ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ฌอร์ฌ บรัก"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Toeytoey28 (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Toeytoey28 (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 22:
งานเริ่มแรกของบาร์คนั้นเป็นงานสไตล์ [[อิมเพรสชันนิซึม]] แต่หลังจากที่เขาได้เห็นผลงานของกลุ่ม[[ลัทธิโฟวิสต์]] ซึ่งในตอนนั้นบาร์คเป็นศิษย์ของ ลิออง บองนาท์ ที่เอโก เดส์ โบซาร์ ซึ่งที่นี่เขาได้พบกับดูฟี และ ฟิทซ์ ผู้ที่เป็นชาวเมืองเลออาฟร์เช่นเดียวกัน และทั้งคู่ต่างสนใจและปฏิบัติตามหลักของลัทธิโฟวิสต์ จึงโน้มน้าวบาร์คให้เข้าร่วมกลุ่มด้วย ซึ่งตัวของบาร์คเองก็มีความประทับใจในผลงานของศิลปินกลุ่มนี้อยู่แล้ว เมื่อคราวเปิดงานแสดงเป็นครั้งแรกที่ ซาลง โดตอน (Salon d’Automme) เขาจึงเข้าร่วมกลุ่มทำการวาดภาพตามหลักของลัทธิโฟวิสม์ และในระยะเวลาไม่กี่ปีที่เข้ามาสู่วงการศิลปะ บาร์คประสบความสำเร็จด้านการเงินจากการจำหน่ายภาพได้มากคนหนึ่ง เพราะเป็นคนมีฝีมือและเทคนิคดี
เห็นได้จาก ในค.ศ.1907 บาร์คประสบความสำเร็จในการแสดงผลงานแบบโฟวิสม์ ซึ่งคาห์น ไวเลอร์ นักธุรกิจศิลป์ผู้สนับสนุนศิลปะร่วมสมัย ได้ทำสัญญาผูกขาดซื้องานของบาร์คทั้งหมด อีกทั้งยังช่วยจัดงานแสดงส่วนตัวเป็นครั้งแรกที่แกลอรี่ของเขาเองอีกด้วย ซึ่งรูปแบบของบาร์คค่อยๆมีวิวัฒนาการไปอย่างช้าๆ โดยได้รับอิทธิพลจากผลงานเก่าๆของ [[พอล เซซาน]] ที่ซาลง โดตอน และเกิดผลกระทบอย่างมากต่อศิลปินอวองการ์ดในปารีส และในปีเดียวกันนี้อพอลลิแนร์ ผู้เป็นนักวิจารณ์และกวีคนสำคัญคนหนึ่ง ได้แนะนำบาร์คให้รู้จักกับ [[ปาโบล ปีกัสโซ]] และทั้งสองต่างสนิทสนมจนกลายเป็นเพื่อนรักในระยะเวลาอย่างรวดเร็ว และต่างช่วยกันค้นคิดหาแนวทางศิลปกรรมแนวใหม่ อีกทั้งยังร่วมมือศึกษาและทำงานร่วมกันบ่อยครั้ง จนทำให้เกิดลัทธิใหม่อย่าง[[ลัทธิคิวบิสม์]]ขึ้นมาในที่สุด
 
[[ไฟล์:Portuguese-1911 jpg!Blog.jpg|342*500px|framed|left|'''George Braque''',Portugese,1911 ,Oil on canvas 116.8 cm × 81 cm Kunstmuseum Basel, Switzerland ]]
===ลัทธิคิวบิสม์===
[[ไฟล์:Portuguese-1911 jpg!Blog.jpg|342*500px|framed|left|'''George Braque''',Portugese,1911 ,Oil on canvas 116.8 cm × 81 cm Kunstmuseum Basel, Switzerland ]]
งานจิตรกรรมของบาร์คในปี 1908-1913 ได้แสดงให้เห็นถึงความสนใจใหม่ของ บาร์ค ในเรื่องของรูปทรงเรขาคณิตและทัศนียภาพที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน ซึ่งเขาทำการศึกษาอย่างจริงจังเกี่ยวกับผลกระทบจากการใช้แสงและทัศนียวิทยา ในภาพวาดคนเปลือยของเขาระยะนี้เน้นให้เห็นถึงการเอาใจใส่ในโครงสร้างของรูปทรงอย่างชัดเจน รูปร่างมีความง่ายและตัดเส้นรอบนอกด้วยรูปสีดำ หนักและหนา พื้นหลังภาพมีรายละเอียดปรากฏเป็นรูปเหลี่ยมใหญ่ มีแง่มุม ซึ่งในระหว่างปี ค.ศ.1908-1909นั้นเขาได้วาดภาพทิวทัศน์ไว้หลายภาพ โดยเริ่มต้นจากหลักความคิดของพอล เซซาน แล้วค่อยพัฒนาเข้าสู่หลักทฤษฎีของลัทธิคิวบิสม์ เช่น หลีกเลี่ยงการใช้หลักเกณฑ์เก่าๆที่ทำให้ภาพเกิดมิติและรูปวัตุในช่องว่าง เขาได้สร้างภาพให้เต็มไปด้วยพื้นระนาบ มีการใช้เส้นแบบเรขาคณิต ไม่เพียงเท่านั้น เขากับปิกัสโซ ร่วมมือกันคิดค้นให้ลึกซึ้งลงไปอีก มีการวิเคราะห์ความเป็นนามธรรมของรูปทรง ทั้งคู่ได้ถึงจุด เฮอเมทิคสไตล์ (Hermetic Style) คือรูปทรงที่ทึบตัน ประมาณปีค.ศ.1911
บาร์คถือได้ว่าเป็นจิตรกรคนแรกที่นำตัวหนังสือมาใช้กับภาพจิตรกรรม ซึ่งอาจมีผู้ทำมาก่อนแต่ไม่เด่นชัดมากเท่านี้ เห็นได้จากภาพชื่อ “ชาวโปรตุเกส” ที่วาดขึ้นในปีค.ศ.1911 ส่วนการใช้เศษวัสดุต่างๆเช่น กระดาษ ผ้า หรือที่เรียกกันว่า งานคอลลาจ นั้น ได้ใช้ในปีถัดมา ซึ่งบาร์คสามารถผสมสิ่งที่อ่านได้ เช่น ตัวหนังสือ เข้ากับความจริงอันเป็นรูปธรรมปรากฏในผลงาน ทั้งยังเพิ่มคุณค่าในด้านความงามแบบมัณฑนศิลป์ หรือแบบศิลปะตกแต่ง ดังเช่นการใช้กระดาษที่หยาบหรือมีลวดลายต่างๆกัน เพิ่มรอยพื้นผิว({{lang-en|texture}}) ทำให้ผลงานของเขานั้นดูสนุกตามากยิ่งขึ้น และเมื่อต้นปีค.ศ.1930 ความเคลื่อนไหวของลัทธิคิวบิสม์เบาลง เมื่อศิลปะนิยมแบบเซอเรียลลิสม์ได้รับความนิยมแทนที่ ในขณะที่ผลงานของปิกัสโซหันเหไปทำงานตามแนวลัทธิใหม่ แต่บาร์คยังคงยืนหยัดทำงานแนวคิวบิสม์ต่อไป นอกจากนี้ยังหันไปทำงานประติมากรรมด้วย ส่วนมากจะเป็นภาพของสัตว์ต่างๆเช่น ม้า ปลา เป็นงานชิ้นเล็กๆ และมีลักษณะแบนซึ่งให้ความงามแบบเรียบๆ และมีเสน่ห์ ได้รับความนิยมจากนักออกแบบที่ระลึกนำไปดัดแปลงเป็นศิลปะตกแต่งบ้าน