ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ชีอะฮ์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Synthebot (คุย | ส่วนร่วม)
r2.7.3) (โรบอต เพิ่ม: ur:اہل تشیع
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม)
โรบอต: แก้คำผิด
บรรทัด 86:
หลักอีหม่าน ที่ได้รับจาก อะฮ์ลุลบัยต์นะบี
อิม่ามอาลี (อ) รายงาน عَنْ أَبَانَ بْنِ أَبِي عَيَّاشٍ عَنْ سُلَيْمِ بْنِ قَيْسٍ قاَلَ : سَمِعْتُ عَلِيَّ بْنَ أَبِي طَالِبٍ عَلَيْهِ السَّلَام وَسَأَلَهُ رَجُلٌ عَنِ الْإِيْماَنِ فَقاَلَ : يَا أَمِيرَ الْمُؤْمِنِينَ، أَخْبِرْنِي عَنْ الْإِيْمَانِ ، لَا أَسْأَلُ عَنْهُ أَحَدًا غَيْرَكَ وَلاَ بَعْدَكَ فَقَالَ عَلِىٌّ عَلَيْهِ السَّلاَمُ : جَاءَ رَجُلٌ إِلَى النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ وَسَأَلَهُ عَنْ مِثْلِ مَا سَأَلْتَنِى عَنْهُ ، فَقَالَ لَهُ مِثْلَ مَقاَلَتِكَ، فَأَخَذَ يُحَدِّثُهُ. ثُمَّ قَالَ لَهُ : اُقْعُدْ (بَعْضُ رِواَيَةٍ اِفْعَلْ). فَقَالَ لَهُ : آمَنْتُ. ثُمَّ أَقْبَلَ عَلِىٌّ عَلَيْهِ السَّلَام عَلَيَ الرَّجُلِ فَقَالَ : أَمَا عَلِمْتَ أَنَّ جِبْرَئِيلَ أَتَى رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ فِى صُورَةِ آدَمِىٍّ قَالَ لَهُ : مَا الْإِسْلَامُ فَقَالَ : شَهَادَةُ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ وَإِقَامُ الصَّلَاةِ وَإِيتَاءُ الزَّكَاةِ وَحَجُّ الْبَيْتِ وَصِيَامُ شَهْرِ رَمَضَانَ وَالغُسْلُ مِنْ الْجَنَابَةِ فَقَالَ : وَمَا الْإِيمَانُ قَالَ : تُؤْمِنُ بِاللَّهِ وَمَلَائِكَتِهِ وَكُتُبِهِ وَرُسُلِهِ وَبِالْحَيَاةِ بَعْدَ الْمَوْتِ وَبِالْقَدَرِ كُلِّهِ خَيْرِهِ وَشَرِّهِ وَحُلْوِهِ وَمُرِّهِ. فَلَمَّا قَامَ الرَّجُلُ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ : هَذاَ جِبْرَئِيلُ ، جاَءَكُمْ لِيُعَلِّمَكُمْ دِيْنَكُمْ . فَكَانَ كُلَّمَا قَالَ لَهُ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ شَيْئاً قاَلَ لَهُ : صَدَقْتَ قاَلَ : فَمَتَى السَّاعَةُ قَالَ : مَا الْمَسْئُولُ عَنْهَا بِأَعْلَمَ مِنْ السَّائِلِ قاَلَ : صَدَقْتَ อะบาน บิน อะบี อัยยาช รายงานจากสุลัยม์ บิน ก็อยส์(มรณะ ฮ.ศ.90)เล่าว่า ฉันได้ยินอิมามอาลี บิน อะบีตอลิบ(อ)เล่าว่า มีชายคนหนึ่งได้ถามอิมามเกี่ยวกับเรื่องอีหม่าน เขากล่าวว่า โอ้ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน จงบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องอีหม่าน ฉันไม่เคยถามมันกับผู้ใดนอกจากท่านและหลังจากท่าน อิมามอาลี(อ)ได้กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งไปหาท่านนะบี(ศ)แล้วเขาได้ถามเหมือนที่ท่านถามฉันถึงมัน แล้วเขาได้กล่าวกับท่าน(ศ)เหมือนคำพูดของท่านเลย ดังนั้นอิมามจึงเริ่มเล่าเรื่องให้เขาฟัง จากนั้นอิมามได้กล่าวกับเขาว่า จงนั่งลงสิ (บางรายงานกล่าวว่า จงปฏิบัติตามสิ่งที่ฉันจะกล่าวดังต่อไปนี้ เมื่อท่านได้ปฏิบัติมันแล้วท่านจะปลอดภัยเพราะอีหม่านคือการปฏิบัติ) เขากล่าวกับอิมามว่า ฉันเชื่อครับ แล้วอิมามอาลีได้หันมาหาชายคนนั้นพลางกล่าวว่า ท่านรู้ไหมว่า ญิบรออีลได้มาหาท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ในรูปมนุษย์ แล้วเขาได้กล่าวกับท่าน(ศ)ว่า อิสลาม ( ฟุรูอุดดีน ) คืออะไร ท่าน(ศ)ตอบว่า คือการปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และแท้จริงมุฮัมมัดคือศาสนฑูตของอัลลอฮ์ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ดำรงนมาซ จ่ายซะกาต ทำฮัจญ์ ถือศีลอดในเดือนรอมะฎอน และอาบน้ำฆุซุ่ลญินาบะฮ์ และญิบรออีลได้กล่าวว่า อีหม่าน ( อุซูลุดดีน ) คืออะไร ท่าน(ศ)ตอบว่า อีหม่านคือการที่ท่าน 1.ต้องศรัทธาต่ออัลลอฮ์ 2.มลาอิกะฮ์ของพระองค์ 3.บรรดาคัมภีร์ของพระองค์ 4.บรรดาศาสนฑูตศาสนทูตของพระองค์ 5.ต่อชีวิตหลังความตาย(คือวันสิ้นโลก) 6.และต้องศรัทธาต่อการกำหนดกฎสภาวะการณ์ทั้งหมดของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความดีและความชั่วของพระองค์ ความหวานและความขมของพระองค์ เมื่อชายคนนั้นได้ลุกจากไป ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้กล่าวว่า ชายคนนี้คือท่านญิบรออีล เขามาหาพวกท่านเพื่อสอน(หลักสำคัญของ)ศาสนาของพวกท่าน ให้กับพวกท่าน แล้วปรากฏว่าทุกครั้งที่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้ตอบสิ่งใดกับเขา เขาได้กล่าวกับท่าน(ศ)ว่า ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว ญิบรออีลได้ถามว่า เมื่อใดจะถึงวันกิยามะฮ์ ท่าน(ศ)ตอบว่า ผู้ถูกถามเกี่ยวกับมันนั้นไม่ได้มีความรู้มากไปกว่าผู้ที่ถามเลย ญิบรออีลได้กล่าวว่า ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว.
ดู กิตาบสุลัยม์ บิน ก็อยส์ อัลฮิลาลี บาบมะอ์นา อัลอิสลาม วัลอีหม่าน หน้า 87,88
อิม่ามอาลีรายงานจากท่านนะบี(ศ)ว่า อีหม่าน มี 6 ประการ 1. การศรัทธาต่ออัลลอฮ์ 2. มลาอิกะฮ์ของพระองค์ 3. บรรดาคัมภีร์ของพระองค์ 4. บรรดาศาสนฑูตศาสนทูตของพระองค์ 5. ต่อชีวิตหลังความตาย(คือวันสิ้นโลก) 6. กฎกำหนดสภาวะ ความดีและความชั่วของพระองค์
== อธิบายความหมายของ อีหม่าน 6 ประการ ==
บรรทัด 96:
1. ศรัทธา ใน พระเจ้าองค์เดียว คือ อัลลอฮ์ (ไม่ใช่ พระอ้าหล่า) อิสลามถือว่า ในสากลจักรวาลทั้งหลายมี พระเจ้าที่เที่ยงแท้ เพียงองค์เดียว เป็นผู้สร้างสากลจักรวาลและ เป็นผู้บริหารควบคุม โลกนี้มิใช่เกิดมาด้วยความบังเอิญ ถ้าเกิดมาโดยบังเอิญ มันจะมีระบบระเบียบแบบแผน ในการโคจรไม่ได้ โลก ดวงอาทิตย์ และ ดวง จันทร์ ได้หมุนโคจรอย่างมีระบบ รักษาตำแหน่งหน้าที่ของมัน อย่างคงเส้น คงวา นับเป็นเวลานานไม่รู้กี่ล้านปี โดยที่มันไม่เคยชนกันเลย นี่ต้องแสดงว่ามีผู้บริหาร และต้องมีผู้ควบคุมมัน
2. ศรัทธาในบรรดามลาอิกะฮ์ของพระองค์ มลาอิกะฮ์ คือ ผู้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่าง พระผู้เป็นเจ้า กับ ศาสดา ทั้งหลาย เพื่อจะได้ให้ ศาสดาดังกล่าวได้รับวิวรณ์จากอัลลอฮ์ มนุษย์เราแม้จะมีปัญญาสักปานใดก็ตาม ก็ต้องอาศัยสื่อภายนอกด้วยเหมือนกัน เช่น มนุษย์นั้น แม้จะมีสายตาดีสักเพียงใดก็ตาม เขาก็ไม่สามารถมองเห็นวัตถุใดๆ ได้เลยถ้าหากไม่มีแสงสว่างเป็นสื่อ คำว่า มลาอิกะฮ์ หาคำศัพท์แปลเป็นภาษาไทยไม่ได้ มลาอิกะฮ์ เป็นนามธรรม ไม่ใช่ เทวฑูตเทวทูต เทวดา หรือ ฑูตสวรรค์ทูตสวรรค์ แต่ในศาสนาอิสลาม ถือว่า มลาอิกะฮ์ ไม่มีเพศ ไม่ขัดขืนคำสั่งของอัลลอฮ์ ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่หลับ ไม่นอน มลาอิกะฮ์คือ อำนาจแห่งความดี ส่วนอำนาจแห่งความชั่วนั้นคือ ชัยฎอน หรือซาตาน หรือ มาร นั่นเอง ดังนั้น มลาอิกะฮ์ จึงไม่ใช่ เทวดา และ นางฟ้า
3.ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ ทั้งหลายของพระองค์ มุสลิมต้องเชื่อถือ ต้นฉบับดั้งเดิมของคัมภีร์ทั้งหลายทุกๆเล่มในอดีตรวมทั้งอัลกุรอานด้วย ทั้งนี้โดยมีเงื่อนไขว่า คัมภีร์เหล่านั้นต้องเป็น วะห์ยู(ได้รับการดลใจ) มาจากอัลลอฮ์และ ต้องมีเนื้อหาสาระตรงกับอัลกุรอาน มุสลิมต้องเชื่อถือ ในส่วนบริสุทธิของคัมภีร์เท่านั้น อิสลามถือว่า คัมภีร์ที่สมบูรณ์ที่สุด และเป็นคัมภีร์สุดท้ายคือ อัลกุรอาน ซึ่งได้ถูกประกาศใช้ต่อมวลมนุษย์ชาติทั้งหลาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและ ความสันติสุข แก่มวลมนุษย์ทุกคน
4.ศรัทธาในบรรดานะบี(ศาสดา)ทั้งหลาย มุสลิมทุกคน ต้องยอมรับนับถือศาสดาทั้งหลายที่มาเทศนานับตั้งแต่นะบีอาดัม(อ)จนถึงนะบีมุฮัมมัด(ศ) ไม่ว่าศาสดาเหล่านั้นจะปรากฎปรากฏชื่ออยู่ในคัมภีร์อัลกุรอานหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่า ศาสดาเหล่านั้น จะเป็นชนชาติใด อยู่ที่ไหน พูดภาษาอะไร ก็ตามมุสลิม ต้องให้เกียรติ ยกย่องศาสดาเหล่านั้น อย่างเท่าเทียมกันหมด นะบีมุฮัมมัด(ศ)เป็นศาสดาสุดท้ายของโลก ที่มารับภารกิจต่อจากศาสดาก่อนๆที่เชิญชวนมนุษย์ให้รู้จักพระเจ้า และดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์ ท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)ได้กล่าวว่า หลังจากท่านแล้วจะไม่มีศาสดาเกิดขึ้นมาอีกเพราะถือว่า ท่านได้นำคำสอน หรือ แนวทางแห่งการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์มาสู่มนุษย์ชาติแล้ว ก่อนที่ท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)จะจากไป ท่านได้ประกาศแต่งตั้ง อาลี บิน อะบีตอลิบ ให้เป็นผู้ปกครองบรรดามุสลิมสืบต่อจากท่านไว้ที่ เฆาะดีรคุม ประเทศซาอุดิอารเบีย และท่าน(ศ)ยังได้ประกาศว่าผู้ปกครองที่สืบต่อจากท่านนั้นมีสิบสองคน โดยท่านได้ระบุรายชื่อพวกเขาเอาไว้อย่างชัดเจน หลังจากท่านนะบี(ศ)เสียชีวิต มุสลิมกลุ่มหนึ่งจึงถือว่าเรื่อง อิมามะฮ์ หรือ คอลีฟะฮ์นั้นเป็นสิทธิของท่านอาลีเท่านั้น ท่านนะบี(ศ)ได้เรียกชื่อมุสลิมกลุ่มนี้ว่า ชีอะฮ์อาลี
5. ศรัทธาในวันสุดท้าย และ การเกิดใหม่ ใน วันปรโลก อิสลามถือว่า โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ เป็นเพียงวัตถุธาตุชิ้นหนึ่ง ซึ่งต้องมีการแตกสลายเหมือนๆกับวัตถุหรือสิ่งอื่นๆ แน่นอนโลกของเรา ต้องถึงจุดจบไม่วันใดก็วันหนึ่ง เมื่อโลกแตกสลายแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับสิ้น เว้นแต่ อัลลอฮ์เท่านั้นที่ยังดำรงอยู่ และมนุษย์ทั้งหลาย ก็จะไปฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้งในโลกหน้า แต่จะไปเกิดในสภาพใดนั้นไม่มีมนุษย์ผู้ใดรู้ได้ การฟื้นขึ้นใหม่อีกในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะให้มนุษย์รับผลตอบแทนตามที่เขาได้กระทำไว้เมื่อครั้งที่เขา ยังมีชีวิตอยู่ ผลงานของเขาในโลกนี้ จะเป็นตัวกำหนด ว่าเขาจะเป็นผู้ได้รับสวรรค์ หรือ นรก ไม่มีใครช่วยใครได้ ไม่มีการกลับชาติมาเกิด ถ้าเราไม่เชื่อในเรื่องการฟื้นขึ้นใหม่แล้ว สังคมของเราก็จะสับสนปั่นป่วนวุ่นวาย หาความสงบสุขไม่ได้ ดังเช่น พวกอาหรับ ในยุคญาฮิลียะฮ์ (ยุคแห่งอวิชาและป่าเถื่อน) ซึ่งเชื่อว่าเมื่อพวกเขาเกิดมาแล้วก็ตายไป คือตายแล้วศูนย์ เหมือนดังสัตว์อื่นๆ ความดี ความชั่ว ที่เขาได้กระทำมานั้น ไม่มีการตอบแทนใดๆทั้งสิ้น ดังนั้น พวกเขาจึงใช้ชีวิตความเป็นอยู่ ไปในทางชั่วช้าทุกรูปแบบ จนสร้างความเสียหายปั่นป่วนให้แก่สังคมเป็นอย่างยิ่ง
เข้าถึงจาก "https://th.wikipedia.org/wiki/ชีอะฮ์"