[บอร์เนียว]] และอีกหนึ่งแหล่งใน[[มาเลเซียตะวันตก]] จำนวนกระซู่ในปัจจุบันยากที่จะประมาณการได้เพราะเป็นสัตว์สันโดษที่มีพิสัยกระจัดกระจายเป็นวงกว้าง แต่คาดว่าเหลืออยู่ประมาณ 300 ตัว สาเหตุอันดับแรกของการลดลงของจำนวนประชากรคือการล่าเอานอซึ่งมีค่ามากในการแพทย์แผนจีน ขายได้ถึง 30,000 [[ดอลลาร์สหรัฐ]]ต่อกิโลกรัมในตลาดมืด<ref name=Dinerstein/>
กระซู่เป็นสัตว์สันโดษมักอยู่เพียงลำพังตัวเดียวยกเว้นช่วงจับคู่ผสมพันธุ์และเลี้ยงดูลูกอ่อน กระซู่เป็นแรดที่เปล่งเสียงร้องมากที่สุดการสื่อสารของกระซู่ยังรวมถึงการทำร่องรอยด้วยเท้า บิดงอไม้หนุ่มเป็นรูปแบบต่างๆ และการถ่ายมูลและละอองเยี่ยว มีการศึกษาในกระซู่มากกว่า[[แรดชวา]]ซึ่งเป็นสัตว์สันโดษเหมือนกัน เพราะโปรแกรมที่นำกระซู่ 40 ตัวมาสู่กรงเลี้ยงที่มีเป้าหมายเพื่ออนุรักษ์สปีชีส์นี้ไว้ ในตอนแรกโปรแกรมนี้ถือว่าประสบความล้มเหลว มีกระซู่ตายจำนวนมากและไม่มีการให้กำเนิดลูกกระซู่เลยเกือบ 20 ปี การสูญเสียกระซู่ในโปรแกรมมากกว่าการสูญเสียกระซู่ในป่าเสียอีก
== อนุกรมวิธานและชื่อ ==
ตามที่มีการบันทึกในเอกสาร ในปี พ.ศ. 2336 มีการยิงกระซู่ได้ที่บริเวณห่างจากฟอร์ต มาร์ลโบราวก์ (Fort Marlborough) 16 กิโลเมตร ใกล้กับชายฝั่งด้านตะวันตกของ[[สุมาตรา]] โจเซฟ แบงส์ (Joseph Banks) นักธรรมชาติวิทยาซึ่งขณะนั้นเป็นนายกของราชสมาคมแห่งกรุงลอนดอนได้รับภาพวาดและรายละเอียดของกระซู่ และได้ตีพิมพ์เอกสารบนพื้นฐานของตัวอย่างในปีนั้น จนกระทั่งปี พ.ศ. 2357 กระซู่จึงได้รับการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์โดย โยฮันน์ ฟิสเคอร์ ฟอน วัล์ดไฮม (Johann Fischer von Waldheim) ชาว[[เยอรมัน]] [[นักวิทยาศาสตร์]]และ[[ภัณฑารักษ์]]แห่งพิพิธภัณฑ์ดาร์วินสเตตแห่ง[[มอสโก]] [[ประเทศรัสเซีย]]<ref name="Asian sightings">{{Cite book | author = Rookmaaker, Kees | year = 2005 | chapter = First sightings of Asian rhinos | pages = 52 | editor = Fulconis, R. | title = Save the rhinos: EAZA Rhino Campaign 2005/6 | location = London | publisher = [[European Association of Zoos and Aquaria]] }}</ref><ref name= Morales>{{Cite journal |
ชื่อ ''Dicerorhinus sumatrensis'' มาจากคำใน[[ภาษากรีก]] ''{{lang|grc-Latn|di}}'' ({{lang|grc|δι}} แปลว่า "สอง") ''{{lang|grc-Latn|cero}}'' ({{lang|grc|κέρας}} แปลว่า "เขา หรือ นอ") และ ''{{lang|grc-Latn|rhinos}}'' ({{lang|grc|ρινος}} แปลว่า "[[จมูก]]") <ref>{{cite book|last=Liddell | first=Henry G.|authorlink=Henry Liddell|coauthors=and [[Robert Scott (philologist)|Robert Scott]]|year=1980|title=Greek-English Lexicon|edition=Abridged|publisher=Oxford University Press|location=Oxford|isbn=0-19-910207-4}}</ref>
กระซู่มีสาม[[สปีชีส์ย่อย]]:
* '''''D.s. sumatrensis''''' หรือ '''แรดสุมาตราตะวันตก''' มีเหลืออยู่ราว 275 ตัว ส่วนมากอยู่ทางตะวันตกของสุมาตรา อีกประมาณ 75 ตัวอาจอยู่ในทางคาบสมุทรมาเลเซีย ปัจจัยคุกคามหลักของสปีชีส์ย่อยนี้คือการสูญเสียถิ่นอาศัยและการดักจับอย่างผิดกฎหมาย มีความแตกต่างทาง[[พันธุศาสตร์|พันธุกรรม]]เล็กน้อยระหว่างแรดสุมาตราตะวันตกและตะวันออก<ref name="IUCN Dss">Asian Rhino Specialist Group (1996). [http://www.iucnredlist.org/search/details.php/6556 ''Dicerorhinus sumatrensis'' ssp.'' sumatrensis'']. ''2007 [[IUCN Red List of Threatened Species]]''. IUCN 2007. Retrieved on January 13, 2008.</ref>
* '''''D.s. harrissoni''''' หรือ '''แรดสุมาตราตะวันออก''' หรือ '''แรดบอร์เนียว''' พบตลอดทั้งเกาะ[[บอร์เนียว]] ปัจจุบันคาดการณ์กันว่ามีเหลือเพียง 25 ตัวเท่านั้น ประชากรเท่าที่ทราบบนเกาะบอร์เนียวอาศัยอยู่ใน[[รัฐซาบาห์]] นอกจากนี้ยังมีรายงานที่ไม่มีการยืนยันว่าพบแรดบอร์เนียวใน[[รัฐซาราวัก]]และ[[กาลิมันตัน]]<ref name="IUCN Dsh">Asian Rhino Specialist Group (1996). [http://www.iucnredlist.org/search/details.php/6555 ''Dicerorhinus sumatrensis'' ssp.'' harrissoni'']. ''2007 [[IUCN Red List of Threatened Species]]''. IUCN 2007. Retrieved on January 13, 2008.</ref>
* '''''D.s. lasiotis''''' หรือ '''แรดสุมาตราเหนือ''' เป็นสปีชีส์ย่อยเดียวที่มีการกระจายพันธุ์ใน[[ประเทศอินเดีย]]และ[[ประเทศบังกลาเทศ]] แต่ได้ประกาศว่ามี[[การสูญพันธุ์]]จากประเทศเหล่านั้นไปแล้ว มีรายงานที่ไม่ได้รับการยืนยันว่ามีประชากรกลุ่มเล็กๆที่ยังเหลือรอดใน[[ประเทศพม่า]]และสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศก็ไม่อำนวยให้ทำการพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้<ref name="IUCN Dsl">Asian Rhino Specialist Group (1996). [http://www.iucnredlist.org/search/details.php/6554 ''Dicerorhinus sumatrensis'' ssp.'' lasiotis'']. ''2007 [[IUCN Red List of Threatened Species]]''. IUCN 2007. Retrieved on January 13, 2008.</ref>
=== วิวัฒนาการ ===
บรรพบุรุษของ[[แรด]]ได้วิวัฒนาการแยกตัวออกจาก[[สัตว์กีบคี่]]อื่นครั้งแรกในสมัยตอนต้นยุคแรกเริ่มที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมถือกำเนิดขึ้นมา (Eocene) การเปรียบเทียบทางไมโตคอนเดรียดีเอ็นเอ (Mitochondrial DNA) แสดงว่าบรรพบุรุษของแรดในปัจจุบันแยกตัวจากบรรพบุรุษของ[[ม้า]]ราวๆ 50 ล้านปีมาแล้ว<ref name = Tougard>{{Cite journal | author = Tougard, C. | coauthors = T. Delefosse, C. Hoenni, and C. Montgelard | year = 2001 | title = Phylogenetic relationships of the five extant rhinoceros species (Rhinocerotidae, Perissodactyla) based on mitochondrial cytochrome b and 12s rRNA genes | journal = Molecular Phylogenetics and Evolution | volume = 19 | issue = 1 | pages = 34–44 | doi = 10.1006/mpev.2000.0903 | pmid = 11286489}}</ref><ref name=DNA>{{Cite journal | title = The Complete Mitochondrial DNA Sequence of the Greater Indian Rhinoceros, ''Rhinoceros unicornis'', and the Phylogenetic Relationship Among Carnivora, Perissodactyla, and Artiodactyla (+ Cetacea) | author = Xu, Xiufeng | coauthors = Axel Janke, and Ulfur Arnason | date=1 November 1996| journal = Molecular Biology and Evolution | volume = 13 | issue = 9 | pages = 1167–1173 | url = http://mbe.oxfordjournals.org/cgi/reprint/13/9/1167 | accessdate = 2007-11-04 | pmid = 8896369 }}</ref>
กระซู่มีลักษณะที่ได้รับมาจากบรรพบุรุษสมัยไมโอซีนน้อยที่สุดในบรรดาแรดด้วยกัน<ref name=Dinerstein/>
เพราะมีลักษณะคล้ายกัน จึงเชื่อว่ากระซู่เป็นญาติใกล้ชนิดกับแรดขนยาว (''Coelodonta antiquitatis'') แรดขนยาวซึ่งตั้งชื่อตามลักษณะที่มีขนยาว พบครั้งแรกที่ประเทศจีนในยุคไพลสโตซีนตอนปลาย (Pleistocene) กระจายตัวอยู่ในทวีปยูเรเชียจาก[[เกาหลี]]ถึง[[สเปน]] แรดขนยาวอยู่รอดจนถึงปลาย[[ยุคน้ำแข็ง]]เหมือนกับ[[ช้างแมมมอธ]]ขนยาว ทั้งหมดสูญพันธุ์ไปเมื่อ 10,000 ปีก่อน เมื่อแม้การศึกษาเชิงสัณฐานวิทยาจะมีข้อสงสัยในความใกล้ชิด<ref name=Cerdeno/> แต่การวิเคราะห์ทางโมเลกุลเมื่อเร็วๆนี้ยืนยันว่าทั้งสองชนิดเป็นพี่น้องที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน<ref name=Orlando>{{Cite journal | journal = Molecular Phylogenetics and Evolution | volume = 28 | issue = 2 | month = September | year = 2003 | pages = 485–499 | title = Ancient DNA analysis reveals woolly rhino evolutionary relationships | author = Orlando, Ludovic | coauthors = Jennifer A. Leonard, Aurélie Thenot, Vincent Laudet, Claude Guerin, and Catherine Hänni | doi = 10.1016/S1055-7903 (03) 00023-X }}</ref>
== ลักษณะ ==
บรรทัด 69:
กระซู่ที่โตเต็มที่มีความสูงจรดหัวไหล่ประมาณ 120–145 [[เซนติเมตร|ซม.]] ลำตัวยาวประมาณ 250 ซม. มีน้ำหนัก 500–800 [[กิโลกรัม|กก.]] ถึงแม้ว่าจะมีกระซู่บางตัวในสวนสัตว์ที่หนักมากกว่า 1000 กก. กระซู่เหมือนกับแรดใน[[แอฟริกา]]ที่มีสองนอ นอใหญ่อยู่บริเวณจมูก โดยทั่วไปมีขนาด 15–25 ซม. ยาวที่สุดเท่าที่มีบันทึกไว้คือ 81 ซม.<ref name=LitStud/> นอด้านหลังมีขนาดเล็กกว่ามาก ปกติแล้วจะยาวน้อยกว่า 10 ซม. และบ่อยครั้งที่เป็นแค่ปุ่มขึ้นมา นอมีสีเทาเข้มหรือสีดำ เพศผู้มีนอใหญ่กว่าเพศเมียหรือในเพศเมียบางตัวอาจไม่มีนอใน<ref name="โลกสีเขียว">โลกสีเขียว [http://www.verdantplanet.org/animalfiles/sumatranrhinoceros_(Dicerorhinus_sumatrensis).php กระซู่] แฟ้มสัตว์โลก</ref> และไม่มีลักษณะแบ่งเพศที่เด่นชัดอื่นอีก กระซู่มีอายุโดยประมาณ 30-45 ปีเมื่ออยู่ตามธรรมชาติ มีบันทึกถึง ''D. lasiotis'' เพศเมียในกรงเลี้ยงว่ามีอายุ 32 ปี 8 เดือนก่อนที่จะตายลงในสวนสัตว์ลอนดอนในปี พ.ศ. 2443<ref name=Groves1972/>
มีหนังพับย่นขนาดใหญ่สองวงรอบที่ลำตัวบริเวณหลังขาหน้าและก่อนขาหลัง ที่คอมีรอยพับย่นเล็กน้อยรอบคอและรอบตา ริมฝีปากบนแหลมเป็นจงอย<ref name="โลกสีเขียว" /> หนังหนา 10-16 มม. มีสีน้ำตาลอมเทา<ref name="โลกสีเขียว" /> ริมฝีปากและผิวหนังใต้ท้องบริเวณขามีสีเนื้อ<ref name="กองทุนสัตว์ป่าโลก">หนังสือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน ([[กรุงเทพมหานคร]] [[พ.ศ. 2543]]) โดย [[กองทุนสัตว์ป่าโลก]] ISBN 974-87081-5-2</ref> กระซู่ตามธรรมชาติไม่พบไขมันใต้หนัง มีขนปกคลุมหนาแน่นถึงเล็กน้อย (ในลูกกระซู่จะปกคลุมหนาแน่น) ปกติจะมีสีน้ำตาลแดง ในธรรมชาติกระซู่จะไม่ค่อยมีขนให้เห็นได้ชัดเจนนักเพราะเกิดจากการลงแช่ปลัก แต่ในกรงเลี้ยงกระซู่จะมีขนงอกออกมา หยาบ คาดว่าเพราะมีการเสียดสีกับพุ่มไม้ในเวลาเดินน้อยมาก กระซู่มีขนยาวบริเวณรอบหูและปกคลุมบริเวณหลังไปถึงปลายหางซึ่งมีผิวหนังบาง กระซู่เหมือนกับแรดทุกชนิด มีสายตาที่แย่ แต่ประสาทหูและประสาทรับกลิ่นดีมาก<ref name="สารคดี" /> กระซู่เคลื่อนที่ได้เร็วและกระฉับกระเฉง มันสามารถไต่เขาสูงชันและว่ายน้ำเก่ง<ref name="van Strien"/><ref name=Groves1972>{{Cite journal | journal = [[Mammalian Species]] | url = http://www.science.smith.edu/departments/Biology/VHAYSSEN/msi/pdf/i0076-3519-021-01-0001.pdf |format=PDF| year = 1972 | author = Groves, Colin P., and Fred Kurt | title = Dicerorhinus sumatrensis | issue = 21 | pages = 1–6
== การกระจายพันธุ์และถิ่นอาศัย ==
บรรทัด 80:
ในประเทศไทยเองก็มีรายงานถึงการพบกระซู่ในหลายๆแห่งได้แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว [[อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน]] [[อุทยานแห่งชาติเขาสก]] [[เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง]] [[เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง|เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร]]<ref name="สารคดี" /> แต่ในปัจจุบันคาดว่ายังมีกระซู่หลงเหลืออยู่แค่ที่[[อุทยานแห่งชาติสันกาลาคีรี]]บริเวณป่าฮาลาบาลา<ref name="สารคดี" /><ref name="กองทุนสัตว์ป่าโลก" />แต่ก็ไม่มีการพบเห็นมานานแล้วทำให้กระซู่จัดเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ (EW) แล้วในประเทศไทย<ref>ฐานข้อมูลชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในประเทศไทย [http://chm-thai.onep.go.th/RedData/Default.aspx?GroupOf=MAMMAL กระซู่] ข้อมูลชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม</ref>
การวิเคราะห์ทางพันธุศาสตร์ในประชากรของกระซู่สามารถระบุเชื้อสายทางพันธุกรรมที่ต่างกันได้สามสาย<ref name= Morales/> [[ช่องแคบมะละกา|ช่องแคบระหว่างสุมาตราและมาเลเซีย]]ไม่เป็นอุปสรรคต่อกระซู่เหมือนกับภูเขาบารีซัน (Barisan) ดังนั้นกระซู่ในสุมาตราตะวันออกและคาบสมุทรมาเลเซียจึงมีความใกล้ชิดกันมากกว่ากระซู่ในอีกด้านของภูเขาในสุมาตราตะวันตก กระซู่ในสุมาตราตะวันออกและมาเลเซียแสดงความแตกต่างทางด้านพันธุกรรมเพียงเล็กน้อย ซึ่งหมายถึงประชากรไม่ได้แยกจากกันในสมัย[[ไพลสโตซีน]] อย่างไรก็ตามประชากรกระซู่ทั้งในสุมาตราและมาเลเซียที่มีความใกล้เคียงกันในทางพันธุกรรมมากจนสามารถผสมพันธุ์กันได้อย่างไม่เป็นปัญหา กระซู่ในบอร์เนียวนั้นต่างออกไปเป็นพิเศษว่าเพื่อการอนุรักษ์ความผันแปรของพันธุกรรมควรจะฝืนผสมข้ามกับเชื้อสายประชากรอื่น<ref name= Morales/> เมื่อเร็วๆนี้ มีการศึกษาการอนุรักษ์ความผันแปรของพันธุกรรมโดยศึกษาความหลากหลายของจีนพูล (gene pool) ในประชากรโดยการระบุบไมโครแซททัลไลท์ โลไซ (microsatellite loci) ผลทดสอบในเบื้องต้นพบว่าเมื่อเปรียบเทียบระดับของความหลากหลายในประชากร กระซู่นั้นมีความหลากหลายน้อยกว่าแรดแอฟริกาที่ใกล้สูญพันธุ์ แต่ความหลากหลายทางพันธุกรรมของกระซู่ยังคงต้องมีการศึกษาต่อไป<ref name=Scott04>{{Cite journal | author = Scott, C. | coauthors = T.J. Foose, C. Morales, P. Fernando, D.J. Melnick, P.T. Boag, J.A. Davila, P.J. Van Coeverden de Groot | year = 2004 | title = Optimization of novel polymorphic microsatellites in the endangered Sumatran rhinoceros (Dicerorhinus sumatrensis) | journal = Molecular Ecology Notes | volume = 4 | page = 194–196
== พฤติกรรม ==
กระซู่เป็นสัตว์สันโดษปกติจะอยู่เพียงลำพังตัวเดียวยกเว้นช่วงเวลาจับคู่ผสมพันธุ์และเลี้ยงดูลูกอ่อน ตัวผู้จะมีอาณาเขตประมาณ
[[ไฟล์:Sumatran Rhino 001.jpg|thumb|กระซู่กำลังนอนแช่ปลัก ในสวนสัตว์ซินซินนาติ]]
กระซู่จะใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันหมดไปกับการแช่ปลักโคลน เมื่อมันหาปลักโคลนไม่ได้กระซู่จะขุดดินเลนด้วยขาและนอเพื่อสร้างปลัก การแช่ปลักโคลนนี้จะช่วยกระซู่รักษาระดับอุณหภูมิของร่างกายและช่วยป้องกันผิวหนังของมันจากปรสิตภายนอกและแมลงอื่นๆ จากกระซู่ตัวอย่างที่จับได้ เมื่อกระซู่ไม่ได้นอนแช่ปลักอย่างเพียงพอ ผิวหนังของมันจะแตกและอักเสบอย่างรวดเร็ว แผลเป็นหนอง ตามีปัญหา เล็บอักเสบ ขนร่วง และตายในที่สุด จากการศึกษาพฤติกรรมการนอนแช่ปลักโคลนเป็นเวลา 20 เดือนของกระซู่พบว่ากระซู่จะไปที่ปลักโคลนไม่เกิน 3 ปลักในช่วงระยะเวลาที่ศึกษา หลังจาก 2–12 สัปดาห์ที่ใช้ปลักเดิม กระซู่ก็จะละทิ้งปลักนั้นไป โดยปกติกระซู่จะไปแช่ปลักราวๆเที่ยงวัน แช่อยู่ราวๆ 2–3 ชั่วโมงก่อนออกไปหาอาหาร ถึงแม้ว่าจากการสังเกตกระซู่ในสวนสัตว์จะนอนแช่ปลักน้อยกว่า 45 นาทีต่อวัน แต่จากการศึกษากระซู่ในธรรมชาติจะนอนแช่ปลัก 80–300 นาที (เฉลี่ยที่ 166 นาที) ต่อวัน<ref name=Wallows>{{Cite journal | title = Wallows and Wallow Utilization of the Sumatran Rhinoceros (''Dicerorhinus Sumatrensis'') in a Natural Enclosure in Sungai Dusun Wildlife Reserve, Selangor, Malaysia | year = 2001 | journal = Journal of Wildlife and Parks | volume = 19 | pages = 7–12 | last = Julia Ng | first = S.C. | coauthors = Z. Zainal-Zahari, and Adam Nordin}}</ref>
มีช่องทางเพียงเล็กน้อยที่จะศึกษาถึงระบาดวิทยาในกระซู่ มีรายงานว่าแมลงดูดกินเลือดเป็นอาหาร เช่น หมัด ไร เห็บ และแมลงวันตัวเบียนในสกุล ''[[gyrostigma]]'' เป็นสาเหตุการตายของกระซู่ในกรงเลี้ยงในคริสต์ศตวรรษที่ 19<ref name=LitStud/> เป็นที่รู้กันว่ากระซู่เป็นโรคพยาธิในเลือดได้ง่ายซึ่งมีตัวเหลือบเป็นพาหะนำปรสิตจำพวก [[trypanosome]] มา ในปี ค.ศ. 2004 กระซู่ห้าตัวในศูนย์อนุรักษ์กระซู่ตายภายใน 18 วันหลังจากติดโรค<ref name=Vellayan/>
กระซู่มีด่านสองประเภทในอาณาเขต ด่านหลักใช้ท่องเที่ยวระหว่างบริเวณสำคัญในอาณาเขตของกระซู่ เช่น [[โป่ง]] หรือระหว่างบริเวณที่แยกออกจากกันโดยภูมิประเทศที่ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย ด่านทางเดินที่กระซู่เดินจะเรียบโล่ง ถ้าหากมีสิ่งกีดขวางกระซู่จะดันสิ่งกีดขวางให้พ้นทาง<ref name="สารคดี" /> ในพื้นที่หากินกระซู่จะสร้างด่านที่เล็กกว่าซึ่งยังปกคลุมด้วยพุ่มไม้ไปยังบริเวณที่มีอาหารสำหรับกระซู่ นอกจากนี้ยังพบด่านกระซู่ที่ข้ามแม่น้ำกว้างประมาณ 50 ม.ลึกมากกว่า 1.5 ม. กระซู่เป็นนักว่ายน้ำที่เก่งสามารถว่ายข้ามแม่น้ำที่ไหลแรงได้<ref name=Groves1972/><ref name=LitStud/> เคยมีผู้พบเห็นกระซู่ว่ายน้ำในทะเลด้วย<ref name="โลกสีเขียว" /> กระซู่จะไม่แช่ปลักที่ใกล้กับแม่น้ำอาจเป็นเพราะมันลงแช่น้ำในแม่น้ำแทนที่จะแช่ปลัก<ref name=Borner/>
บรรทัด 94:
=== อาหาร ===
{| class="infobox" style="float:right; clear:right; margin-left:1em; margin-right:0em; font-size:90%; width:150px;"
| [[ไฟล์:MallotesPhilipensis.jpg|100x100px]]
| [[ไฟล์:Garcinia mangostana fruit1.jpg|100x100px]]
|-
| [[ไฟล์:Eugenia1.jpg|100x100px]]
| [[ไฟล์:Ardisia crenata6.jpg|100x100px]]
|-
| colspan = "2" width = "200px"| กระซู่กินต้นไม้หลากหลาย เช่น: (เวียนตามเข็มนาฬิกาจากบนซ้าย), สกุลปริก (''Mallotus''), [[มังคุด]], สกุลตาเป็ดตาไก่ (''Ardisia''), และ สกุลหว้า (''Eugenia'') <ref name=Borner/><ref name=Biotropica/>
|}
กระซู่ออกหากินในช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกและในตอนเช้า กระซู่เป็นสัตว์เล็มกิน โดยกินอาหารประเภท ไม้หนุ่ม ใบ ผล กิ่ง หน่อ<ref name=Groves1972/> และ[[ผลไม้]]ที่ร่วงหล่นตามพื้นดิน<ref name="กองทุนสัตว์ป่าโลก" /> ปกติกระซู่จะกินอาหารมากถึง 50 กก.ต่อวัน<ref name="van Strien"/> จากมูลสัตว์ตัวอย่าง นักวิจัยพบอาหารมากกว่า 100 สปีชีส์ที่กระซู่กินเข้าไป ส่วนใหญ่จะเป็นไม้หนุ่มที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-6 ซม. กระซู่จะดันไม้หนุ่มด้วยลำตัว เดินไปเหนือไม้หนุ่มโดยไม่เหยียบทับ และลงมือกินใบ พืชหลากหลายชนิดที่กระซู่กินเข้าไปเป็นแค่ส่วนเล็กๆของอาหารทั้งหมดซึ่งแสดงว่ากระซู่จะเปลี่ยนอาหารและพฤติกรรมการกินต่างกันไปตามแต่บริเวณพื้นที่<ref name=Borner/> พืชส่วนใหญ่ที่กระซู่กินจะเป็นสปีชีส์ใน[[วงศ์เปล้า]] [[วงศ์เข็ม]] และ [[วงศ์โคลงเคลง]] โดยทั่วไปแล้วกระซู่จะกินพืชสกุลหว้า<ref name=Biotropica/>
อาหารของกระซู่มี[[ใยอาหาร]]สูงและมี[[โปรตีน]]พอสมควร<ref name=Dierenfeld06>{{Cite journal | author = Dierenfeld, E.S. | coauthors = A. Kilbourn, W. Karesh, E. Bosi, M. Andau, S. Alsisto | year = 2006 | title = Intake, utilization, and composition of browses consumed by the Sumatran rhinoceros (Dicerorhinus sumatrensis harissoni) in captivity in Sabah, Malaysia | journal = Zoo Biology | volume = 25 | issue = 5 | pages = 417–431
=== การสื่อสาร ===
กระซู่มีการเปล่งเสียงมากที่สุดในบรรดาแรดด้วยกัน<ref name=Acoustical/> จากการสังเกตกระซู่ในสวนสัตว์แสดงถึงว่ากระซู่นั้นเปล่งเสียงเสมอๆและมันรู้จักที่จะทำดังเช่นในป่า<ref name=LitStud/> กระซู่สร้างเสียงที่แตกต่างกันสามเสียง: ''อีป'', ''วาฬ'', และ ''ผิวปาก-เป่า'' เสียงอีป สั้น ยาวประมาณ 1 วินาที เป็นเสียงทั่วไปโดยมาก วาฬที่ตั้งชื่อนี้เพราะคล้ายกับการเปล่งเสียงของ[[วาฬหลังค่อม]] (''ดูเพิ่ม'': [[บทเพลงแห่งวาฬ]]) เป็นการเปล่งเสียงคล้ายกับร้องเพลงและเปล่งเสียงบ่อยเป็นอันดับสอง วาฬจะแตกต่างกันที่ระดับเสียงและช่วงสุดท้าย ในช่วง 4–7 วินาที
{| class="infobox" style="float:right; clear:right; margin-left:1em; margin-right:0em; font-size:90%;"
! style="background:#DCDCDC;" |การเปล่งเสียง<br />ของกระซู่ (ไฟล์ .wav) <ref name=Acoustical/>
|-
! style="background:#000000;" colspan = "2"|
|-
|
* [ftp://ftp.aip.org/epaps/acoust_res_lett/E-ARLOFJ-4-005303/MM.1.wav อีป]
* [ftp://ftp.aip.org/epaps/acoust_res_lett/E-ARLOFJ-4-005303/MM.2.wav วาฬ]
บรรทัด 125:
การศึกษาการสืบพันธุ์ของกระซู่เกิดขึ้นในกรงเลี้ยง เมื่อกระซู่อยู่ในช่วงจับคู่จะเริ่มมีพฤติกรรมเปล่งเสียงร้องมากขึ้น ชูหางขึ้น ถ่ายปัสสาวะ มีการสัมผัสทางร่างกายมากขึ้นโดยทั้งเพศผู้และเมียจะใช้จมูกชนสัมผัสฝ่ายตรงข้ามบริเวณศีรษะและอวัยวะเพศ รูปแบบการขอความรักนี้จะคล้ายกับ[[แรดดำ]] กระซู่หนุ่มเพศผู้มักก้าวร้าวกับเพศเมีย บางครั้งอาจเกิดการบาดเจ็บหรือตายได้ในระหว่างการจับคู่ ในธรรมชาติกระซู่เพศเมียสามารถวิ่งหนีจากเพศผู้ที่ก้าวร้าวได้ในกรณีแบบนี้ แต่ในกรงเลี้ยงมันไม่สามารถทำได้ การที่เพศเมียไม่สามารถวิ่งหนีได้นี้เองอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อัตราความสำเร็จในการขยายพันธุ์กระซู่ในกรงเลี้ยงต่ำ<ref name=ZZ2005>{{Cite journal | title = Reproductive behaviour of captive Sumatran rhinoceros (''Dicerorhinus sumatrensis'') | last = Zainal Zahari | first = Z. | coauthors = Y. Rosnina, H. Wahid, K.c. Yap, and M.R. Jainudeen | journal = Animal Reproduction Science | volume = 85 | year = 2005 | pages = 327–335 | doi = 10.1016/j.anireprosci.2004.04.041 | pmid = 15581515 | issue = 3-4 }}</ref><ref name=ZZ2002>{{Cite journal | last = Zainal-Zahari | first = Z. | coauthors = Y. Rosnina, H. Wahid, and M. R. Jainudeen | year = 2002 | title = Gross Anatomy and Ultrasonographic Images of the Reproductive System of the Sumatran Rhinoceros (''Dicerorhinus sumatrensis'') | journal = Anatomia, Histologia, Embryologia: Journal of Veterinary Medicine Series C | volume = 31 | issue = 6 | pages = 350–354 | doi = 10.1046/j.1439-0264.2002.00416.x }}</ref><ref name=Roth06/>
ในช่วงเป็นสัด เมื่อเพศเมียผสมพันธุ์กับเพศผู้แล้ว ประมาณ 24 ชั่วโมงเพศผู้จะเข้าผสมอีกในช่วง 21-25 วัน กระซู่ในสวนสัตว์ซินซินนาติใช้เวลาในการผสมพันธุ์แต่ละครั้งนาน 30-50 นาที ซึ่งนานพอๆกับแรดชนิดอื่น การสังเกตกระซู่ที่ศูนย์อนุรักษ์กระซู่ในประเทศมาเลเซียทำให้เราสามารถสรุปวงจรการผสมพันธุ์ได้ จากการสังเกตในสวนสัตว์ซินซินนาติ กระซู่มีช่วงการเป็นสัดนานคล้ายกับแรดชนิดอื่นๆ ช่วงเวลานั้นอาจขึ้นกับพฤติกรรมทางธรรมชาติ<ref name=ZZ2005/>
== การอนุรักษ์ ==
บรรทัด 131:
and Rhino Research Symposium, Vienna, June 7–11, 2001 | publisher = Scientific Progress Reports | year = 2001 | title = Conservation Programs for Sumatran and Javan Rhino in Indonesia and Malaysia | last = van Strien | first = Nico J. }}</ref> นอกจากนี้แล้ว [[ไซเตส]]ได้จัดกระซู่อยู่ในบัญชีอนุรักษ์หมายเลข 1 และกระซู่เป็น[[สัตว์ป่าสงวน]]ของไทยตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า [[พ.ศ. 2535]]
การล่ากระซู่นั้นเป็นปัญหาน้อยกว่าการล่าแรดแอฟริกา (ในแง่ของจำนวนสัตว์ที่ถูกฆ่า) แต่ก็ยังน่าเป็นห่วงเพราะผู้ค้าชอบคาดว่าถ้ากระซู่สูญพันธุ์แล้วราคานอของกระซู่จะมีราคาสูงถึง $30,000 ต่อกิโลกรัม<ref name=Dinerstein/> เพราะความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พรานชาวยุโรปไม่ค่อยจะสนใจล่ากระซู่นักเพราะยากต่อการค้นหาและล่า (นักวิจัยในพื้นที่หนึ่งเสียเวลาไปเจ็ดสัปดาห์ในบังไพรใกล้โป่งโดยที่ไม่พบกระซู่เลย) นายพรานจึงมักใช้กับดักหอกหรือหลุมดัก ในคริสต์ทศวรรษ 1970 มีบันทึกถึงการใช้ชิ้นส่วนของแรดในประชากรของสุมาตรา เช่น ใช้นอทำเครื่องรางโดยมีความเชื่อผิดๆว่าป้องกันพิษได้ เนื้อแรดใช้เป็นยารักษาอาการ[[ท้องเสีย]] [[โรคเรื้อน]] และ [[วัณโรค]]
ป่าดิบชื้นในอินโดนีเซียและมาเลเซียซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของกระซู่นั้น เป็นเป้าหมายของอุตสาหกรรมป่าไม้ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมายเนื่องมาจากเป็นแหล่งไม้เนื้อแข็ง ไม้หายากอย่าง [[หลุมพอทะเล]] (merbau) ไม้สกุลสยา (meranti) และ ไม้สกุลขนุนนก (semaram) เป็นที่ต้องการในตลาดมีราคาถึง $1,800 ต่อ ม.<sup>3</sup> การบังคับใช้กฎหมายทำได้ยากเพราะมนุษย์อาศัยอยู่ในหรือใกล้เคียงกับป่าหลายแห่งเหมือนกับกระซู่ เหตุการณ์[[แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547]]เป็นการสนับสนุนให้เกิดการตัดไม้ครั้งใหม่ แม้ว่าไม้เนื้อแข็งในป่าดิบชื้นที่กระซู่อาศัยอยู่สำหรับตลาดนั้นได้กำหนดไว้แล้ว และการก่อสร้างในประเทศไม่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายนัก แต่จำนวนใบอนุญาตในการตัดไม้เหล่านี้กลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะ[[คลื่นสึนามิ]]<ref name="Habitat loss"/>
=== กระซู่ในกรงเลี้ยง ===
[[ไฟล์:
แม้จะหายาก แต่ก็มีการจัดแสดงกระซู่อยู่ในบางสวนสัตว์เกือบศตวรรษครึ่ง สวนสัตว์[[ลอนดอน]]ได้รับกระซู่ 2 ตัวในปี พ.ศ. 2415 หนึ่งในนั้นเป็นเพศเมียชื่อ บีกัม (''Begum'') จับได้ที่จิตตะกอง (Chittagong) ในปี พ.ศ. 2411 และมีชีวิตรอดได้ถึงปี พ.ศ. 2443 เป็นกระซู่ที่มีอายุมากที่สุดในกรงเลี้ยงที่มีบันทึกไว้ ในเวลาที่ได้รับกระซู่มานั้น ฟิลลิป สเคลเตอร์ (Philip Sclater) เลขานุการสมาคมสัตวศาสตร์แห่งลอนดอนอ้างว่ากระซู่ตัวแรกในสวนสัตว์เป็นกระซู่ที่อยู่ในสวนสัตว์[[ฮัมบูร์ก]]ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 ก่อนที่กระซู่ชนิดย่อย ''Dicerorhinus sumatrensis lasiotis'' จะสูญพันธุ์ มีกระซู่ชนิดนี้อย่างน้อย 7 ตัวในสวนสัตว์และโรงละครสัตว์<ref name=LitStud/> กระซู่มีสุขภาพและการเจริญเติบโตไม่ดีนักเมื่ออยู่นอกถิ่นอาศัยตามธรรมชาติ กระซู่ในสวนสัตว์[[โกลกาตา|กัลกัตตา]]ได้ให้กำเนิดลูกในปี พ.ศ. 2432 แต่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็ไม่มีลูกกระซู่เกิดในสวนสัตว์อีกเลย ในปี พ.ศ. 2515 กระซู่ตัวสุดท้ายในกรงเลี้ยงได้ตายลงที่สวนสัตว์[[โคเปนเฮเกน]]<ref name=LitStud/> ประเทศไทยเองก็เคยนำกระซู่เพศเมียมาจัดแสดงที่สวนสัตว์ดุสิต โดยได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซีย มีชื่อว่า ''ลินจง'' แต่ตายไปในปี พ.ศ. 2529<ref>The Star, 1986. "Rare rhino dies in Bangkok." Saturday, November 22 nd, 1986. Kuala Lumpur</ref><ref>L. C. Rookmaaker,Heinz-Georg Klös, "The rhinoceros in captivity", pp.135</ref>
ถึงแม้ว่าการขยายพันธุ์กระซู่ในกรงเลี้ยงจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ในตอนต้นของคริสต์ทศวรรษ 1980 องค์กรได้เริ่มโปรแกรมขยายพันธุ์กระซู่อีกครั้ง ในระหว่างปี พ.ศ. 2527-2539 โปรแกรมการอนุรักษ์ ''[[ex situ]]'' ได้จับกระซู่จำนวน 40 ตัวจากถิ่นอาศัยและส่งไปตามสวนสัตว์และเขตสงวนทั่วโลก ขณะที่ความหวังในตอนเริ่มโปรแกรมมีสูงมาก และได้มีการศึกษาถึงพฤติกรรมกระซู่ในกรงเลี้ยงมากมาย แต่เมื่อถึงตอนปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 ไม่มีกระซู่ในโปรแกรมให้กำเนิดลูกแม้แต่ตัวเดียว ในปี พ.ศ. 2540 กลุ่มเชี่ยวชาญพิเศษในแรดเอเชียของ [[IUCN]] ได้เข้ามารับรอง ประกาศถึงความล้มเหลวว่า แม้อัตราการตายเป็นที่ยอมรับได้ แต่ไม่มีลูกกระซู่เกิดขึ้นมาเลย และมีกระซู่ตายถึง 20 ตัว<ref name=Dinerstein/><ref name=Foose/>
มีกระซู่ 7 ตัวที่ถูกส่งไป[[สหรัฐอเมริกา]] (ที่เหลืออยู่ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) แต่เมื่อถึงปี พ.ศ. 2540 จำนวนกระซู่ก็เหลือเพียงแค่ 3 ตัวคือ เพศเมียที่สวนสัตว์[[ลอสแอนเจลิส]] เพศผู้ที่สวนสัตว์ซินซินนาติ และเพศเมียที่สวนสัตว์[[เดอะบร็องซ์|บร็องซ์]] ท้ายที่สุดก็ได้ย้ายกระซู่ทั้งสามมาอยู่ที่สวนสัตว์ซินซินนาติ หลังความพยายามที่ล้มเหลวเป็นปี เพศเมียจากลอสแอนเจลิส ''เอมี (Emi)'' ก็ตั้งท้องถึงหกครั้งกับเพศผู้ ''อีปุห์ (Ipuh)'' ห้าครั้งแรกจบลงด้วยความล้มเหลว แต่นักวิจัยได้เรียนรู้จากความล้มเหลวนั้น และด้วยการช่วยเหลือด้วยการบำบัดด้วยฮอร์โมนพิเศษ เอมีจึงให้กำเนิดลูกเพศผู้ที่ชื่อ ''อันดาลัส (Andalas)'' (คำในวรรณคดี[[ภาษาอินโดนีเซีย|อินโดนีเซีย]]ที่ใช้เรียก "[[สุมาตรา]]") ในเดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2544<ref name=CincZoo1>{{Cite web | url = http://www.cincinnatizoo.org/Conservation/GlobalConservation/SumatranRhino/BirthAnnouncement/Legacy/legacy.html | title = Andalas - A Living Legacy | work = [[Cincinnati Zoo]] | accessdate = 2007-11-04}}</ref>
}}</ref>
ทั้งที่การเพาะพันธุ์กระซู่ที่สวนสัตว์ซินซินนาติประสบผลสำเร็จ โปรแกรมการขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงก็ยังคงเป็นที่ขัดแย้งกันอยู่ ผู้เห็นด้วยให้เหตุผลว่าสวนสัตว์ได้ช่วยเหลือถึงความพยายามที่จะอนุรักษ์ด้วยการศึกษาพฤติกรรมการสืบพันธุ์ เพิ่มความตระหนักและการศึกษาในกระซู่ให้แก่สาธารณชน และช่วยเพิ่มแหล่งกองทุนสำหรับความพยายามที่จะอนุรักษ์กระซู่ในสุมาตรา ผู้คัดค้านกลับแย้งว่า มีการสูญเสียมากเกินไป โปรแกรมแพงเกินไป มีการเคลื่อนย้ายกระซู่จากถิ่นอาศัย แม้เพียงชั่วคราว มีการปรับเปลี่ยนบทบาททางนิเวศวิทยา และประชากรที่จับมาเข้าโปรแกรมไม่สมดุลกับอัตราการพบกระซู่ในถิ่นอาศัยทางธรรมชาติที่ได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี<ref name=Dinerstein/><ref name=Roth06/>
บรรทัด 151:
url = http://www.nhnz.tv/cat/forgottenrhino.html | work = [[NHNZ]] | accessdate = 2007-12-06}}</ref>
แม้ว่าจะมีรายงานถึงมูล และร่องรอย แต่รูปของกระซู่ใบแรกที่ถ่ายได้และแพร่หลายอย่างกว้างขวางโดยนักอนุรักษ์รุ่นใหม่ได้มาจากกับดักกล้องที่ถ่ายภาพกระซู่โตเต็มที่ แข็งแรง ในป่าของรัฐซาบาห์ใน[[มาเลเซียตะวันออก]]ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2549<ref name=NST7-2>{{Cite news | work = [[New Straits Times]] (Malaysia) | date = July 2, 2006 | title = Rhinos alive and well in the final frontier }}</ref>
ได้มีการรวบรวมนิทานพื้นบ้านเกี่ยวกับกระซู่โดยนักธรรมชาติวิทยาในสมัยล่าอาณานิคมและนายพรานตอนกลางของคริสต์ทศวรรษ 1800 ถึงตอนต้นของ[[คริสต์ทศวรรษ 1990]] ในพม่ามีความเชื่อกันอย่างแพร่หลายว่ากระซู่กันไฟ ตำนานได้ระบุบว่ากระซู่จะตามควันมาถึงกองไฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแคมป์ไฟ และจะโจมตีแคมป์ และมีชาวพม่าที่เชื่อว่าเวลาในการล่ากระซู่ที่ดีที่สุดคือเดือนกรกฎาคมเพราะกระซู่จะมาชุมนุมกันใต้ดวงจันทร์เต็มดวง ในมาลายามีคำบอกเล่าว่านอกระซู่กลวงเป็นโพรง สามารถใช้เป็นท่อสำหรับหายใจและฉีดน้ำ ในมาลายาและเกาะสุมาตรามีความเชื่อว่าแรดผลัดนอทุกปีและฝังมันไว้ใต้พื้นดิน ในเกาะบอร์เนียว มีคำบอกเล่าว่ากระซู่มีพฤติกรรมการกินเนื้อที่แปลก หลังจากขับถ่ายในลำธารแล้ว มันก็หันกินปลาที่มึนงงจากมูลของมัน<ref name=LitStud/>
|