ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แอนดรูว์ คาร์เนกี"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Robosorne (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Robosorne (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 5:
| birth_date = {{birth date|1835|11|25|mf=y}}
| birth_place = [[ดันเฟิร์มลิน]], [[ไฟฟ์]], [[สก็อตแลนด์]], [[สหราชอาณาจักร]]
| death_date = {{Death date and age|1919|8|11|23781835|11|25|mf=yes}}
| death_place = ชาโดว์ บรูค<br/>[[เลอโนซ์]], [[รัฐแมสซาชูเซตส์]], [[สหรัฐอเมริกา]]
| occupation = นักอุตสาหกรรม นักธุรกิจและผู้ประกอบการ
บรรทัด 19:
คาร์เนกีเกิดในดันเฟิร์มลิน [[สกอตแลนด์]] และอพยพสู่สหรัฐอเมริกากับครอบครัวเมื่อยังเป็นเด็ก อาชีพแรกของเขาในสหรัฐอเมริกา เป็นกรรมกรโรงงานในโรงงานหลอดด้าย ภายหลังเขาทำงานเป็นคนจดรายการ (bill logger) ให้กับเจ้าของบริษัท ไม่นานจากนั้นเขากลายเป็นเด็กส่งของ ท้ายสุด เขาก้าวหน้าเข้าทำงานในบริษัทโทรเลข และจนถึงคริสต์ทศวรรษ 1860 เขาได้ลงทุนในทางรถไฟ รถนอนทางรถไฟ สะพานและบ่อน้ำมัน เขาร่ำรวยขึ้นมาากการเป็นผู้ขายพันธบัตรระดมเงินทุนแก่วิสาหกิจอเมริกาในยุโรป
 
เขาก่อตั้ง Carnegie Steel Company ในคริสต์ทศวรรษ 1870 ซึ่งทำให้เขาได้รับการจารึกชื่อว่าเป็น "กัปตันแห่งอุตสาหกรรม" จนถึงคริสต์ทศวรรษ 1890 บริษัทของเขาเป็นวิสาหกิจอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดและทำรายได้มากที่สุดในโลก ใน [[ค.ศ. 1901]] เขาขายให้แก่ J.P. Morgan เป็นเงิน 480 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และก่อตั้ง U.S. Steel ภายหลังเขาหันไปเป็นผู้นักการกุศล และให้ความสนใจกับการศึกษา
 
คาร์เนกีบริจาคเงินส่วนใหญ่ก่อตั้งห้องสมุด โรงเรียนและมหาวิทยาลัยจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร [[แคนาดา]]และอีกหลายประเทศ เช่นเดียวกับจัดหาเงินบำนาญให้แก่อดีตลูกจ้าง เขามักถูกจัดให้เป็นบุคคลร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์อันดับสอง รองจาก[[จอห์น ดี ร็อกกี้เฟลเลอร์]] ในช่วงบั้นปลายชีวิต มูลค่าทรัพย์สินรวมของคาร์เนกีอยู่ที่ 475 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อเขาเสียชีวิตมูลค่าทรัพย์สินส่วนตัวได้ลดลงเหลือ 30 ล้านดอลล่าร์สหรัฐจากการบริจาคเงิน มูลค่าแท้จริงประเมินไว้ระหว่าง 75,000 ล้าน ถึง 297,800 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เมื่อปรับกับเงินเฟ้อเมื่อปลายคริสต์ทศวรรษ 2000 แล้ว<ref name="ForbesRichAmericans07">{{cite news|url=http://money.cnn.com/galleries/2007/fortune/0702/gallery.richestamericans.fortune/index.html|title=The richest Americans