ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จอห์น เคจ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
2T (คุย | ส่วนร่วม)
Pradinu (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 11:
 
=== ช่วงที่สอง ===
ในระหว่างนั้นท่านก็ได้ศึกษาพุทธศาสนานิกายเซนและตัดสินใจที่จะถ่ายทอดแนวคิดเซนเรื่อง "จิตว่าง" ออกมาเป็นดนตรี หลังความพยายามอย่างยิ่งยวดท่านก็ได้ประพันธ์ "[[อิเมจิแนรี แลนด์สเคป หมายเลข 4]]" (Imaginary Landscape No. 4 [1951]) สำหรับวิทยุ 12 เครื่อง และ "[[มิวสิค อออฟออฟ เชนช์]]" (Music of Change [1951]) สำหรับเปียโนจำนวน 4 เล่มด้วยกัน งานทั้งสองชิ้นเป็นการนำปรัชญาเซนมาแปลงให้เป็นดนตรี โดยมีเครื่องมือเป็นตำราเกี่ยวกับการทำนายของจีนโบราณที่ชื่อว่า "[[อี้จิง]]" คัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลง และเหรียญที่ใช้ในการทอย 3 เหรียญ ผลที่ได้นั้นก็คือ บทเพลงทั้งหมดถูกกำหนดโดยโอกาสในการทอยเหรียญซึ่งมีผลในแต่ละครั้งตรงกับสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในคัมภีร์อี้จิง สัญลักษณ์ต่าง ๆ นั้น เคจได้นำมาจัดระบบให้ตรงกับองค์ประกอบต่าง ๆ ทางดนตรี ไม่ว่าจะเป็นระดับเสียง ความสั้นยาวของจังหวะ ความดัง ฯลฯ ซึ่งในปัจจุบันเรียกวิธีการประพันธ์แบบนี้ว่า "[[อินดีเทอมิเนซี]]" (Indeterminacy) คีตกวีบางท่านเรียกวิธีการแบบนี้ว่า "[[อะเลียโทรี]]" (Aleatory) ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษาละตินว่า alea แปลว่า ลูกเต๋า งานที่มีชื่อมากที่สุดในช่วงนี้มีชื่อว่า [[4'33"]] (1952) เป็นบทเพลงที่เทคนิคในช่วงที่สองได้พัฒนาไปจนถึงจุดสุดขอบ เพราะเพลงดังกล่าวไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาจากผู้เล่น (อย่างน้อยก็ในความหมายของการบรรเลงดนตรีแบบเดิม) ในโน้ตเพลงจะประกอบด้วยสาม[[กระบวน]] (movement) ทุกกระบวนจะบันทึกไว้ว่า tacet ซึ่งแปลว่าเงียบ นักดนตรี (คนเดียวหรือหหลายคนหลายคน) จะนั่งเงียบ ๆ บนเวทีเป็นเวลา 4 นาที 33 วินาที เคจกล่าวว่าท่าน "คาดหวังให้ผู้ฟังฟังเสียงทุกเสียงที่เกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่กำหนดอย่างตั้งอกตั้งใจ"
 
ในช่วงปี ค.ศ. 1951 นั้น วลาดิมีร์ อูซาเชฟสกี (1911-90) ได้ทดลองใช้ดนตรีไฟฟ้าที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เคจก็เช่นกัน ท่านสนใจการสร้างงานต่าง ๆ บนเทปแแม่เหล็กแม่เหล็กและประยุกต์เอาวิธีการแแบบ อะเลียโทรี ที่ได้กล่าวไปแล้วมาประพันธ์งานที่ชื่อว่า อิแมจิแนรี แลนด์สเคป หรือ ทิวทัศน์ในจินตนาการ หมายเลข 5 (Imaginary Landscape No. 5[1952]) และงานที่ชื่อว่า วิลเลียม มิกซ์ (William Mix [1952]) งานอย่าง อิแมจิแนรี แลนด์สเคป หมายเลข 5 เสียงวัตถุดิบประกอบด้วยเสียงอะไรก็ได้ที่บันทึกมาจำนวน 42 ชิ้น ใน วิลเลียม มิกซ์ นั้นประกอบด้วยเสียงหกประเภทเช่น "เสียงของเมือง" "เสียงของชนบท" "เสียงที่เกิดจากลม" เป็นต้น เคจใช้เทปในการประกอบเสียงเข้าด้วยกันแบบตัดแปะหรือที่เรียกว่า คอลลาจ (Collage) ในขณะที่ อูซาเชฟฟสกี สกีจะแปลงเสียงที่ได้มานอกเหนือจากบันทึกแล้ว
 
นวัตกรรมต่อไปของเคจก็คือ "แฮพเพนนิง" หรือการแสดงออกโดยฉับพลันทางศิลปะ ในกรณีของเคจเป็นดนตรี เคจจะสร้างงานจากกิจกรรมหรือการนำเสนอใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นดนตรีหรือไม่ สิ่งเหล่านั้นจะต้องเกิดพร้อมกันแต่ต้องไม่สัมพันธ์กัน เคจยังสร้างงานประเภทที่เรียกว่า "ดนตรีละคร" (Theatre Music) เช่นงานอย่าง "Water Music" (1952) ซึ่งในการแสดงต้องมีกิจกรรมที่นักเปียโนแแสดงแสดงโดยไม่เกี่ยวข้องกับเปียโน (เทน้ำและเป่านกหวีดที่อยู่ใต้น้ำ เป็นต้น) เหตุการณ์ที่ปรากฏทางสายตาเป็นสิ่งสำคัญในงานประเภทนี้ แนวความคิดอย่าง "แฮพเพนนิงพเพ็นนิง" นี้เป็นต้นแบบของขบวนการ "[[ฟลุกซุส]]" (Fluxus) ที่เกิดขึ้นในนิวยอร์กช่วงปี ค.ศ. 1960-65 ซึ่งนำเสนอคอนเสิร์ทที่ "ดนตรี" นั้นสร้างจากสิ่งที่ไม่ธรรมดาและมักจะดูตลกขบขัน หัวหอกท่านหนึ่งของขบวนการฟลุกซุสก็คือ จอร์จ เบรกท์ นั้น สร้างงานอย่าง "Drip Music" อันเป็นงานที่ประกอบด้วยการหยดน้ำจากที่ใดที่หนึ่งหนึ่งลงไปยังขวดเก็บน้ำ ลักษณะแบบเดียวกันยังก่อให้เกิดการล้อเลียนในงานของ [[ลิเกตี]] (Ligeti [1923*]) อย่าง Poème symphonique สำหรับ [[เมโทรโนม]] 100 ตัว อีกด้วย
 
== ผลงานบางส่วนของ จอห์น เคจ ==