ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ธนิต อยู่โพธิ์"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 20:
===ด้านการเสริมสร้างและพัฒนาศิลปวัฒนธรรม===
# ฟื้นฟูนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์แบบฉบับของไทย [[โขน]] [[ละคร]] ฟ้อนรำ และ[[ดนตรี]] ในกรมศิลปากร เวลานั้นเป็่นช่วงใกล้สิ้นสุด[[สงครามโลกครั้งที่ 2]] ศิลปะด้านนี้ของไทยเกือบจะดับสูญอยู่แล้ว โรงเรียนนาฏศิลป์ของกรมศิลปากรต้องปิดและเลิกเรียนไป เนื่องจากถูกกรมสารวัตรทหาร (ส.ห.) เข้าครอบครองสถานที่ นายธนิตเป็นผู้ติดต่อขอโรงเรียนและสถานที่คืน และพยายามปรับปรุงหลักสูตรเพื่อเปิดการสอนนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ในโรงเรียนนาฏศิลป์ขึ้นมาใหม่ จนมีศิลปะผู้สำเร็จการศึกษาทางโขน ละคร ดนตรีไทยจากโรงเรียนนี้เป็นจำนวนมาก และสามารถเล่นโขนละครพร้อมกันได้หลายโรง มีวงดนตรีไทยหลายวงจนสามารถตั้งวงดนตรี 200 คนขึ้นได้ในกรมศิลปากร และเป็นแนวทางขยายการศึกษาบัดนี้ จนกระทั่งเป็น[[วิทยาลัยนาฏศิลป์]]
# จัดตั้งโรงเรียนช่างศิลป์ขึ้นในกรมศิลปากร ปัจจุบันเป็น[[วิทยาลัยช่างศิลป์]]
# จัดให้มีการแสดงโขนและละครเป็นประจำฤดูกาล
# จัดให้มี “ดนตรีสำหรับประชาชน” ณ สังคีตศาลา เป็นการเริ่มแรกตั้งแต่ปี 2491 เป็นต้นมา ซึ่งได้จัดให้มีการบรรเลงทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากล นับว่าเป็นการริเริ่มครั้งแรกและเป็นตัวอย่างให้มีการจัดขึ้น ณ หน่วยงานอื่นๆ ในกาลต่อมาด้วย
# เริ่มแรกให้มี “งานสัปดาห์แห่งวรรณคดี” ขึ้นในบริเวณ[[พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ]] พระนคร และเชิญชวนให้หน่วยราชการ ห้างร้านหนังสือ สำนักพิมพ์ต่างๆ นำหนังสือร่วมจำหน่ายเป็นครั้งแรก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูการอ่านทำนองเสนาะ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และเพื่อชักชวนให้ประชาชนมีโอกาสศึกษาหาความรู้ ซึ่งเป็นผลต่อมาให้กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ สมัยนั้นปรับปรุงการอ่านทำนองกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ขึ้น โดยติดต่อกับบุคคลที่กรมศิลปากรจัดหามาอ่านทำนองและอัดเทปอัดเสียงไว้เป็นแบบฉบับต่อมา
# ริเริ่มจัดให้มี “งานดนตรีมหกรรม” ขึ้นเป็นประจำในต้นเดือนมีนาคมของทุกปี ณ บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นงานกลางแจ้งประมาณ 1 สัปดาห์ โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนได้ชมศิลปะการแสดงแบบต่าง ๆ และเปิดโอกาสให้ศิลปินคณะต่างๆ นำเอาศิลปะพื้นเมืองมาแสดง และเชิญชวนสถานทูต และสำนักวัฒนธรรมของชาตินั้นๆ ให้นำศิลปะการแสดงประจำชาตินั้นมาร่วมแสดงในงานมหกรรมนั้นด้วย
# ริเริ่มจัดให้มี “โบราณคดีสัญจร” นำชมโบราณวัตถุสถานในจังหวัดต่าง ๆ ด้วยการจำหน่ายบัตร โดยมีเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากรนำอธิบายคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดี
# ริเริ่มให้มี “วรรณคดีสัญจร” เป็นครั้งคราว คือ นำชมสถานที่และภูมิประเทศที่กล่าวไว้ในวรรณคดีสำคัญๆ เช่น ในเรื่อง[[ขุนช้างขุนแผน]] เพื่อให้เรียนรู้ประวัติและซาบซึ้งในวรรณคดีสำคัญเรื่องนั้นๆ
# จัดตั้งหน่วยศิลปากรขึ้น 9 หน่วย ให้มีหน้าที่ตรวจตราดูแลรักษา ซ่อมแซมบูรณะโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ศิลปวัตถุและโบราณสถานในแต่ละหน่วยในท้องที่ของตน
# เสนอแนะให้นำหลักวิชาและฝีมือช่างทางศิลปะมาใช้เป็นหลักร่วมในการพิจารณาอายุ และสมัยของศิลปวัตถุ โบราณวัตถุและโบราณสถาน
# จัดสร้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในจังหวัดต่างๆ และสร้างขึ้นไว้แล้ว 7 แห่ง คือ [[พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
# ได้ริเริ่มสำรวจโบราณสถานและขุดค้นโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุในป่า ในถ้ำ และใต้ดิน ซึ่งพบโบราณวัตถุและศิลปวัตถุทั้งในสมัยประวัติศาสตร์และสมัยก่อนประวัติศาสตร์มากมาย โดยเฉพาะเรื่องราวของ[[วัฒนธรรมบ้านเชียง]] จังหวัดอุดรธานี และวัฒนธรรมบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น
# ได้จัดส่งข้าราชการไทยในกรมศิลปากรไปศึกษาและดูงานด้านพิพิธภัณฑสถานโบราณคดี งานหอสมุดและหอจดหมายเหตุ ณ ประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกา ได้ก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เพิ่มเติม และปรับปรุงบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครขึ้นใหม่ กับทั้งได้ติดต่อกับ[[ยูเนสโก]] ขอให้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาและช่วยจัดตั้งแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุในอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตามหลักวิชาการพิพิธภัณฑสถานสากลจนเป็นที่เรียบร้อย และเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2510 ได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
# ดำเนินงานซ่อม[[ปราสาทหินพิมาย]] ในจังหวัดนครราชสีมา จนสามารถต่อยอมตามรูปแบบขึ้นไว้ได้ และเริ่มโครงการซ่อม[[ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง]]ในจังหวัดบุรีรัมย์ในเวลาต่อมา
# ริเริ่มให้มีการสำรวจและศึกษาจิตรกรรมฝาผนังในประเทศไทย โดยนำศาสตราจารย์[[ศิลป
# ริเริ่มจัดให้มีสัมมนาทางโบราณคดีขึ้นเป็นครั้งแรก ที่จังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก ตาก กำแพงเพชร และต่อมาได้จัดสัมมนาขึ้นที่จังหวัดชัยนาท และนครสวรรค์
# ขยายสถานที่และกิจการหอสมุดแห่งชาติ โดยจัดส่งเจ้าหน้าที่ไป
# ดำริและเสนอรัฐบาลให้จัดสร้างโรงละครขึ้นใหม่ในสมัยรัฐบาลจอมพล
# กำหนดและวางโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติและโรงเรียนนาฏศิลป์ในจังหวัดสำคัญ อันเป็นที่รวมศิลปะของภาคนั้น ๆขึ้นไว้ 5 แห่งคือ จังหวัดเชียงใหม่ นครศรีธรรมราช สงคลา นครราชสีมา และขอนแก่น แต่เวลาและงบประมาณอีกทั้งบุคลากรไม่อำนวย จึงได้สร้างแต่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไว้ในจังหวัดเชียงใหม่และขอนแก่นเท่านั้น
# ริเริ่มฟื้นฟูปรับปรุงแสดงนาฏศิลป์ไทยขึ้นหลายเรื่อง และหลายชุด รวมทั้งปรับปรุงระบำแบบฉบับของไทย สืบทอดการแสดงพื้นเมือง เช่น เต้นกำรำเคียว รำเหย่อย รำเถิดเทิง เซิ้งประติบข้าว
|