ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แถบดาวเคราะห์น้อย"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
สผ่าน (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ย้อนการแก้ไขที่ 4452085 สร้างโดย สผ่าน (พูดคุย)
บรรทัด 1:
{{บทความคัดสรร}}
{{บทความคัดสรรกนั้น ชิ้นส่วนดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ยังแตกสลายลง เกิดเป็นกลุ่ม[[ตระกูลดาวเคราะห์น้อย]]ที่มีองค์ประกอบธาตุและวงโคจรใกล้เคียงกัน การแตกสลายทำให้เกิดเศษฝุ่นละเอียดขึ้นซึ่งกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิด[[แสงจักรราศี|แสงในแนว]][[จักรราศี]] ดาวเคราะห์น้อยแต่ละชิ้นในแถบดาวเคราะห์น้อยจะจัดแบ่งกลุ่มโดยแยกตามการสะท้อนแสง โดยหลักแล้วมีสามกลุ่มได้แก่ กลุ่ม[[คาร์บอน]] (C-type) กลุ่ม[[ซิลิกา]] (S-type) และกลุ่ม[[โลหะ]] (M-type)
[[ไฟล์:Asteroid Belt.jpg|thumb|300px|ภาพกราฟิกแสดงอาณาเขตของแถบดาวเคราะห์น้อย]]
'''แถบดาวเคราะห์น้อย''' ({{lang-en|Asteroid belt}}) เป็นบริเวณใน[[ระบบสุริยะ]]ที่อยู่ระหว่าง[[วงโคจร]]ของ[[ดาวอังคาร]] กับ[[ดาวพฤหัสบดี]] ประกอบไปด้วยก้อนหินจำนวนมากลอยเกาะกลุ่มกันเป็นแถบ เรียกหินเหล่านี้ว่า [[ดาวเคราะห์น้อย]] หรือ [[ดาวเคราะห์แคระ]] บางครั้งก็เรียกแถบดาวเคราะห์น้อยว่า "แถบหลัก" เพื่อแยกแยะมันออกจากแถบดาวเคราะห์แคระอื่นๆ ที่มีอยู่ในระบบสุริยะ เช่น[[แถบไคเปอร์]] และ[[แถบหินกระจาย]]
 
[[มวล]]กว่าครึ่งหนึ่งของแถบดาวเคราะห์น้อยอยู่ในวัตถุขนาดใหญ่ 4 ชิ้น ได้แก่ [[ซีรีส]], [[4 เวสต้า]], [[2 พัลลัส]] และ [[10 ไฮเจีย]] ทั้งสี่ชิ้นนี้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 400 กิโลเมตร สำหรับซีรีสซึ่งถือเป็น[[ดาวเคราะห์แคระ]]เพียงดวงเดียวในแถบดาวเคราะห์น้อย มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 950 กิโลเมตร<ref name="ast1">Krasinsky, G. A.; Pitjeva, E. V.; Vasilyev, M. V.; Yagudina, E. I. (July 2002). [http://adsabs.harvard.edu/abs/2002Icar..158...98K "Hidden Mass in the Asteroid Belt"]. Icarus 158 (1): 98–105. doi:10.1006/icar.2002.6837.</ref><ref name="ast2">Pitjeva, E. V. (2005). [http://iau-comm4.jpl.nasa.gov/EPM2004.pdf "High-Precision Ephemerides of Planets—EPM and Determination of Some Astronomical Constants" (PDF)]. Solar System Research 39 (3): 176. doi:10.1007/s11208-005-0033-2.</ref><ref name="ast3">For recent estimates of the masses of Ceres, 4 Vesta, 2 Pallas and 10 Hygiea, see the references in the infoboxes of their respective articles.</ref><ref name="ast4">Yeomans, Donald K. (July 13, 2006). [http://ssd.jpl.nasa.gov/sbdb.cgi JPL Small-Body Database Browser]. NASA JPL. Retrieved on 2007-04-25.</ref> ส่วนที่เหลือมีขนาดลดหลั่นกันลงไปจนถึงเศษฝุ่น ชิ้นส่วนในแถบดาวเคราะห์น้อยกระจายอยู่อย่างเบาบางจนกระทั่ง[[ยานอวกาศ]]หลายลำสามารถแล่นผ่านไปได้โดยไม่ชนกับอะไรเลย นอกจากนั้น ชิ้นส่วนดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ยังแตกสลายลง เกิดเป็นกลุ่ม[[ตระกูลดาวเคราะห์น้อย]]ที่มีองค์ประกอบธาตุและวงโคจรใกล้เคียงกัน การแตกสลายทำให้เกิดเศษฝุ่นละเอียดขึ้นซึ่งกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิด[[แสงจักรราศี|แสงในแนว]][[จักรราศี]] ดาวเคราะห์น้อยแต่ละชิ้นในแถบดาวเคราะห์น้อยจะจัดแบ่งกลุ่มโดยแยกตามการสะท้อนแสง โดยหลักแล้วมีสามกลุ่มได้แก่ กลุ่ม[[คาร์บอน]] (C-type) กลุ่ม[[ซิลิกา]] (S-type) และกลุ่ม[[โลหะ]] (M-type)
 
แถบดาวเคราะห์น้อยเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของ[[เนบิวลา]][[ระบบสุริยะ]]ในยุคเริ่มต้น ซึ่งเตรียมจะก่อตัวขึ้นเป็น[[ดาวเคราะห์]] แต่เนื่องจากตกอยู่ระหว่างวงโคจรของ[[ดาวอังคาร]]กับ[[ดาวพฤหัสบดี]] [[แรงโน้มถ่วง]]ขนาดสูงของดาวเคราะห์ยักษ์ทำให้ชิ้นส่วนกำเนิดดาวเคราะห์มีพลังงานในการโคจรสูงเกินไปจนไม่สามารถรวมตัวกันขึ้นเป็นดาวเคราะห์ได้ นอกจากนี้ยังเกิดการกระทบอย่างรุนแรง ซึ่งแทนที่ชิ้นส่วนเหล่านั้นจะรวมเข้าด้วยกัน กลับยิ่งแตกกระจัดกระจาย ด้วยเหตุนี้มวลส่วนใหญ่ในแถบดาวเคราะห์น้อยจึงมลายหายไปนับแต่ยุคเริ่มต้นของระบบสุริยะ บางชิ้นส่วนอาจหลุดรอดเข้ามายังระบบสุริยะชั้นในและพุ่งเข้าชนดาวเคราะห์ชั้นในกลายเป็น[[สะเก็ดดาว]] วงโคจรของแถบดาวเคราะห์น้อยยังคงถูกรบกวนอยู่เสมอ ในบางครั้งวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ของมันบังเอิญไปสอดคล้องกับวงโคจรของดาวพฤหัสบดี ทำให้ชิ้นส่วนจำนวนหนึ่งถูกพัดพาข้าม[[ช่องว่างเคิร์กวูด]]ไปยังวงโคจรอีกระดับหนึ่ง
เส้น 5 ⟶ 9:
== ประวัติการสังเกตการณ์ ==
[[ไฟล์:Giuseppe Piazzi.jpg|thumb|200px|[[จูเซปเป ปิอาซซี]] ผู้ค้นพบดาวเคราะห์น้อยดวงแรก ''ซีรีส'']]
[[มวล]]กว่าครึ่งหนึ่งในเชิงอรรถที่ไม่ระบุที่มาจากงานแปลของแถบดาวเคราะห์น้อยอยู่ในวัตถุขนาดใหญ่ 4 ชิ้น ได้แก่ [[ซีรีส]], [[4ชาร์ลส เวสต้าบอนเน็ต]], [[2เรื่อง พัลลัส]]''Contemplation และde [[10la ไฮเจีย]]Nature'' ทั้งสี่ชิ้นนี้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าเมื่อปี 400 กิโลเมตร สำหรับซีรีสซึ่งถือเป็น[[ดาวเคราะห์แคระ]]เพียงดวงเดียวในแถบดาวเคราะห์น้อย มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 950 กิโลเมตร<ref name="ast1">Krasinsky, G. A.; Pitjeva, E. V.; Vasilyev, M. V.; Yagudina, E. I. (July 2002). [http://adsabs.harvard.edu/abs/2002Icar..158...98K "Hidden Mass in the Asteroid Belt"]. Icarus 158 (1): 98–105. doi:10.1006/icar.2002.6837.</ref>1766<ref name="ast25">Pitjeva, EJ. V.Hilton (20052001). [http://iau-comm4aa.jplusno.nasanavy.govmil/EPM2004.pdf "High-Precision Ephemerides of Planets—EPM and Determination of Some Astronomical Constants" (PDF)]. Solar System Research 39 (3): 176. doi:10.1007hilton/s11208-005-0033-2.<AsteroidHistory/ref><ref name="ast3">For recent estimates of the masses of Ceres, 4 Vesta, 2 Pallas and 10 Hygiea, see the references in the infoboxes of their respective articles.</ref><ref name="ast4">Yeomans, Donald K. (July 13, 2006). [http://ssd.jpl.nasa.gov/sbdb.cgi JPL Small-Body Database Browser]. NASA JPL. Retrieved on 2007-04-25.</ref> ส่วนที่เหลือมีขนาดลดหลั่นกันลงไปจนถึงเศษฝุ่น ชิ้นส่วนในแถบดาวเคราะห์น้อยกระจายอยู่อย่างเบาบางจนกระทั่ง[[ยานอวกาศ]]หลายลำสามารถแล่นผ่านไปได้โดยไม่ชนกับอะไรเลย นอกจาlanetsminorplanets.html When Did the Asteroids Become Minor Planets?]. ''US Nava Observatory''.</ref> [[นักดาราศาสตร์]]ชื่อ โยฮัน ดาเนียล ทิเทียส ฟอน วิทเทนเบิร์ก<ref name="ast6">[http://www-ssc.igpp.ucla.edu/dawn/background.html Dawn: A Journey to the Beginning of the Solar System]. ''Space Physics Center: UCLA'' (2005).</ref><ref name="ast7">Michael Hoskin. [http://www.astropa.unipa.it/versione_inglese/Hystory/BODE'S_LAW.htm BODE'S LAW AND THE DISCOVERY OF CERES]. ''Churchill College, Cambridge''.</ref> สังเกตเห็นรูปแบบการจัดวางตัวของดาวเคราะห์ต่างๆ ถ้าเริ่มต้น[[อนุกรม]]ตัวเลขที่เลข 0 แล้วเพิ่มเป็น 3, 6, 12, 24, 48, ฯลฯ โดยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกครั้ง บวกเลขแต่ละลำดับด้วย 4 และหารด้วย 10 จะได้ค่าประมาณของวงโคจรดาวเคราะห์ที่เรารู้จักแล้วใน[[หน่วยดาราศาสตร์]] (หนึ่งหน่วยดาราศาสตร์ หรือ 1 AU มีค่าเท่ากับระยะทางจาก[[โลก]]ถึง[[ดวงอาทิตย์]]) รูปแบบเช่นนี้เป็นที่รู้จักต่อมาในชื่อ [[กฎของทิเทียส-โบเด]] ซึ่งสามารถทำนายแนวแกนรองของดาวเคราะห์หกดวงในเวลานั้น (คือ[[ดาวพุธ]] [[ดาวศุกร์]] [[โลก]] [[ดาวอังคาร]] [[ดาวพฤหัสบดี]] และ[[ดาวเสาร์]]) และตัวเลขอีกหนึ่งชุดอยู่ใน "ช่องว่าง" ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ในเชิงอรรถนั้น ทิเทียสอธิบายว่า "พระผู้เป็นเจ้าจะทรงละช่องว่างไว้เช่นนั้นหรือ? หามิได้"<ref name="ast6" /> ในปี ค.ศ. 1768 [[นักดาราศาสตร์]]ชื่อ [[โยฮัน เอเลิร์ต โบเด]] เขียนผลงานที่เกี่ยวเนื่องกับงานของทิเทียส ชื่อว่า ''Anleitung zur Kenntniss des gestirnten Himmels'' แต่เขาไม่ได้เอ่ยถึงทิเทียส ดังนั้นจึงทำให้หลายคนเอ่ยถึงงานชิ้นนี้ว่า "[[กฎของโบเด]]"<ref name="ast7" /> เมื่อ[[วิลเลียม เฮอร์เชล]] ค้นพบ[[ดาวยูเรนัส]]ในปี ค.ศ. 1781 ตำแหน่งของดาวเคราะห์ก็เข้ากันกับกฎนี้แทบจะสมบูรณ์แบบ ซึ่งทำให้เหล่านักดาราศาสตร์สรุปว่าจะต้องมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งอยู่ระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสบดีเป็นแน่
ในเชิงอรรถที่ไม่ระบุที่มาจากงานแปลของ [[ชาร์ลส บอนเน็ต]] เรื่อง ''Contemplation de la Nature'' เมื่อปี ค.ศ. 1766<ref name="ast5">J. Hilton (2001). [http://aa.usno.navy.mil/hilton/AsteroidHistory/minor}}
[[ไฟล์:Asteroid Belt.jpg|thumb|300px|ภาพกราฟิกแสดงอาณาเขตของแถบดาวเคราะห์น้อย]]
'''แถบดาวเคราะห์น้อย''' ({{lang-en|Asteroid belt}}) เป็นบริเวณใน[[ระบบสุริยะ]]ที่อยู่ระหว่าง[[วงโคจร]]ของ[[ดาวอังคาร]] กับ[[ดาวพฤหัสบดี]] ประกอบไปด้วยก้อนหินจำนวนมากลอยเกาะกลุ่มกันเป็นแถบ เรียกหินเหล่านี้ว่า [[ดาวเคราะห์น้อย]] หรือ [[ดาวเคราะห์แคระ]] บางครั้งก็เรียกแถบดาวเคราะห์น้อยว่า "แถบหลัก" เพื่อแยกแยะมันออกจากแถบดาวเคราะห์แคระอื่นๆ ที่มีอยู่ในระบบสุริยะ เช่น[[แถบไคเปอร์]] และ[[แถบหินกระจาย]]
 
[[มวล]]กว่าครึ่งหนึ่งของแถบดาวเคราะห์น้อยอยู่ในวัตถุขนาดใหญ่ 4 ชิ้น ได้แก่ [[ซีรีส]], [[4 เวสต้า]], [[2 พัลลัส]] และ [[10 ไฮเจีย]] ทั้งสี่ชิ้นนี้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 400 กิโลเมตร สำหรับซีรีสซึ่งถือเป็น[[ดาวเคราะห์แคระ]]เพียงดวงเดียวในแถบดาวเคราะห์น้อย มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 950 กิโลเมตร<ref name="ast1">Krasinsky, G. A.; Pitjeva, E. V.; Vasilyev, M. V.; Yagudina, E. I. (July 2002). [http://adsabs.harvard.edu/abs/2002Icar..158...98K "Hidden Mass in the Asteroid Belt"]. Icarus 158 (1): 98–105. doi:10.1006/icar.2002.6837.</ref><ref name="ast2">Pitjeva, E. V. (2005). [http://iau-comm4.jpl.nasa.gov/EPM2004.pdf "High-Precision Ephemerides of Planets—EPM and Determination of Some Astronomical Constants" (PDF)]. Solar System Research 39 (3): 176. doi:10.1007/s11208-005-0033-2.</ref><ref name="ast3">For recent estimates of the masses of Ceres, 4 Vesta, 2 Pallas and 10 Hygiea, see the references in the infoboxes of their respective articles.</ref><ref name="ast4">Yeomans, Donald K. (July 13, 2006). [http://ssd.jpl.nasa.gov/sbdb.cgi JPL Small-Body Database Browser]. NASA JPL. Retrieved on 2007-04-25.</ref> ส่วนที่เหลือมีขนาดลดหลั่นกันลงไปจนถึงเศษฝุ่น ชิ้นส่วนในแถบดาวเคราะห์น้อยกระจายอยู่อย่างเบาบางจนกระทั่ง[[ยานอวกาศ]]หลายลำสามารถแล่นผ่านไปได้โดยไม่ชนกับอะไรเลย นอกจาlanets.html When Did the Asteroids Become Minor Planets?]. ''US Nava Observatory''.</ref> [[นักดาราศาสตร์]]ชื่อ โยฮัน ดาเนียล ทิเทียส ฟอน วิทเทนเบิร์ก<ref name="ast6">[http://www-ssc.igpp.ucla.edu/dawn/background.html Dawn: A Journey to the Beginning of the Solar System]. ''Space Physics Center: UCLA'' (2005).</ref><ref name="ast7">Michael Hoskin. [http://www.astropa.unipa.it/versione_inglese/Hystory/BODE'S_LAW.htm BODE'S LAW AND THE DISCOVERY OF CERES]. ''Churchill College, Cambridge''.</ref> สังเกตเห็นรูปแบบการจัดวางตัวของดาวเคราะห์ต่างๆ ถ้าเริ่มต้น[[อนุกรม]]ตัวเลขที่เลข 0 แล้วเพิ่มเป็น 3, 6, 12, 24, 48, ฯลฯ โดยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกครั้ง บวกเลขแต่ละลำดับด้วย 4 และหารด้วย 10 จะได้ค่าประมาณของวงโคจรดาวเคราะห์ที่เรารู้จักแล้วใน[[หน่วยดาราศาสตร์]] (หนึ่งหน่วยดาราศาสตร์ หรือ 1 AU มีค่าเท่ากับระยะทางจาก[[โลก]]ถึง[[ดวงอาทิตย์]]) รูปแบบเช่นนี้เป็นที่รู้จักต่อมาในชื่อ [[กฎของทิเทียส-โบเด]] ซึ่งสามารถทำนายแนวแกนรองของดาวเคราะห์หกดวงในเวลานั้น (คือ[[ดาวพุธ]] [[ดาวศุกร์]] [[โลก]] [[ดาวอังคาร]] [[ดาวพฤหัสบดี]] และ[[ดาวเสาร์]]) และตัวเลขอีกหนึ่งชุดอยู่ใน "ช่องว่าง" ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ในเชิงอรรถนั้น ทิเทียสอธิบายว่า "พระผู้เป็นเจ้าจะทรงละช่องว่างไว้เช่นนั้นหรือ? หามิได้"<ref name="ast6" /> ในปี ค.ศ. 1768 [[นักดาราศาสตร์]]ชื่อ [[โยฮัน เอเลิร์ต โบเด]] เขียนผลงานที่เกี่ยวเนื่องกับงานของทิเทียส ชื่อว่า ''Anleitung zur Kenntniss des gestirnten Himmels'' แต่เขาไม่ได้เอ่ยถึงทิเทียส ดังนั้นจึงทำให้หลายคนเอ่ยถึงงานชิ้นนี้ว่า "[[กฎของโบเด]]"<ref name="ast7" /> เมื่อ[[วิลเลียม เฮอร์เชล]] ค้นพบ[[ดาวยูเรนัส]]ในปี ค.ศ. 1781 ตำแหน่งของดาวเคราะห์ก็เข้ากันกับกฎนี้แทบจะสมบูรณ์แบบ ซึ่งทำให้เหล่านักดาราศาสตร์สรุปว่าจะต้องมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งอยู่ระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสบดีเป็นแน่
 
ปี ค.ศ. 1800 นักดาราศาสตร์ชื่อ บารอน ฟรานซ์ ซาเวอร์ ฟอน แซค เชิญเพื่อนๆ ของเขา 24 คนเข้าร่วมในชมรมไม่เป็นทางการแห่งหนึ่งซึ่งเขาเรียกว่า "สมาคมลิเลียนทาล" มีเป้าหมายจะจัดระเบียบให้ระบบสุริยะ ต่อมากลุ่มนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ "ฮิมเมลสโปลิซเซ" (Himmelspolitzei) หรือ ''ตำรวจอวกาศ'' สมาชิกคนสำคัญได้แก่ เฮอร์เชล, เนวิล มัสเคลลีน, [[ชาลส์ เมสสิเยร์]] และ [[เฮนริค โอลเบอร์ส]]<ref name="ast8">"Call the police! The story behind the discovery of the asteroids" . ''Astronomy Now'' (June 2007): 60–61.</ref> สมาชิกนักดาราศาสตร์แต่ละคนจะได้รับมอบหมายให้ดูแลอาณาบริเวณ 15 องศาของ[[จักรราศี]] เพื่อเสาะหาดาวเคราะห์ที่หายไป<ref>Prof. Richard Pogge (2006). [http://www.astronomy.ohio-state.edu/~pogge/Ast161/Unit6/dwarfs.htmlAn Introduction to Solar System Astronomy: Lecture 45: Is Pluto a Planet?]. ''An Introduction to Solar System Astronomy''. Ohio State University.</ref>