ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การข่มขืนกระทำชำเรา"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Taweetham (คุย | ส่วนร่วม)
Tiemianwusi (คุย | ส่วนร่วม)
แทนที่ "ข่มขืน" → "ข่มขืนกระทำชำเรา" +แทนที่ "การข่มขืนกระทำชำเรากระทำชำเรา" → "การข่มขืนกระ...
บรรทัด 2:
{{ลิงก์ไปภาษาอื่น}}
{{เตือนเรื่องเพศ}}
'''การข่มขืนกระทำชำเรา''' เป็นรูปแบบหนึ่งของ[[การทำร้าย]] ซึ่งคนหนึ่งได้ใช้กำลังบังคับอีกคนหนึ่งให้มี[[เพศสัมพันธ์]]ด้วย ซึ่งขัดกับความต้องการหรือตั้งใจของคนๆนั้น อาจจำกัดความได้ว่า ใช้กำลังทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยินยอมจำนนในกิจกรรมทางเพศใดๆก็ตาม และนับเป็นอาชญากรรมทางเพศอีกอย่างหนึ่งที่มีความร้ายแรงที่สุด ในบางครั้งก็ยากในการฟ้องร้องดำเนินคดี ความรุนแรงทางเพศอาจเป็น[[อาชญากรรม]]ที่ใช้ต่อสู้กัน ภายใต้[[กฎหมาย]]สากล อาจไม่มีความยินยอมของอีกผู้หนึ่ง เนื่องมาจากการทำให้เสียอิสรภาพ ที่ต้องการจะใช้ กำลังข่มขู่ ใช้รุนแรง หรืออาจเป็นเพราะความสามารถในการยินยอมได้ถูกทำให้เป็นโมฆะ หรือ ไร้ความสำคัญไป ในบางกรณี เช่น การยังไม่มีพัฒนาการตามวัยที่สมควร ความมึนเมา การยังไม่บรรลุนิติภาวะ และบางทีการถูกขู่ ก็ทำให้ความยินยอมเป็นโมฆะไป
 
ไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนที่จะแยกระหว่างการข่มขืนกระทำชำเรา และการจู่โจมทำลายที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะเพศของคนหนึ่งหรือทั้งสองคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เมื่อคำว่า ”ข่มขืน”ข่มขืนกระทำชำเรา” ถูกใช้ ความเข้าใจทางอาชญากรรมจะเป็นการใช้กำลังบังคับให้ทำกิจกรรมทางเพศอย่างใดอย่างหนึ่งและให้ร่วมประเวณี ในขณะที่การกระทำของอีกคนหนึ่งเพียงแค่สอดใส่[[อวัยวะเพศชาย]]เข้าไปใน[[ช่องคลอด]]ของฝ่ายหญิงเท่านั้น ในไม่กี่ปีมานี้ ได้มีหญิงผู้กระทำผิดในฐานข่มขืนกระทำชำเราเพศชาย ครั้งนี้จึงได้มีการแบ่งแยก ระหว่างการข่มขืนกระทำชำเรา หรือขู่บังคับทางเพศ และคำจำกัดความทางกฎหมายในด้านอื่นๆ ในขอบเขตศาลบางแห่ง การข่มขืนกระทำชำเราอาจหมายถึง การที่ผู้กระทำสอดใส่วัสดุอย่างใดอย่างหนึ่ง มากกว่าการที่ใช้แค่ร่างกายของตัวเอง เข้าไปในอวัยวะเพศของคนที่เป็นเป้าหมาย ในบางแห่ง อย่างเช่น[[รัฐมิชิแกน]] [[สหรัฐอเมริกา]] ไม่ใช้คำว่า “ข่มขืน”ข่มขืนกระทำชำเรา” ในกฎหมาย แต่จะใช้คำว่า “การกระทำผิดอาชญากรรมทางเพศ” (Criminal Sexual Conduct) สำหรับการกระทำที่อาจใช้ทางคำพูดที่เกี่ยวโยงกับ “การข่มขืน”ข่มขืนกระทำชำเรา” หรือ “การล่วงละเมิดทางเพศ”
 
การข่มขืนกระทำชำเราผู้หญิงโดยผู้ชาย เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากที่สุด ประมาณ 91% ของเหยื่อการข่มขืนกระทำชำเราเป็นผู้หญิง, 9% เป็นผู้ชาย โดย 99% ของผู้ปฏิบัติการเป็นผู้ชาย<ref>[http://www2.ucsc.edu/rape-prevention/statistics.html สถิติการข่มขืนกระทำชำเรา] จาก UCSC Rape Prevention Education</ref>
 
== ประวัติศาตร์ของการข่มขืนกระทำชำเรา ==
[[ไฟล์:Konstantin_Makovsky_-_The_Bulgarian_martyresses.jpg|thumb|ภาพวาดของ Konstantin Makovsky ในชื่อภาพ ''The Bulgarian martyresses'' ในปี ค.ศ. 1877 แสดงถึงภาพการข่มขืนกระทำชำเรา]]
 
คำว่า “ข่มขืน”ข่มขืนกระทำชำเรา” มีต้นกำเนิดมาจากคำกริยา[[ภาษาลาติน]]ว่า Rapare หมายถึง ฉวยไว้ หรือ เอามาโดยกำลัง คำนี้ในต้นกำเนิดไม่ได้มีความหมายทางเพศเลย และก็ยังคงใช้อย่างนี้เรื่อยมาในภาษาอังกฤษ ประวัติศาสตร์ของการข่มขืนกระทำชำเราและการเปลี่ยนไปในความหมาย ค่อนข้างซับซ้อน ในกฎหมายโรมัน การข่มขืนกระทำชำเราถูกจัดอยู่ในอาชญากรรมของการก้าวล่วง ไม่เหมือนกับขโมยหรือ[[โจร]]ปล้น การข่มขืนกระทำชำเราถูกใช้ในความหมายที่ว่า “การกระทำผิดต่อสาธารณะ” ซึ่งขัดแย้งกับ “การกระทำผิดต่อบุคคล” [[ซีซาร์ ออกัสตัส]] ออกกฎหมายปฏิรูปการข่มขืนกระทำชำเรา ภายใต้กฎหมาย Lex lulia de vi publica ซึ่งมีนามสกุลของพระองค์ คือ “lulia” ที่อยู่ใต้กฎหมาย ประพฤติล่วงประเวณี Lex lulia de adulteriis ที่โรมฟ้องร้องต่ออาชญากรรมประเภทนี้ [[จักรพรรดิจัสติเนียน]]ยังคงใช้กฎหมายนี้สำหรับเอาผิดผู้กระทำการข่มขืนกระทำชำเราตลอดศตวรรษที่ 6 ในอาณาจักรโรมันตะวันออก ในยุคโบราณตอนปลาย คำว่า Raptus หมายถึง การลักพาเรียกค่าไถ่, การหนีตามกันไป, การปล้น หรือการข่มขืนกระทำชำเรา ในความหมายปัจจุบัน ความสับสนระหว่างคำนี้ ได้เกิดขึ้น เมื่อผู้เขียนจดหมายเหตุของคริสตจักรในสมัยแรก ใช้แยกแยะระหว่าง การหนีตามกันไปเอง โดยไม่ได้รับความยินยอมจาก บิดามารดา และ การก้าวล่วง ทั้งสองอย่างนี้ มีบทลงโทษทางการเมือง โดยอาจจะถูกขับออกจากกลุ่มของครอบครัวหรือหมู่บ้านของผู้หญิงที่ได้ถูกลักพาตัวไป ถึงแม้ว่ากฎหมายฉบับนี้จะทำให้เกิดการลงโทษ การทำให้เสียโฉม หรือความตายแล้วก็ตาม
 
ผ่านส่วนต่างๆ ของประวัติศาสตร์ อาชญากรรมการข่มขืนกระทำชำเรา ถูกมองน้อยกว่าว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการบังคับความต้องการของเพศหญิง แต่เป็นอาชญากรรมที่รุนแรงต่อทรัพย์สินของบุรุษ ผู้ที่เป็นเจ้าของเธอ ในอดีต เรื่องนี้ค่อนข้างจะจริงในกรณีของพรหมจารีที่มีคู่หมั้นไว้แล้ว ถ้าหากเสียความบริสุทธิ์ จะถูกมองว่าเสียคุณค่าอย่างรุนแรง ต่อสามีของเธอ ในกฎหมาย กรณีนี้ จะถือว่าการหมั้นโมฆะ และต้องมีการจ่ายค่าเสียหาย จากชายที่เป็นฝ่ายข่มขืนกระทำชำเรา แก่ครอบครัวของฝ่ายหญิง ภายใต้กฎหมายของพระคัมภีร์ไบเบิ้ลในสมัยแรก ผู้ข่มขืนกระทำชำเรา จะต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน โดยไม่ต้องรับโทษ หากว่าพ่อของเธอยินยอม ในเรื่องของความรุนแรงต่อความต้องการของเพศหญิงนี้ แบ่งได้เป็นสองแบบ แบบแรก คือ ในความหมายของการข่มขืนกระทำชำเรา และอีกอันคือ การที่ผู้ชายผู้หญิงบังคับครอบครัวเขาให้พวกเขาได้แต่งงานกัน
 
ในยุคโบราณของกรีกและโรมันจนถึงยุคล่าอาณานิคม ข่มขืนกระทำชำเราเทียบคู่ไปได้กับ การลอบวางเพลิง, การขายชาติ และ[[การฆาตกรรม]] เลยทีเดียว จะได้รับการลงโทษประหารชีวิต "คนที่ทำการข่มขืนกระทำชำเราจะต้องได้รับโทษประหารที่มีมากมายหลายแบบ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะโหดร้าย เลือดสาด และ ณ เวลานั้น ก็น่าตื่นเต้น” ในศตวรรษที่ 12 ญาติของผู้เสียหาย จะถูกให้ทางเลือกที่จะประหารผู้กระทำผิดด้วยตัวพวกเขาเอง ใน[[อังกฤษ]] ในศตวรรษที่ 14 ตอนต้น เหยื่อของการข่มขืนกระทำชำเรา จะถูกคาดหวังให้ควักลูกตาหรือตีลูก[[อัณฑะ]]ของผู้กระทำผิดให้แตกด้วยตัวของเธอเอง
 
กฎหมายของอังกฤษระบุว่าการข่มขืนกระทำชำเราถือเป็นตัณหารุนแรง ขัดขืนต่อเพศหญิงและความต้องการของเธอ กฎหมายสามัญระบุว่า ตัณหานี้คือการสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศหญิง (และรวมถึงการกระทำอื่นๆภายนอก) อาชญากรรมการข่มขืนกระทำชำเรามีความแตกต่างในขอบข่ายที่ว่ามันมุ่งเน้นไปที่สภาพของจิตใจที่ไม่ได้มีการยินยอม และการกระทำที่ไม่มีการยินยอม นอกจากการกระทำของผู้ประพฤติผิด เหยื่อต้องแสดงหลักฐานการไม่มีการสมยอม ซึ่งถ้าหากยอม จะหมายถึงการที่แค่สามีได้หลับนอนกับภรรยาเท่านั้น ข้อความที่ได้ยินบ่อยๆในการตัดสิน กล่าวโดย[[ผู้พิพากษา]]ศาลสูงของท่านเซอร์ มัทธิว เฮลล์ ในศตวรรษที่ 17 ว่า “การข่มขืนกระทำชำเรา... เป็นคำที่กล่าวได้ง่ายและยากที่จะพิสูจน์ และยากที่จะป้องกันได้โดยฝั่งที่ถูกกล่าวหา รวมทั้งฝั่งที่เป็นผู้แจ้งความ” ผู้พิพากษาเฮลล์ยังเป็นคนให้คำพูดที่ว่า “ในการข่มขืนกระทำชำเรา ผู้ถูกข่มขืนกระทำชำเราต้องขึ้นศาล ไม่ใช่ผู้ข่มขืน”ข่มขืนกระทำชำเรา” ความโน้มเอียงนี้ “ลงโทษคนถูกข่มขืน”ข่มขืนกระทำชำเรา” ยังมีต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าจะมีการปฏิรูประบบการตัดสินใหม่ที่จะกำจัดความเข้าใจที่ผิดนี้ไปแล้วก็ตาม นอกจากนี้ กฎหมายที่ไม่มีเพศ ได้ต่อสู้กับมุมมองเก่าๆที่ว่าการข่มขืนกระทำชำเราไม่เคยมีขึ้นกับเพศชาย ขณะที่ กฎหมายตัวอื่นอาจลืมบริบทนี้ไปด้วยซ้ำ
 
การพัฒนาทางด้านกฎหมายเกี่ยวกับการข่มขืนกระทำชำเราเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 นี้ รวมถึงการตัดสินใจที่โดดเด่นโดยศาลสากลของรวันดา ที่อธิบายการข่มขืนกระทำชำเราว่าเป็นอาวุธระหว่างสถาบันของสงครามล้างเผ่าพันธุ์ที่ทำอย่างจงใจและเป็นระบบ
 
ระบบการให้ความยุติธรรมเกี่ยวกับอาชญากรรมยุคใหม่ เป็นที่รู้กันว่าไม่มีความยุติธรรมต่อบุคคลผู้ตกเป็นเหยื่อการใช้ความรุนแรงทางเพศ (Macdonalds, 2001) กฎหมายที่เป็นแบบฉบับของความไม่เท่าเทียมกันและ กฎหมายพื้นฐานรวมกัน ทำให้การข่มขืนกระทำชำเรา เป็น “กระบวนการอาชญากรรมที่เหยื่อและพฤติกรรมของเธอต้องขึ้นเขียง ไม่ใช่ตัวผู้กระทำผิด” (Howard & Francis, 2000) ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นในมุมมองของการขู่บังคับทางเพศ เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มพลังหญิงอย่างกว้างขวาง และการให้คำจำกัดความ ว่าเป็นอาชญากรรมของอำนาจและการควบคุมมากกว่าความต้องการเรื่องเซ็กส์ล้วนๆ อย่างไรก็ตามผู้ถูกกระทำต้องขึ้นศาลในการข่มขืนกระทำชำเราหลายๆคดี การเคลื่อนไหวทางสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงในปี 1970 ทำให้มีศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบเหตุข่มขืนกระทำชำเราแห่งแรก การเคลื่อนไหวนี้ถูกดูแลโดย สถาบันระดับชาติเพื่อผู้หญิง National Organization for Women หรือ NOW ศูนย์ช่วยผู้ประสบภัยข่มขืนกระทำชำเราที่แรกๆอีกที่หนึ่ง ได้แก่ D.C. Rape Crisis Center เปิดในปี 1972 ถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างความรู้สึกรและความเข้าใจร่วมกันของการข่มขืนกระทำชำเรา และผลกระทบต่อผู้ถูกกระทำ ในปี 1960 มีการเอ่ยถึงอัตราการแจ้งความผิดพลาด 20% ก่อนปี 1973 สถิติได้ลดลงมาอยู่ที่ 15% หลังปี 1973 สำนักงานตำรวจนิวยอร์ก ใช้เจ้าหน้าที่ผู้หญิงสืบสวนผู้ถูกกระทำทางเพศและอัตราลดลงถึง 2% จากข้อมูลของ FBI (Decanis, 1993) การรายงานที่ผิดยากที่จะแปลความได้ การแปรเปลี่ยนไปตามสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งทำให้เกิด “ความผิดพลาด” ไม่ว่าจะหมายถึงอย่างไร ตำรวจหรือ DA มีจะพยายามหาหลักฐานมามากเพียงพอที่จะจับตัวมาขึ้นศาล แม้ว่าคดีจะตกไป หรือแม้ศาลตัดสินว่าไม่มีความผิด หรือแม้ว่าผู้ถูกข่มขืนกระทำชำเราถอนฟ้องเอง ความเป็นไปได้ทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายความว่าการแจ้งความเป็นเท็จ เพราะผู้คนมักจะกล่าวว่าเป็นความผิดของเหยื่อผู้มาแจ้ง
 
ส่วนที่สำคัญอย่างหนึ่งของประวัติศาสตร์การข่มขืนกระทำชำเราคือการก่อตั้งมูลนิธิ RAINN ในปี 1994 โดย Tori Amos (ดารานักร้องชื่อดัง) และ Scott Berkowitz RAINN เป็นศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ของการเคลื่อนไหวการช่วยผู้ประสบภัยข่มขืนกระทำชำเรา และทำให้มีสายด่วนให้ความช่วยเหลือ เก็บสถิติ และให้ข้อมูลผ่าน[[โทรทัศน์]]เป็นที่แรกๆ การข่มขืนกระทำชำเราแบบชายกับชาย ถูกปิดบังเป็นความลับเป็นเวลานานตามประวัติศาสตร์ ถือเป็นเรื่องน่าอายเพราะต้องถูกข่มขืนกระทำชำเราโดยผู้ชายอีกคนหนึ่ง นักจิตวิทยาชื่อ Dr. Sarah Crome ได้มีรายงานว่า การข่มขืนกระทำชำเราของผู้ชายน้อยกว่า 1 ใน 10 ถูกแจ้งความเข้ามา และโดยคนหมู่มาก กล่าวว่า เหยื่อของการถูกข่มขืนกระทำชำเราเพศชายไม่มีการช่วยเหลือและสนับสนุนมากเพียงพอ รวมถึงกฎหมายที่ไม่สามารถจัดการดูแลเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่
 
วัฒนธรรมทั่วโลกส่วนใหญ่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ที่ผู้หญิงจะข่มขืนกระทำชำเราผู้ชายหรือผู้หญิงด้วยกันเองได้ บทลงโทษทางกฎหมายส่วนใหญ่ จึงไม่ได้ระบุลงไป ว่านี่คือการก่ออาชญากรรมร้ายด้วย การข่มขืนกระทำชำเราจะถูกจำกัดความด้วยทั่วไปว่า เป็นการสอดใส่เข้าไป กระทำโดยผู้ข่มขืนกระทำชำเรา ในปี 2007 ในอาฟริกาใต้ กลุ่มของผู้หญิงสาวถูกแจ้งความว่าข่มขืนกระทำชำเราผู้ชายคนหนึ่ง อย่างไรก็ตามความมีอยู่ของเรื่องเหล่านี้ ยังถูกปกคลุมอยู่ด้วยเหตุการณ์ที่โดดเด่นกว่า ของเรื่องการข่มขืนกระทำชำเราปกติ และมักจะถูกอ้างถึงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกลุ่มเพศหญิงและความสนใจเกี่ยวกับเพศหญิง และเหตุการณ์ทางเพศ ในฐานะของความสนใจเพื่อเพิ่มความเข้าใจ จนกระทั่งบัดนี้ เรารู้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้มีความหมายแค่ที่เราได้เคยได้ยินทั่วไปเท่านั้น ต่อจากนี้เราจะได้รู้ว่า การข่มขืนกระทำชำเรา มันมีความหมายมากกว่านั้น
 
=== การข่มขืนกระทำชำเราและสงคราม ===
 
การข่มขืนกระทำชำเรา ในฐานะมูลเหตุของสงคราม ย้อนกลับไปในสมัยโบราณ ไกลเท่าที่กับมีพูดถึงใน[[คัมภีร์ไบเบิ้ล]] ทหารชาว[[อิสราเอล]] [[กรีก]] เปอร์เซีย และโรมัน มักจะข่มขืนกระทำชำเราผู้หญิงและเด็กชาย ในพื้นที่ที่เขาได้ครอบครอง ในยุคปัจจุบัน การข่มขืนกระทำชำเราถูกนับว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม เมื่อถูกทำโดยทหาร หรือกองกำลังมากถึง 80,000 คน ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนกระทำชำเราโดยทหารญี่ปุ่นใน 6 สัปดาห์ของการฆ่าหมู่ในนานกิง คำพูดที่ว่า “ผู้หญิงที่ช่วยให้สบาย” เป็นคำนุ่มนวลที่ใช้ในการบังคับผู้หญิงประมาณ 200,000 คนให้เป็นโสเภณีในซ่องทหารญี่ปุ่น ใน[[สงครามโลกครั้งที่ 2]] หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ทหารกองทัพแดง ข่มขืนกระทำชำเราผู้หญิงประมาณ 2,000,000 คนของเยอรมันรวมถึง เด็ก ทหารโมร็อกโค – ฝรั่งเศส รู้จักในนามของ กูเมียร์ (Goumiers) ได้ข่มขืนกระทำชำเราและทำอาชญากรรมสงครามอื่นๆหลังการสู้รบที่ Monte Cassino.
 
มีคำกล่าวว่ามีผู้หญิงประมาณ 200,000 คน ถูกข่มขืนกระทำชำเราระหว่างสงครามประกาศอิสรภาพของบังคลาเทศโดยทหารชาวปากีสถาน แม้จะเป็นที่ถกเถียงกันมากก็ตาม Sarmila Bose และผู้หญิงอิสลามของ Bosnia ถูกข่มขืนกระทำชำเราโดยกองกำลังชาวเซิร์บ ระหว่าง[[สงครามบอสเนีย]] การแพร่ข่าวลือเรื่องสงครามมักจะทำให้เกิดการปฏิบัติต่อประชากรในท้องที่หนึ่งๆ ไม่ดี โดยกองกำลังของศัตรู เพราะเหตุนี้มันจึงยากในทางปฏิบัติและในทางนโยบายทางการเมืองที่จะมองอย่างคมชัด ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันแน่
 
== คำจำกัดความของการข่มขืนกระทำชำเรา ==
ในการตัดสินคดีความ อาชญากรรมต่อการข่มขืนกระทำชำเราถูกให้นิยามเมื่อมีการร่วมประเวณีเกิดขึ้น (หรือพยายามทำให้เกิด) โดยไม่มีการยินยอมโดยสมควร เมื่อมีคนใดคนหนึ่ง (ไม่ยอม) มาเกี่ยวข้องด้วย และมักจะมีคำจำกัดความของการสอดใส่เข้าไปในช่องคลอดหรือทวารหนักโดยอวัยวะเพศชาย ในบางการตัดสิน การสอดใส่ไม่จำเป็นต้องใช้องคชาติ แต่สามารถเป็นอวัยวะส่วนอื่นของร่างกาย (เช่น นิ้วหนึ่งนิ้วหรือมากกว่านั้น หรือการสอดใส่ทางอื่นๆ เช่น ทางปาก ร่องอก หรือร่องก้น) หรือ โดยวัตถุ (เช่น ขวด) หรืออีกนิยามคือการผลักดันโดยใช้อวัยวะเพศหญิงหรือทวารหนักบนองคชาติของเพศชาย โดยผู้กระทำเป็นผู้หญิง
 
คำตัดสินอื่นขยายความว่า คำว่า ข่มขืนกระทำชำเรา หมายถึงกิจการใดๆที่กระทำโดยใช้อวัยวะเพศ ของคนหนึ่งคนหรือสองคน ในเวลานั้น ตัวอย่างเช่น การใช้ปากหรือใช้มือสำเร็จความใคร่ให้กับผู้อื่น โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ถูกกระทำ
 
* ภายใต้การขู่บังคับประเภทต่างๆ (การใช้กำลัง, ความรุนแรง, [[การแบล็คเมล์]] และอื่นๆ)
บรรทัด 43:
* อายุต่ำกว่าเกณท์ที่จะให้การยินยอม ที่นับว่าถูกตามกฎหมายได้
การข่มขืนกระทำชำเราผู้มีอายุต่ำกว่าเกณฑ์ที่ยินยอมให้ร่วมประเวณีด้วยได้ ('''Statutory Rape''') นับการมีการสัมพันธ์ทางเพศว่าเป็นการข่มขืนกระทำชำเรา โดยไม่จำเป็นว่า มีการใช้อำนาจบังคับหรือเป็นอีกฝ่ายพร้อมใจหรือไม่ กฎหมายแบบนี้ เป็นเรื่องปกติและมีขึ้นเพื่อป้องกันผู้ใหญ่ที่อยากจะมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก ที่ดูเหมือนว่าจะยังไม่สามารถให้การตัดสินใจที่มีรอบคอบ
 
 
ในบทลงโทษของกฎหมายบราซิล กล่าวถึงการข่มขืนกระทำชำเราว่า ต้องเป็นการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่เหมือนในยุโรปและอเมริกาส่วนมาก ผู้ชายข่มขืนกระทำชำเราผู้ชาย, การข่มขืนกระทำชำเราทาง[[ทวารหนัก]] และการข่มขืนกระทำชำเราทางปาก ไม่นับว่าเป็นอาชญากรรม ในกรณีนี้ จะนับว่าเป็น “ความพยายามอย่างรุนแรงต่อสู้ความอ่อนน้อมของคนๆหนึ่ง“ เท่านั้น บทลงโทษเองก็เช่นเดียวกัน
 
ใน[[สก็อตแลนด์]] การข่มขืนกระทำชำเราเป็นการระบุเพศลงไป หมายความว่ามันสามารถทำได้โดยผู้ชายต่อผู้หญิงเท่านั้น ปาก, ทวารหนัก จะไม่นับว่าเป็น “การข่มขืน”ข่มขืนกระทำชำเรา” รวมถึงการสอดใส่ทางอื่นๆ ด้วย คำจำกัดความถูกใช้โดยศาลสากลของรวันดาตามท้องที่ในปี 1998 ว่า “การบุกรุกทางร่างกายในความเป็นธรรมชาติในเรื่องเพศ กระทำโดยบุคคลภายใต้สถานการณ์ที่ใช้กำลังบังคับ” ในการตัดสินอย่างเจาะจงลงไป มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินว่ามีความผิด ระหว่างคู่สามีภรรยา เพราะต่างก็อยู่บนพื้นฐานของ “ความยินยอมโดยนัย” หรือ (ในกรณีของอาณานิคมอังกฤษก่อนหน้านี้) เพราะข้อเรียกร้องของการเห็นชอบด้วยกฎหมาย ว่าการร่วมประเวณี ถือเป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ซึ่งอยู่นอกขอบข่ายของการแต่งงาน) อย่างไรก็ตาม ในหลายๆการตัดสิน สามารถที่จะนำการฟ้องร้องดำเนินคดีได้ โดยระบุลงไปว่ามันคือการขู่บังคับ
 
== สาเหตุของการข่มขืนกระทำชำเรา ==
 
การดื่ม[[เครื่องดื่มแอลกอฮอล์]]หรือการใช้[[สิ่งเสพติด]] มักจะเกี่ยวข้องกับการข่มขืนกระทำชำเรา ใน 47% ของการข่มขืนกระทำชำเราทั้งเหยื่อและผู้กระทำผิดจะดื่มเหล้า มีเพียง 17% ที่ผู้กระทำผิดเท่านั้นดื่ม 7% ของเหยื่อทั้งหมดเท่านั้นที่ดื่ม การข่มขืนกระทำชำเราที่ไม่มีการดื่มเหล้าทั้งผู้กระทำและเหยื่อมีเพียง 29% ของทั้งหมด สาเหตุที่เป็นแรงจูงใจของผู้ข่มขืนกระทำชำเราจะมีแตกต่างกันไป
 
นักวิจัยส่วนใหญ่พบว่า มูลเหตุของการข่มขืนกระทำชำเราคือ ความปรารถนาที่ก้าวร้าวที่ต้องการจะอยู่เหนือฝ่ายตรงข้าม มากกว่าต้องการที่จะได้รับความสุขทางเพศ “เราสามารถคิดได้ว่าไม่มีคำอ้างอื่นใดที่ดีกว่านี้ในทางสังคมศาสตร์ ได้มีการยอมรับอย่างกว้างขวางในหลักฐานที่มีเหลืออยู่น้อยมากๆ” เขียนโดย Felson และผู้แต่งร่วม Tedaschi ผู้เริ่มมุมมองที่ขัดแย้งกันของการปะทะทางสังคม ที่กล่าวว่า ความปรารถนาทางเพศอาจเป็นเพียงแค่ปัจจัยหนึ่งของเท่านั้น พวกเขาระบุว่า การข่มขืนกระทำชำเรานับเป็นการกระทำของความทารุณมากกว่าการเผชิญหน้ากันทางเพศ คันดิฟ (2004) แย้งว่านั่นคือความไม่ปรากฏของทางออกอื่นของความใคร่ของผู้ชาย ตัวอย่างเช่น [[การขายบริการทางเพศ]] อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ชักนำสู่การข่มขืนกระทำชำเรา
 
นักข่มขืนกระทำชำเราส่วนมากไม่มีการเลือกว่าจะข่มขืนกระทำชำเรา ต่อเมื่อมีความเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ ประมาณ 90% ของนักข่มขืนกระทำชำเราคนที่เข้าร่วมทดลองกับ Baxter et al ในปี 1986 กล่าวว่า จะถูกกระตุ้นโดยภาพที่ดีงามของการพึ่งพาอาศัยกันและมีความสุขในเรื่องเซ็กส์ มากกว่าการข่มขืนกระทำชำเราที่ต้องใช้ความรุนแรงเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ไม่มีความแตกต่างกันมากนักระหว่างรูปแบบของการกระตุ้นอารมณ์ของนักข่มขืนกระทำชำเราและผู้ที่ไม่ใช่
 
== ประเภทของการข่มขืนกระทำชำเรา ==
 
มีประเภทของการข่มขืนกระทำชำเรา 6 – 7 อย่าง โดยมากจะถูกจำแนกออกโดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บุคลิกของเหยื่อ และบุคลิกของผู้ก่อเหตุ ประเภทที่แตกต่างของการข่มขืนกระทำชำเรารวมอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ได้หมายความว่านั่นคือจบ เช่น การข่มขืนกระทำชำเราขณะออกเดท, การข่มขืนกระทำชำเราแบบกลุ่ม, การข่มขืนกระทำชำเราในสมรส, การข่มขืนกระทำชำเราในห้องคุมขัง, การข่มขืนกระทำชำเราโดยคนรู้จัก และการข่มขืนกระทำชำเราระหว่างสงคราม
 
แม้ว่าคนพยายามจะทึกทักเอาเอง แต่การข่มขืนกระทำชำเราโดยคนแปลกหน้าเกิดขึ้นน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับรูปแบบอื่นของการข่มขืนกระทำชำเรา อย่างไรก็ตามการข่มขืนกระทำชำเรารูปแบบนี้พบได้บ่อยในข่าวอาชญากรรม
 
'''การข่มขืนกระทำชำเราโดยผู้กระทำการ'''
{| class="wikitable"
|-
บรรทัด 95:
|}
 
ผลการวิจัยทางการข่มขืนกระทำชำเราและการแจ้งความระบุว่า การข่มขืนกระทำชำเราส่วนใหญ่มีคำจำกัดความว่าฝ่ายชายกระทำต่อฝ่ายหญิงเท่านั้น งานวิจัยของชายกระทำต่อชายและผู้หญิงต่อผู้ชายกำลังดำเนินการ ใกล้จะเสร็จ อย่างไรก็ตาม ไม่มีการวิจัยใดเลยที่กล่าวว่ามีผู้หญิงข่มขืนกระทำชำเราผู้หญิง แม้ว่าผู้หญิงส่วนมากจะสามารถต้องข้อหาว่าข่มขืนกระทำชำเราได้ก็ตาม
 
=== การโทรม ===
บรรทัด 102:
== สถานที่ ==
 
ขัดแย้งกับความเชื่อของคนโดยทั่วไป การข่มขืนกระทำชำเราภายนอกบ้านน่าจะมากที่สุด แท้จริงแล้วเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้น มากกว่า 2 ใน 3 ของการข่มขืนกระทำชำเราทั้งหมด เกิดที่ “ บ้าน ” ของใคร คนใดคนหนึ่ง, 30.9 % เกิดในบ้านของผู้กระทำการ, 26.6 % เกิดในบ้านของเหยื่อ, 10.1 % เกิดในบ้านที่เช่าร่วมกันของเหยื่อและผู้กระทำความผิด , 7.2 % เกิดในงานปาร์ตี้, 7.2 % เกิดในยานพาหนะ, 3.6 % เกิดนอกบ้าน และ 2.2 % เกิดในบาร์
 
== สถิติของการข่มขืนกระทำชำเรา ==
 
สหประชาชาติได้รับความยินยอมจากรัฐบาลจากหลักฐานที่แสดงว่า มากกว่า 250,000 คดีข่มขืนกระทำชำเรา หรือพยายามข่มขืนกระทำชำเราทุกปี ได้ถูกบันทึกไว้โดยตำรวจ ข้อมูลนี้ครอบคลุมถึง 65 ประเทศ
 
สืบเนื่องมาจากเอกสารทางความยุติธรรมของกระทรวงยุติธรรมในสหรัฐอเมริกา “การทำให้เป็นเหยื่ออาชญากรรมในสหรัฐอเมริกา” , มีเหยื่อ 191,670 คนจากการข่มขืนกระทำชำเราและการขู่บังคับในปี 2005 เพียง 16% เท่านั้นของทั้งสองอย่างนี้ ที่ถูกรายงานถึงตำรวจ (การข่มขืนกระทำชำเราในอเมริกา: รายงานต่อประชาชาติ. 1992 Rape in America: A Report to the Nation. 1992) 1 ใน 6 ของผู้หญิงอเมริกันมีประสบการณ์ของการถูกพยายามข่มขืนกระทำชำเราหรือถูกทำจนสำเร็จ บางประเภทของการข่มขืนกระทำชำเราถูกแยกออกไปจากการรายงานอย่างเป็นทางการ (คำจำกัดความของ FBI ตัวอย่างเช่น ไม่รวมการข่มขืนกระทำชำเราทุกประเภท ยกเว้นการข่มขืนกระทำชำเราแบบใช้กำลังบังคับเพศหญิงเท่านั้น) เพราะจำนวนตัวเลขหลักๆ ของการข่มขืนกระทำชำเราไม่ได้ถูกรายงาน ถึงแม้เขาจะรวบรวมในสิ่งที่รายงานได้ไปแล้ว และเพราะจำนวนตัวเลขต่างๆเหล่านั้นที่รายงานเข้ามาถึงตำรวจ ไม่ดำเนินการต่อในการฟ้องร้องด้วย
 
การข่มขืนกระทำชำเราโดยผู้หญิงเป็นปรากฏการณ์ที่ยากจะเข้าใจ นั่นคือเป็นที่โจษขานว่าไม่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป และถ้ามี ก็จะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความตกใจ, ช็อค, หรือความสับสนอย่างมาก ในสหรัฐอเมริกาสืบเนื่องจาก การวิจัยเหยื่ออาชญากรรมแห่งชาติ การปรับเปลี่ยนอัตราการการเป็นเหยื่อหรือการข่มขืนกระทำชำเรา ต่อประชากร 1 ได้ลดลงจากประมาณ 2.4 % ต่อประชาชน 1,000 คน (อายุ 12 ขึ้นไป) ในปี 1980 ประมาณ 0.4 ต่อ 1,000 คน ซึ่งลดลงถึง 85% แต่การสำรวจของรัฐบาลอื่นๆ เช่น การตกเป็นเหยื่อทางเพศของวิทยาลัยสตรีศึกษา วิจารณ์การวิจัยเหยื่ออาชญากรรมแห่งชาติ บนพื้นฐานที่ว่ามันรวบรวมแค่การกระทำที่จามความเข้าใจของเหยื่อว่าเป็นอาชญากรรมเท่านั้น และรายงานอัตราการตกเป็นเหยื่อที่สูงขึ้น
 
ขณะที่นักวิจัยและทนายความไม่เห็นด้วยกับเปอร์เซ็นต์ที่แน่นอนของการกล่าวหา พวกเขาเห็นด้วยว่า น่าจะประมาณ 2 – 8 % ความเชื่อที่ว่ามีการกล่าวหาที่ผิดเป็นปัญหาธรรมดา เป็นเรื่องไม่เข้าท่า ด้วยเรื่องความเชื่อนี้ได้บั่นทอนกำลังใจของผู้ถูกข่มขืนกระทำชำเราไม่ให้ฟ้องร้อง เพราะกลัวว่าตัวเองจะต้องตกเป็นผู้ต้องหาเสียเอง สืบเนื่องจากรายงานของกระทรวงป้องกันผู้ต้องสงสัยทั่วไป ที่ออกมาในปี 2005 ประมาณว่า 73% ของผู้หญิงและ 72% ของผู้ชายในการศึกษาด้านทหาร เชื่อว่าการกล่าวหาที่ผิดจากการข่มขู่ทางเพศเป็นเป็นปัญหาใหญ่
 
จากปี 2000 -2005 , 95% ของการข่มขืนกระทำชำเราไม่ดู้กรายงานภายใต้ระบบกฎหมาย ปัจจัยหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความเข้าใจผิดอันนี้คือ การข่มขืนกระทำชำเราส่วนหใญ่กระทำโดยคนที่ไม่รู้จัก ในความเป็นจริง จากแผนกสถิติเพื่อความยุติธรรม กล่าวว่า 38% ของเหยื่อ ถูกข่มขืนกระทำชำเราโดยเพื่อนหรือคนรู้จัก ,28% ถูกข่มขืนกระทำชำเราโดย “ เพื่อนสนิท” , 7% โดยคนที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์อื่นๆ, และ 26% ถูกข่มขืนกระทำชำเราโดยคนแปลกหน้า เกือบ 4 ใน 10 ของการขู่บังคับทางเพศ เกิดที่บ้านของเหยื่อเอง
 
มากกว่า 67,000 คดี ที่เกิดขึ้นกับเด็ก ถูกรายงานในปี 2000, ในอาฟริกาใต้ กลุ่มสวัสดิการเด็ก เชื่อว่าจำนวนตัวเลขที่ไม่ได้ถูกรายงานเข้ามาน่าจะมากกว่าจำนวนตัวเลขที่มี 10 เท่า ความเชื่อที่เป็นสากลของอาฟริกาใต้คือ การมีเพศสัมพันธ์กับสาวพรหมจารีย์จะช่วยรักษาผู้ชายจาก [[HIV]] หรือ[[โรคเอดส์]]ได้ อาฟริกาใต้มีจำนวนประชากรติดเชื้อ HIV สูงที่สุดในโลก สืบเนื่องจากตัวเลขของทางการ 1 ใน 8 ของชาวอาฟริกามีเชื้อไวรัสอยู่ในตัว Edith Kriel, นักสังคมสงเคราะห์ ที่ช่วยผู้ถูกกระทำเด็ก ในแหลมตะวันออก กล่าวว่า “ การกระทำทารุณกรรมเด็กทางเพศมักจะทำโดยญาติของเด็กเอง อาจเป็นพ่อหรือคนที่หาเลี้ยงครอบครัว”
บรรทัด 120:
สืบเนื่องจากมหาวิทยาลัย Durban-Westville แผนกมานุษยวิทยาและนักวิจัย ชื่อ SuZanne Leclerc-Madlana, "ตำนานการมีเพศสัมพันธ์กับพรหมจารีย์ เพื่อรักษาเอดส์ไม่ได้มีแค่ในอาฟริกาใต้เท่านั้น" กลุ่มนักติดตามผู้วิจัยเรื่องเอดส์ใน[[แซมเบีย]], [[ซิมบับเว]] และ[[ไนจีเรีย]] กล่าวว่า ความเชื่อนี้มีอยู่ในประเทศเหล่านี้ มันจึงถูกโทษว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้อัตราการใช้เด็กในทางที่ผิดทางเพศสูง โดยเฉพาะต่อเด็กเล็กๆ
 
== ผลกระทบของการข่มขืนกระทำชำเรา ==
 
หลังถูกข่มขืนกระทำชำเราเป็นเรื่องปกติสำหรับเหยื่อที่จะประสบกับความเครียด และบางครั้งก็คาดเดาไม่ได้ ความรู้สึกอ่อนไหวมาก และพวกเขาอาจจะพบว่ายากที่จะจัดการกับความทรงจำของพวกเขาต่อเหตุการณ์ ผู้ถูกกระทำอาจรู้สึกบาดเจ็บอย่างรุนแรงจากการขู่บังคับและอาจพบความยากลำบากในการดำเนินชีวิตปกติ ไม่มีสมาธิ รูปแบบการนอนและการรับประทานเปลี่ยนไป เช่น อาจรู้สึกดีในการอยู่ที่ขอบตึก ในหลายเดือนต่อมาหลังเกิดเหตุการณ์ ปัญหาเหล่านี้จะรุนแรงขึ้น เศร้าสลดมากขึ้น และอาจทำให้ผู้ประสบเหตุการณ์ไม่บอกเล่าเหตุการณ์เหล่านี้กับเพื่อนหรือคนในครอบครัว ไม่ไปแจ้งความกับตำรวจหรือมองหาการให้คำปรึกษา นี่อาจมีผลต่ออาการเครียดอย่างรุนแรงและควบคุมไม่ได้ (Acute Stress Disorder) ซึ่งมีอาการดังนี้
 
** รู้สึกชา และถูกตัดขาด เหมือนอยู่ในภวังค์หรือความฝัน หรือรู้สึกว่าโลกนี้เปลี่ยนไปและไม่เป็นความจริง
บรรทัด 132:
มันสามารถทำให้เกิด[[ความผิดปกติทางจิตใจภายหลังภยันตราย]] (Post-Traumatic Stress Disorder หรือ PTSD) อย่างไรก็ดีขณะที่ผลกระทบของฝันร้ายอาจจะแย่มาก และอาจส่งผลกระทบต่อผู้รอดมาได้ในการใช้กำหนดชีวิต มันยังเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องจำว่าการตอบสนองของผู้รอดชีวิตเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลและแตกต่างกันไปตามเอกลักษณ์ของแต่ละคน
 
ในปี 1972 แอน วอล์เบิร์ท เบอร์เก็สส์ และลินดา ลีทเทิ่ล โฮลสตอร์ม ได้ทำการศึกษาของผลการตอบสนองต่อการข่มขืนกระทำชำเรา พวกเขาสัมภาษณ์เหยื่อที่ได้ให้คำปรึกษาแล้วจากห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเมืองบอสตันและพบว่ามีรูปแบบของปฏิกิริยาตอบสนองที่เขาเรียกว่า อาการบาดเจ็บของการข่มขืนกระทำชำเรา พวกเขาอธิบายว่า มี 2 องค์ประกอบที่สำคัญคือระยะล่อแหลม (Acute) และระยะปรับตัวใหม่ (Reorganization)
 
ระหว่างระยะล่อแหลมผู้รอดชีวิตจะพบกับความช็อกและไม่เชื่อ รู้สึกตัวแข็ง หรืออาจจะพยายามงดติดต่อกับผู้อื่น และมองว่าตัวพวกเขาเอง คือ “พวกคนที่ถูกข่มขืน”ข่มขืนกระทำชำเรา” เขาจะรู้สึกอับอาย สับสน สกปรก สำนึกผิด กับการขู่เข็ญที่ได้เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้ข่มขืนกระทำชำเราเป็นคนรู้จัก ความฝันที่เลวร้ายนี้ ทำให้ความวิตกกังวลถึงขีดสุด บ่อยครั้งมีภาพหวนซ้ำๆและความพยายามอย่างแข็งแกร่งที่จะหยุดติดต่อกับอารมณ์ของตัวเอง เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้น และนั่นคือ “การปฏิเสธ” พยายามที่จะทำให้ตนเองเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ไม่เป็นความจริง ถ้าการข่มขืนกระทำชำเราเป็นไปโดยคนรู้จัก เหยื่ออาจจะพยายามปกป้องผู้กระทำการ
 
เหยื่ออาจจะตอบสนองการข่มขืนกระทำชำเราในทางที่แสดงออกหรือในทางควบคุม ในทางที่แสดงออกจะปรากฏภายนอกอย่างชัดเจน เช่น ร้องไห้, สั่น, โกรธ, ความเครียด, การประชดประชัน, การหัวเราะอิหลักอิเหลื่อ, ความไม่ผ่อนคลาย ในแบบควบคุม จะปรากฏคือเหยื่อเงียบ ขรึม และพยายามไล่เลียงเหตุการณ์อย่างเป็นระบบ แม้เมื่อเผชิญหน้ากับความสับสนภายในตัวที่รุนแรง ไม่มีการกำหนดว่าต้องเป็นรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่เกิดกับเหยื่อ ทุกๆคน จะต้องเผชิญกับอารมณ์ที่โศกสับสนสุดขีด แตกต่างกันไป
 
หลังระยะล่อแหลม ระยะปรับตัวใหม่จะเกิดขึ้น และผู้รอดชีวิตพยายามที่จะสร้างโลกใบใหม่ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยรู้จัก ระยะนี้จะอยู่ไปเป็นเดือนๆหรือเป็นปีๆหลังการขู่บังคับ และแม้ว่า เขาจะมีความพยายามอย่างมากที่สุดในระยะนี้มันก็จะผ่านไปด้วยความรู้สึกของผิด ละอาย กลัว และเครียดกังวล อารมณ์ต่างๆ อย่างเช่น โกรธ วิตกกังวล การหักล้างกัน และ การสูญเสีย (ความมั่นคง) จะปรากฏขึ้น การพัฒนาการในการไร้ความสามารถที่จะ เชื่อ มักจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดตามมาหลังการข่มขืนกระทำชำเรา ความสูญเสียนี้ ในความต้องการขั้นพื้นฐาน สามารถที่จะทำลายชีวิตของผู้ถูกข่มขืนกระทำชำเราให้พังราบเลยทีเดียว ทำให้พวกเขารู้สึกไร้กำลัง และไม่สามารถควบคุมร่างกายมนุษย์ของตนได้ เขาอาจจะรู้สึกไม่ปลอดภัย ซึ่งสามารถทำให้ความเครียดวิตกกังวลสูงขึ้นเช่นเดียวกับความยากลำบากในการมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด เหยื่ออาจจะพยายามที่จะกลับไปสู่การตอบสนองที่ธรรมดาตามรูปแบบสังคม (เช่น มีการหมั้นหมาย) แต่ก็จะพบว่า ตัวของเขาเองไม่สามารถทำได้ และความพยายามที่จะ “ปั้น” ตัวเขาขึ้นใหม่ในความสัมพันธ์อาจต้องถูกยกเลิกไปเพราะการขาดความเชื่อมั่น
 
ผู้รอดชีวิตมักจะแยกตัวอยู่ตามลำพังจากกลุ่มคนที่สนับสนุนเขา อาจเป็นทางร่างกายหรือทางอารมณ์ความรู้สึก ผู้รอดชีวิตอาจจะรู้สึกแปลกแยกจากเพื่อนเนื่องจากมุมมองที่เกี่ยวเนื่องกับประสพการณ์ส่วนตัว การกระจัดกระจายไปของความเชื่อ ทำให้มีผลต่อความสัมพันธ์เชิงลึก เพราะผู้รอดชีวิตมักจะมีความสงสัยที่เพิ่มขึ้นต่อแรงจูงใจและความรู้สึกของผู้อื่น
บรรทัด 148:
== การฟ้องผิดของตัวเหยื่อเอง ==
 
“การฟ้องผิดของตัวเหยื่อเอง” เป็นสิ่งที่ยึดเหยื่อไว้กับอาชญากรรม อาจจะหมายถึงว่าทั้งหมดหรือบางส่วนที่เกิดขึ้น เหยื่อต้องรับผิดชอบ ในบริบทของการข่มขืนกระทำชำเรา ความคิดนี้อ้างถึงทฤษฎี “โลกที่ยุติธรรม” (Just World Theory) และเป็นความคิดที่นิยมมากว่าพฤติกรรมของเหยื่อคนนั้น (เช่นชอบหว่านเสน่ห์, หรือใส่เสื้อผ้าที่เปิดเผย) อาจทำให้เกิดการข่มขืนกระทำชำเราขึ้น ในกรณีที่มากที่สุด เหยื่ออาจบอกว่า “เรียกร้องมากเหลือเกิน” เพียงแค่ไม่ได้ประพฤติตัวเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้เท่านั้น ในประเทศแถบตะวันตก การป้องกัน ”การเปิดเผย” ไม่ถูกยอมรับว่าจะทำให้การข่มขืนกระทำชำเราผ่อนคลายลง การสำรวจทั่วโลกพบว่าทัศนคติที่มีต่อความรุนแรงทางเพศที่มีในคุยกันรอบโลกเพื่อการวิจัยด้านสุขภาพ (Global Forum for Health Research) แสดงว่าทฤษฎีเรื่องการโทษตัวเองของเหยื่ออย่างน้อยก็ได้รับการยอมรับในประเทศต่างๆ มากมาย ในบางประเทศ การที่เหยื่อโทษตัวเองยิ่งเป็นสิ่งธรรมดากว่า และผู้หญิงที่ถูกข่มขืนกระทำชำเราก็จะถูกลงความเห็นว่าประพฤติตัวไม่เหมาะสม บ่อยครั้งที่หลายประเทศมีการรณรงค์ทางการเมืองและสร้างสื่อโฆษณาเพื่อกำจัดเรื่องราวของการข่มขืนกระทำชำเรา (ทัศนคติและความเชื่อยุยงที่ก่อให้เกิดการใช้ความรุนแรงทางเพศ) การยืนกรานอย่างแข็งขัน แต่หลายๆ ความคิดเห็นก็ยังคงโต้แย้งว่าต้องมีผู้หญิงบางคน ที่ชอบกามวิปริตและการหลอกลวง
 
== การกล่าวโทษตัวเอง ==
บรรทัด 164:
=== คำจำกัดความของการโทษตัวเอง ===
 
การโทษตัวเองเป็นทักษะที่เกี่ยวเนื่องกับการหลีกเลี่ยงในการเยียวยารักษา ความคิดประเภทนี้เกี่ยวข้องกับการกล่าวโทษตัวเองของเหยื่ออย่างไม่ถูกต้องในกระบวนการเหตุผล (รู้จักในฐานะ การคิดที่ขัดแย้งกับความเป็นจริง หรือ counterfactual thinking) ซึ่งสามารถที่จะรักษาได้โดยเทคนิคการบำบัดรักษาที่รู้จักกันในนาม การสร้างใหม่ด้วยเหตุผล (cognitive restructuring) ปัญหาหลักที่เหยื่อคือความรู้สึกว่ากระทำความผิด (เป็นตราบาปให้ตัวเอง) ก่อให้เกิดเกิดปัญหาทางจิตวิทยามากขึ้น มากกว่าการกระทำ มันง่ายที่จะเปลี่ยนการกระทำมากกว่าเปลี่ยนความเป็นตัวบุคคล ความรู้สึกผิดทำให้เกิดการหาทางออกและความละอายทำให้เกิดการเหวี่ยงทิ้ง (pulling away) หรือต้องการอยากหายตัวไปจากโลก การกระทำดังกล่าวจะปิดกั้นเหยื่อจากความช่วยเหลือที่จะเข้ามาและการดำเนินคดีกับผู้ข่มขืนกระทำชำเรา ความรู้สึกว่าเราสามารถควบคุมได้ในขณะปฏิบัติการ (ข่มขืนกระทำชำเรา) (ควบคุมในอดีตหรือการกล่าวโทษตัวเอง) จะมาพร้อมไปกับความรู้สึกมีความเศร้าโศกเสียใจมากขึ้น ในขณะที่การเชื่อว่าคุณสามรถจะควบคุมได้ดีที่สุดในตอนนี้ (การควบคุมในปัจจุบัน หรือควบคุมในกระบวนการรักษา) จะเกี่ยวข้องไปกับการเศร้าเสียใจที่น้อยลง การถอนตัวที่น้อยลงและมีกระบวนการสร้างใหม่ที่มากขึ้น
 
=== ผลกระทบที่ทำลายจากการโทษตัวเอง ===
บรรทัด 172:
 
=== การเยียวยารักษา ===
การตอบสนองทางคำปรึกษาพบว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์ในเยียวยาคือ ลดการฟ้องผิดในตัวเองลง, การให้ความรู้ความเข้าใจในทางจิตวิทยา (เรียนรู้เกี่ยวกับอาการทรมานจากการถูกข่มขืนกระทำชำเรา) และสิ่งที่อธิบายเกี่ยวกับสาเหตุของการฟ้องผิด การสำหรับการโทษตัวเองคือการสร้างใหม่ด้วยเหตุผล (cognitive restructuring) หรือ การเยียวยาจากพฤติกรรมเชิงเหตุผล ( cognitive-behavioral therapy) การสร้างใหม่ด้วยเหตุผลคือกระบวนการของการนำเอาความจริงมาสร้างข้อสรุปที่สมเหตุสมผลจากพวกเขา ซึ่งข้อสรุปนั้นที่ได้รับอิทธิพลน้อยที่สุดจากความละอายและความรู้สึกผิดของตัวเขาเอง
 
== มุมมองทางสังคมชีววิทยา ==
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาดูที่ [[:en:Sociobiological theories of rape]]
 
บางคนโต้แย้งว่าการข่มขืนกระทำชำเรา คือยุทธวิธีของการสืบเผ่าพันธุ์ ที่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์หลายอย่างในอาณาจักรสัตว์ (เช่น เป็ด, ห่าน, และปลาโลมาบางชนิด) มันเป็นการยากที่จะกำหนดลงไปว่าอะไรทำให้เกิดการข่มขืนกระทำชำเราขึ้นมาระหว่างสัตว์ อย่างเช่น การขาดการแสดงออกถึงความยินยอม อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นท่ามกลางมนุษย์ สามารถดูได้อีกจาก Non-human animal sexuality.
 
นักสังคมชีววิทยาบางคนโต้แย้งว่าความสามารถของเราที่จะเข้าใจการข่มขืนกระทำชำเรา (และในการป้องกันมัน) เป็นเรื่องที่ครึ่งๆกลางๆอย่างรุนแรง เพราะจุดเริ่มต้นของมันในวิวัฒนาการมนุษย์ถูกเพิกเฉยเสีย บางการศึกษาชี้ให้เห็นว่าในทฤษฏีวิวัฒนาการนั้น สำหรับเพศชายที่ขาดความสามารถในการชักจูงผู้หญิงให้ร่วมหลับนอนด้วยโดยไม่ใช้ความรุนแรงได้ส่งผ่านต่อมาทางยีนส์พันธุกรรม
 
นักวิจารณ์สังคมชาวอเมริกันชื่อ คามิลล์ ปาเจลีย และนักสังคมชีววิทยาบางคน ได้โต้เถียงว่าพลังการโทษตัวเองของเหยื่อ อาจจะไม่มีส่วนประกอบทางจิตวิทยาเลยในบางกรณี ตัวอย่างของแบบแผนทางสังคมชีววิทยาชี้ให้เห็นว่าพวกเขาอาจจะได้รับถ่ายทอดทางยีนส์ สำหรับผู้ชายหรือผู้หญิงที่ยอมตัวให้อ่อนแอลงจนทำให้มีการข่มขืนกระทำชำเราได้ และนี่อาจเป็นหน้าตาของชีววิทยาว่าด้วยเรื่องสมาชิกในสายพันธุ์
 
== การสูญเสียการควบคุมและความเป็นส่วนตัว ==
การข่มขืนกระทำชำเราถูกนับว่าเป็น “อาชญากรรมของความรุนแรงและการควบคุม” ตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา นักวรรณคดีวิเคราะห์ทางจิตวิทยาอธิบาย ”การควบคุม” ว่าเป็นกุญแจในคำจำกัดความว่า “ความเป็นสิทธิ์ส่วนตัว” เช่น
 
* “ความเป็นสิทธิ์ส่วนตัวไม่ใช่การหายไปของผู้ใดผู้หนึ่งจากการปรากฏตัวของอีกผู้หนึ่ง แต่การควบคุมเหนือคนที่เราติดต่อสัมพันธ์ด้วยต่างหาก ที่มี (ทำให้มีการหายไปของผู้หนึ่งผู้ใด) อยู่ด้วย” (Pedersen, D. 1997)
บรรทัด 194:
* การพัฒนาการของบุคคล (Pedersen, D. 1997)
 
ความรุนแรงต่อความเป็นบุคคล หรือการ “ควบคุม” มาในหลายๆรูปแบบ สำหรับการบังคับทางเพศส่งผลต่อความทุกข์ทรมานใจเป็นรูปแบบหนึ่งที่เห็นได้ชัดแจ้งที่สุด เหยื่อหลายคนของการถูกข่มขืนกระทำชำเรา ทรมานจากการกินผิดปกติ เช่น อะนอเร็กเซีย (anorexia) และ/หรือ การล้วงคอให้อาเจียน (บูลิเมีย, bulimia) ซึ่งก็ยังคงอยู่ในประเด็นของการควบคุม ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนโต้แย้งว่ามันดูสมเหตุสมผลกว่าที่จะบอกประเด็นว่าการขู่บังคับทางเพศว่าเป็นการก้าวล่วงความเป็นส่วนตัว (Mclean, D. 1995)
 
คนคนนั้นรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อพูดถึงประเด็นก้าวล้ำความเป็นส่วนตัว และในการเน้นย้ำถึงว่า เขาและเธอมีสิทธิ์ที่จะได้รับความเคารพ... เขาเหล่านั้นก็จะเข้าใจการข่มขืนกระทำชำเรามากขึ้น เข้าใกล้การข่มขืนกระทำชำเราด้วยความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นสิทธิ์ส่วนตัวจะช่วยพวกเขาให้ไกลจากเรื่องตราบาปในสังคม
 
ศาลสูงสุดของสหรัฐฯที่ดูแล Kansas v. Hendrick ที่มีผู้ต้องหาข่มขู่ทางเพศสามารถที่จะกระทำผิดได้อีกหลังได้รับการปล่อยตัวออกจากคุก
บรรทัด 225:
** 10 Kay, Aaron C., Jost, John T. & Young, Sean (2005) Victim Derogation and Victim Enhancement as Alternate Routes to System Justification. Psychological Science 16 (3) , 240-246.
 
''' ประวัติศาสตร์ของการข่มขืนกระทำชำเรา '''
** 1 Dejanikus, T. (1981). Rape Crisis Centers: Ten Years After. Off Our Backs, Washington: 14 (8) p. 17.
** 2 DiCanio, M. (1993). The encyclopedia of violence : origins, attitudes, consequences. New York : Facts on File
บรรทัด 272:
** 18 Pedersen, DM (1997) Psychological functions of privacy. Journal Of Environmental Psychology, 17:147-156
 
'''การข่มขืนกระทำชำเราเด็กและการขู่บังคับเด็กทางเพศ'''
** 1 Levesque, Roger, Sexual Abuse of Children, Indiana University Press, 1999.
** 2 Pryor, Douglass, W. Unspeakable Acts: Why Men Sexually Abuse Children, New York University Press, 1996.
บรรทัด 288:
** 10 Hislop, Julia, Female Sex Offenders: What Therapists, Law Enforcement and Child Protective Services Need to Know, Issues Press, 2001.
 
'''การข่มขืนกระทำชำเราในการสมรสหรือผู้ใกล้ชิด'''
** 1 Easteal, P, and McOrmond-Plummer, L, Real Rape, Real Pain: Help for Women Sexually Assaulted by Male Partners, Hybrid Publishers, 2006.
** 2 Russell, Diana E.H., Rape in Marriage, MacMillan Publishing Company, 1990.
บรรทัด 294:
** 4 Finkelhor, D. and Yllo, K., License to Rape: Sexual Abuse of Wives, The Free Press, 1985.
** 5 Hall, R., James, S. and Kertesz, J., The Rapist Who Pays the Rent Women Against Rape, UK.
** 6 [[การข่มขืนกระทำชำเราแฟน]]
 
'''ผู้กระทำการเพศชาย'''
บรรทัด 308:
** Kipnes, Laura, The Female Thing: Dirt, Sex, Envy, Vulnerability. ISBN.
** Sebold, Alice (1999). Lucky: A Memoir. New York: Scribner. ISBN. (author recounts her own rape at the age of 18)
** ^ สถิติการข่มขืนกระทำชำเรา [http://www2.ucsc.edu/rape-prevention/statistics.html]จาก UCSC Rape Prevention Education
 
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
บรรทัด 318:
* [http://www.aardvarc.org/ Rape Crisis Information Pathfinder Research]
* [http://www.wikicrimeline.co.uk/index.php?title=Rape WikiCrimeLine: Rape Law England and Wales]
* [[การข่มขืนกระทำชำเราแฟน]]
* [http://en.wikipedia.org/wiki/Types_of_rape Types of rape]
** [http://en.wikipedia.org/wiki/Prison_rape Prison rape]
บรรทัด 358:
{{เพศ}}
 
[[หมวดหมู่:การข่มขืนกระทำชำเรา]]
[[หมวดหมู่:อาชญากรรม]]
[[หมวดหมู่:จิตวิทยา]]