ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สิทธิสตรี"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
NT newthana (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 9:
=== ประเทศจีน ===
สถานะของผู้หญิงในประเทศจีนอยู่ในสถานะที่ต่ำ โดยส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุมาจากขนบธรรมเนียมประเพณีเท้าดอกบัว (foot binding) ผู้หญิงชาวจีนคิดเป็นร้อยละ 45 มีเท้าดอกบัวในช่วงศตวรรษที่ 19 ในระดับชนชั้นที่สูงขึ้นพบว่ามีเท้าดอกบัวเกือบ 100% ในปี ค.ศ. 1912 รัฐบาลจีนสั่งให้มีการสิ้นสุดการมีเท้าดอกบัว เท้าดอกบัวมีส่วนสัมพันธ์กับโครงสร้างกระดูกเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เท้ามีความยาวเพียงแค่ประมาณ 4 นิ้ว เท้าดอกบัวก่อให้เกิดความยากลำบากในการเคลื่อนไหวดังนั้นจึงทำให้การทำกิจกรรมต่างๆของสตรีมีจำกัด
มีขนบธรรมเนียมประเพณีทางสังคม คือ ผู้ชายและผู้หญิงไม่ควรอยู่ใกล้กัน ดังนั้นหญิงชาวจีนจึงมีความลังเลในการเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ชายที่มีการรักษาตามแบบการแพทย์แผนตะวันตก สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดความต้องการแพทย์หญิงอย่างมากในการให้การรักษาตามแบบการแพทย์แผนตะวันตกในประเทศจีน ดังนั้นมิชชันนารีชาวอเมริกันจากคณะอเมริกันบอร์ดจากโบสถ์เพรสบีเทอเรียน (Presbyterian Church) จึงได้ส่งตัวแพทย์หญิงมิชชันนารี ด็อกเตอร์ Mary H. Fulton (ในปี ค.ศ. 1854-1927)<ref> http://www.amazon.com/Inasmuch-Mary-H-Fulton/dp/1140341804 </ref> เพื่อไปก่อตั้งวิทยาลัยแพทยศาสตร์แห่งแรกสำหรับสตรีในประเทศจีน วิทยาลัยนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม Hackett Medical College for Women [4][5]<ref> http://www.hkbu.edu.hk/~libimage/theses/abstracts/b15564174a.pdf </ref><ref> http://www.cqvip.com/qk/83891A/200203/6479902.html </ref> วิทยาลัยนี้ตั้งอยู่ในนครกว่างโจว (Guangzhou) ประเทศจีนและได้รับเงินบริจาคจำนวนมากจากคุณ Edward A.K. Hackett (ในปี ค.ศ. 1851-1916) จากรัฐอินดีแอนา (Indiana) ประเทศสหรัฐอเมริกา วิทยาลัยนี้มุ่งหวังในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์และการแพทย์แผนปัจจุบันและการยกระดับสถานะทางสังคมของหญิงชาวจีน[6][7]<ref name="RebeccaChan"> Rebecca Chan Chung, Deborah Chung and Cecilia Ng Wong, "Piloted to Serve", 2012 </ref><ref name="facebook"> https://www.facebook.com/PilotedToServe </ref>
 
=== ประเทศกรีซ (Greece) ===
 
สถานภาพของสตรีในกรีซโบราณมีความแตกต่างกันจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง มีการบันทึกเกี่ยวกับสตรีในเมืองโบราณต่างๆในประเทศกรีซ เช่น เดลฟี (Delphi) กอร์ไทน์ (Gortyn) เทสซาลี (Thessaly) เมการา (Megara) และสปาร์ตา (Sparta) ในการที่สตรีเป็นเจ้าของที่ เป็นสิ่งที่มีเกียรติมากที่สุดของการมีทรัพย์สมบัติส่วนตัวในช่วงเวลานั้น [8]<ref>{{Cite book| last = Gerhard| first = Ute| title = Debating women’s equality: toward a feminist theory of law from a European perspective| publisher = Rutgers University Press| year = 2001| page = 33| url = http://books.google.com/?id=XMohyLfGDDsC&dq=women+right+to+property| isbn = 978-0-8135-2905-9}}</ref>
ในนครรัฐเอเธนส์ (Athens) สมัยโบราณ สตรีไม่มีความเป็นมนุษย์ตามกฎหมายและถือว่าเป็นอย่างส่วนหนึ่งของ oikos (ภาษากรีก ซึ่งแปลว่า “บ้าน” หรือ “ที่อยู่ศัย”) ผู้ชายเป็นอย่างผู้นำ เป็นอย่าง kyrios (ภาษากรีก ซึ่งแปลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า”) ผู้หญิงจะอยู่ภายใต้การปกครองของบิดาตนหรือญาติคนอื่นซึ่งเป็นเพศชายจนกว่าจะมีการแต่งงาน และเมื่อมีการแต่งงานไปสามีจะกลายมาเป็นพระเจ้าของตน ผู้หญิงถูกห้ามจากการมีส่วนในกระบวนการพิจารณาตามกฎหมาย (legal proceedings) แต่ผู้ชายที่มีฐานะเป็นอย่างพระเจ้าสามารถทำสิ่งดังกล่าวได้ในนามของตน[9]
ผู้หญิงแห่งนครเอเธนส์มีสิทธิจำกัดในทรัพย์สิน ดังนั้นจึงไม่ถือว่ามีความพลเมืองอย่างเต็มที่ เนื่องจากว่าคำว่า ความเป็นพลเมือง (citizenship) และการมีสิทธิ์ (entitlement)ในเรื่องพลเมืองและการเมืองมีความหมายสัมพันธ์กับทรัพย์สินและวิถีต่างๆในชีวิต[10] แต่อย่างไรก็ตามผู้หญิงสามารถได้รับสิทธิในทรัพย์สินจากของขวัญ สินสมรส (dowry) และมรดก (inheritance) แม้ว่าผู้ชายซึ่งเป็นพระเจ้าของตนมีสิทธิในการนำทรัพย์สินของผู้หญิงออกไป[11] ผู้หญิงแห่งนครเอเธนส์สามารถมีส่วนในการทำสัญญาซึ่งมีค่าน้อยกว่า “หน่วยวัดปริมาตร medimnos ของข้าวบาร์เล่ย์ ” (medimnos เป็นภาษากรีก ซึ่งเป็นหน่วยวัดปริมาณของข้าว) การมีสิทธิในการทำสัญญานี้ช่วยให้ผู้หญิงมีส่วนในการค้าย่อย (petty trading) [9] ผู้หญิงซึ่งเป็นอย่างทาสไม่มีคุณสมบัติในการเป็นพลเมืองที่เต็มที่ในนครเอเธนส์สมัยโบราณแม้ว่าในบางสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนานๆครั้งที่ผู้หญิงสามารถกลายมาเป็นพลเมืองได้ถ้าได้รับอิสรภาพ ดังนั้น เครื่องกีดกันที่ถาวรเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นในความเป็นพลเมือง การมีสิทธิพลเมืองและสิทธิการเมืองได้อย่างเต็มที่ คือ เรื่องเพศ ในนครเอเธนส์สมัยโบราณไม่มีผู้หญิงคนใดเคยได้รับความเป็นพลเมือง ดังนั้นในเชิงหลักการและเชิงปฏิบัติ ผู้หญิงไม่ได้รับการพิจารณารวมอยู่ในการปกครองแบบประชาธิปไตยแห่งนครเอเธนส์ในสมัยโบราณ[12]
 
ในนครรัฐเอเธนส์ (Athens) สมัยโบราณ สตรีไม่มีความเป็นมนุษย์ตามกฎหมายและถือว่าเป็นอย่างส่วนหนึ่งของ oikos (ภาษากรีก ซึ่งแปลว่า “บ้าน” หรือ “ที่อยู่ศัย”) ผู้ชายเป็นอย่างผู้นำ เป็นอย่าง kyrios (ภาษากรีก ซึ่งแปลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า”) ผู้หญิงจะอยู่ภายใต้การปกครองของบิดาตนหรือญาติคนอื่นซึ่งเป็นเพศชายจนกว่าจะมีการแต่งงาน และเมื่อมีการแต่งงานไปสามีจะกลายมาเป็นพระเจ้าของตน ผู้หญิงถูกห้ามจากการมีส่วนในกระบวนการพิจารณาตามกฎหมาย (legal proceedings) แต่ผู้ชายที่มีฐานะเป็นอย่างพระเจ้าสามารถทำสิ่งดังกล่าวได้ในนามของตน[9]<ref name="google114">{{Cite book| last = Blundell| first =Sue| title = Women in ancient Greece, Volume 1995, Part 2| publisher = Harvard University Press| year = 1995| page = 114| url = http://books.google.com/?id=Xfx1VaSIOgQC&printsec=frontcover&dq=women+ancient+greece#v=onepage&q=women%20athens&f=false| isbn = 978-0-674-95473-1}}</ref>
ในทางตรงกันข้าม ผู้หญิงแห่งเมืองสปาร์ตามีความสุขกับสถานะ อำนาจ และการไม่เป็นที่รู้จักในโลกคลาสสิก แม้ว่าผู้หญิงแห่งเมืองสปาร์ตาไม่ได้รับเลือกให้เข้ารับราชการทหารและถูกคัดออกจากการมีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ผู้หญิงเหล่านี้ก็มีความสุขในฐานะที่เป็นมารดาของนักรบชาวเมืองสปาร์ตา ขณะที่ผู้ชายมีส่วนร่วมในราชการทหาร ผู้หญิงจะทำหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการเรื่องทรัพย์สินที่ดิน ในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราชผู้หญิงชาวเมืองนี้จะติดตามสวัสดิการยืดเยื้อ เป็นเจ้าของที่ดินเมืองสปาร์ตาและทรัพย์สินทั้งหมด คิดเป็นประมาณ 35% ถึง 40%[13][14] ภายในสมัยเฮเลนนิสติค (Hellenistic period) ชาวเมืองสปาร์ตาที่มีความมั่งคั่งที่สุดจำนวนหนึ่งเป็นผู้หญิง[15] ผู้หญิงควบคุมทรัพย์สินของตนทั้งหมดรวมไปถึงทรัพย์สินของญาติซึ่งเป็นเพศชายซึ่งออกไปกองทัพ[13] การที่ผู้หญิงชาวเมืองสปาร์ตาแต่งงานก่อนอายุ 20 ปีนั้นหาได้ยาก ผู้หญิงชาวเมืองสปาร์ตาแตกต่างจากผู้หญิงชาวเมืองเอเธนส์ ผู้หญิงชาวเมืองเอเธนส์สวมใส่เสื้อผ้าที่หนักและปกปิดร่างกายและไม่ค่อยพบผู้หญิงเหล่านี้นอกบ้าน ส่วนผู้หญิงชาวเมืองสปาร์ตาสวมชุดกระโปรงสั้นและไปในสถานที่ที่ตนอยากไป[16] เด็กผู้หญิงได้รับการศึกษาเช่นเดียวกับเด็กผู้ชายและหญิงสาวมีส่วนร่วมใน Gymnopaedia ("เทศกาลเปลือยกายของหนุ่ม Nude Youths")เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่มีส่วนร่วม[13][17]
ผู้หญิงแห่งนครเอเธนส์มีสิทธิจำกัดในทรัพย์สิน ดังนั้นจึงไม่ถือว่ามีความพลเมืองอย่างเต็มที่ เนื่องจากว่าคำว่า ความเป็นพลเมือง (citizenship) และการมีสิทธิ์ (entitlement)ในเรื่องพลเมืองและการเมืองมีความหมายสัมพันธ์กับทรัพย์สินและวิถีต่างๆในชีวิต[10]<ref>{{Cite book| last = Gerhard| first = Ute| title = Debating women’s equality: toward a feminist theory of law from a European perspective| publisher = Rutgers University Press| year = 2001| page = 35| url = http://books.google.com/?id=XMohyLfGDDsC&dq=women+right+to+property| isbn = 978-0-8135-2905-9}}</ref> แต่อย่างไรก็ตามผู้หญิงสามารถได้รับสิทธิในทรัพย์สินจากของขวัญ สินสมรส (dowry) และมรดก (inheritance) แม้ว่าผู้ชายซึ่งเป็นพระเจ้าของตนมีสิทธิในการนำทรัพย์สินของผู้หญิงออกไป[11]<ref>{{Cite book| last = Blundell| first =Sue| title = Women in ancient Greece, Volume 1995, Part 2| publisher = Harvard University Press| year = 1995| page = 115| url = http://books.google.com/?id=Xfx1VaSIOgQC&printsec=frontcover&dq=women+ancient+greece#v=onepage&q=women%20athens&f=false| isbn = 978-0-674-95473-1}}</ref> ผู้หญิงแห่งนครเอเธนส์สามารถมีส่วนในการทำสัญญาซึ่งมีค่าน้อยกว่า “หน่วยวัดปริมาตร medimnos ของข้าวบาร์เล่ย์ ” (medimnos เป็นภาษากรีก ซึ่งเป็นหน่วยวัดปริมาณของข้าว) การมีสิทธิในการทำสัญญานี้ช่วยให้ผู้หญิงมีส่วนในการค้าย่อย (petty trading) [9]<ref name="google114"/> ผู้หญิงซึ่งเป็นอย่างทาสไม่มีคุณสมบัติในการเป็นพลเมืองที่เต็มที่ในนครเอเธนส์สมัยโบราณแม้ว่าในบางสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนานๆครั้งที่ผู้หญิงสามารถกลายมาเป็นพลเมืองได้ถ้าได้รับอิสรภาพ ดังนั้น เครื่องกีดกันที่ถาวรเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นในความเป็นพลเมือง การมีสิทธิพลเมืองและสิทธิการเมืองได้อย่างเต็มที่ คือ เรื่องเพศ ในนครเอเธนส์สมัยโบราณไม่มีผู้หญิงคนใดเคยได้รับความเป็นพลเมือง ดังนั้นในเชิงหลักการและเชิงปฏิบัติ ผู้หญิงไม่ได้รับการพิจารณารวมอยู่ในการปกครองแบบประชาธิปไตยแห่งนครเอเธนส์ในสมัยโบราณ[12]<ref>{{Cite book| last = Robinson| first = Eric W.| title = Ancient Greek democracy: readings and sources| publisher = Wiley-Blackwell| year = 2004| page = 302| url = http://books.google.com/?id=Jug6crxEImIC&dq=Aristophanes+ecclesiazusae+women%27s+rights| isbn = 978-0-631-23394-7 }}</ref>
ในทางตรงกันข้าม ผู้หญิงแห่งเมืองสปาร์ตามีความสุขกับสถานะ อำนาจ และการไม่เป็นที่รู้จักในโลกคลาสสิก แม้ว่าผู้หญิงแห่งเมืองสปาร์ตาไม่ได้รับเลือกให้เข้ารับราชการทหารและถูกคัดออกจากการมีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ผู้หญิงเหล่านี้ก็มีความสุขในฐานะที่เป็นมารดาของนักรบชาวเมืองสปาร์ตา ขณะที่ผู้ชายมีส่วนร่วมในราชการทหาร ผู้หญิงจะทำหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการเรื่องทรัพย์สินที่ดิน ในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราชผู้หญิงชาวเมืองนี้จะติดตามสวัสดิการยืดเยื้อ เป็นเจ้าของที่ดินเมืองสปาร์ตาและทรัพย์สินทั้งหมด คิดเป็นประมาณ 35% ถึง 40%[13][14]<ref name="Pomeroy"/><ref>{{Cite book| last = Tierney| first = Helen| title = Women’s studies encyclopaedia, Volume 2| publisher = Greenwood Publishing Group| year = 1999| pages = 609–610| url = http://books.google.com/?id=2bDxJW3x4f8C&dq=spartan+women| isbn = 978-0-313-31072-0}}</ref> ภายในสมัยเฮเลนนิสติค (Hellenistic period) ชาวเมืองสปาร์ตาที่มีความมั่งคั่งที่สุดจำนวนหนึ่งเป็นผู้หญิง<ref>Pomeroy, Sarah B. ''Spartan Women.'' Oxford University Press, 2002. p. 137 [15http://books.google.com/books?id=c3k2AN1GulYC&printsec=frontcover&dq=Pomeroy+Sarah&hl=en&ei=6bFNTc6xPJHAsAOpqeSaCg&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=2&ved=0CCwQ6AEwAQ#v=onepage&q=ethnicity&f=false]</ref> ผู้หญิงควบคุมทรัพย์สินของตนทั้งหมดรวมไปถึงทรัพย์สินของญาติซึ่งเป็นเพศชายซึ่งออกไปกองทัพ[13]<ref name="Pomeroy">Pomeroy, Sarah B. ''Goddess, Whores, Wives, and Slaves: Women in Classical Antiquity''. New York: Schocken Books, 1975. p. 60-62</ref> การที่ผู้หญิงชาวเมืองสปาร์ตาแต่งงานก่อนอายุ 20 ปีนั้นหาได้ยาก ผู้หญิงชาวเมืองสปาร์ตาแตกต่างจากผู้หญิงชาวเมืองเอเธนส์ ผู้หญิงชาวเมืองเอเธนส์สวมใส่เสื้อผ้าที่หนักและปกปิดร่างกายและไม่ค่อยพบผู้หญิงเหล่านี้นอกบ้าน ส่วนผู้หญิงชาวเมืองสปาร์ตาสวมชุดกระโปรงสั้นและไปในสถานที่ที่ตนอยากไป<ref>Pomeroy, Sarah B. ''Spartan Women.'' Oxford University Press, 2002. p. 134 [16http://books.google.com/books?id=c3k2AN1GulYC&printsec=frontcover&dq=Pomeroy+Sarah&hl=en&ei=6bFNTc6xPJHAsAOpqeSaCg&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=2&ved=0CCwQ6AEwAQ#v=onepage&q=ethnicity&f=false]</ref> เด็กผู้หญิงได้รับการศึกษาเช่นเดียวกับเด็กผู้ชายและหญิงสาวมีส่วนร่วมใน Gymnopaedia ("เทศกาลเปลือยกายของหนุ่ม Nude Youths")เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่มีส่วนร่วม[13][17]<ref name="Pomeroy"/><ref>{{Harvnb|Pomeroy|2002|p=34}}</ref>
 
เพลโต(Plato)ทราบว่าการให้สิทธิการเมืองและพลเมืองแก่ผู้หญิงจะเปลี่ยนแปลงลักษณะของทั่วไปของครอบครัวและรัฐไปอย่างมาก[18] อริสโตเติลซึ่งได้รับคำสอนจากเพลโต อริสโตเติลได้ปฏิเสธเรื่องที่ว่าผู้หญิงคือทาสหรือขึ้นอยู่กับทรัพย์สิน อริสโตเติลแย้งว่า “ธรรมชาติได้แยกความแตกต่างระหว่างผู้หญิงและทาส” แต่อริสโตเติลคิดว่าภรรยาเป็นอย่าง “สิ่งที่ซื้อมา” อริสโตเติลแย้งว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักของผู้หญิง คือ การทำหน้าที่ดูแลทรัพย์สินภายในบ้านที่ผู้ชายได้หามา จากการติดตามแนวคิดของอริสโตเติล แรงงานผู้หญิงไม่มีค่าเนื่องจาก “ศิลปะในการจัดการบ้านเรือน” ไม่มีความคล้ายคลึงกับศิลปะในการสร้างความร่ำรวยมั่งคั่ง เนื่องจากว่าเป็นบุคคลที่ใช้สิ่งซึ่งอีกฝ่ายสร้างขึ้น”[19]