ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดา"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 5:
 
เหตุการณ์[[การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์|ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์]]ในรวันดาถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญทาง[[ประวัติศาสตร์]] ไม่เพียงเพราะจำนวนคนที่ถูกสังหารเป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับเวลาอันสั้น แต่ยังเป็นเพราะว่าเหตุการณ์นี้ได้แสดงถึงความไม่มีประสิทธิภาพขององค์การ[[สหประชาชาติ]] (โดยเฉพาะสมาชิกสำคัญแห่ง[[โลกตะวันตก]]คือ[[สหรัฐอเมริกา]]และ[[ฝรั่งเศส]]) ในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ แม้จะมีข่าวคราวมาก่อนว่าจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริงก็ตาม รวมไปถึงการนำเสนอข่าวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปทั่วโลกเมื่อเหตุการณ์ได้เกิดขึ้น ที่แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงและความโหดร้ายทารุณของการสังหารหมู่ กระนั้น [[ประเทศโลกที่หนึ่ง]]ส่วนใหญ่รวมไปถึงประเทศฝรั่งเศส, [[เบลเยียม]] และสหรัฐอเมริกา กลับมีท่าทีนิ่งเฉยต่อเหตุการณ์สังหารหมู่ โดยปฏิเสธที่จะออกมากระทำการแทรกแซง หรือแสดงความคิดเห็นใดๆ ต่อกลุ่มผู้กระทำการสังหารหมู่ ส่วน[[ประเทศแคนาดา]]ยังคงทำหน้าที่เป็นกองกำลังรักษาความสงบในรวันดาจนถึงทุกวันนี้
 
 
เหตุผลใด ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่โหดเหี้ยมอย่างนั้นขึ้นได้ ไม่มีสิ่งใด นอกจาก "ความเกลียดชัง" และ "ความมัวเมาอำนาจ"
ในช่วงที่ชาวรวันดารอความช่วยเหลือจากสหประชาชาติ แต่ความช่วยเหลือต่างๆชักช้า ไม่ทันการ อืดอาด มีแต่ช่วยกันระดมคนของชาติตนออกจากรวันดา ปล่อยให้ชาวรวันดาฆ่าฟันกันเอง เลือดนองแผ่นดิน ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้น คือนาย บิล คลินตัน กล่าวถึงการเพิกเฉยของสหรัฐฯ ว่า "เป็นสิ่งที่น่าสลดที่สุดภายใต้การบริหารของผม"
 
ก่อนหน้าที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น สหประชาชาติได้เริ่มต้นภารกิจในการช่วยเหลือประเทศรวันดา (หรือ UNAMIR - United Nations Assistance Mission for Rwanda) ในเดือน[[ตุลาคม]] ปี [[พ.ศ. 2536]] (1993) เพื่อช่วยลดความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลรวันดา (ที่ประกอบไปด้วยชาวฮูตูเป็นส่วนใหญ่) กับกลุ่มกบฎชาวตุดซี หลังจากที่[[พันธไมตรี]]หรือ[[ข้อตกลงสันติภาพอะรูชา]] (Arusha Accords หรือ Arusha Peace Agreement) ได้ถูกลงนามในวันที่ [[4 สิงหาคม]] พ.ศ. 2536 ต่อมาสหประชาชาติจึงได้ประกาศให้ภารกิจสิ้นสุดลงในปี [[พ.ศ. 2539]] (1996) โดยก่อนหน้าที่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จะเกิดขึ้น รวมไปถึงช่วงระหว่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สหประชาชาติไม่อนุญาตให้ UNAMIR เข้าทำการแทรกแซงหรือใช้กำลังในระยะเวลาที่เร็วหรือมีประสิทธิภาพพอที่จะยับยั้งการสังหารหมู่ในรวันดา แม้ว่า UNAMIR จะปรับขอบเขตอำนาจและกำลังพลของตนเอง เมื่อเกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้เกิดขึ้น รวมถึงเมื่อสถานการณ์ในประเทศได้เปลี่ยนไปก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น กระนั้นนโยบายของสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก็ยังคงมีข้อจำกัดทางกระบวนการและขั้นตอนหลายอย่าง ซึ่งเป็นเหตุให้สหประชาชาติประสบกับความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่ให้เกิดขึ้น โดยผู้นำภารกิจของสหประชาชาติภารกิจนี้ก็คือพลโท[[โรมิโอ ดาลแลร์]] (Roméo Dallaire) นายทหารชาวแคนาดา
 
หลายสัปดาห์ก่อนที่เหตุการณ์จะเริ่มขึ้น สหประชาชาติไม่ได้ตอบสนองต่อรายงานเกี่ยวกับการสะสมอาวุธของทหารบ้านชาวฮูตู อีกทั้งยังปฏิเสธข้อเสนอให้ออกคำสั่งห้ามดักล่วงหน้า แม้ว่า พ.ท. ดาลแลร์จะทำการเตือนสหประชาชาติหลายต่อหลายครั้ง ทั้งในช่วงเวลาก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นมาจนถึงตอนที่เหตุการณ์กำลังดำเนินอยู่ แต่ทางสหประชาชาติก็ยังคงยืนกรานให้ยึดตาม[[กฎการปะทะ]]แบบเดิม ซึ่งทำให้กองกำลังรักษาความสงบของสหประชาชาติไม่สามารถที่จะทำการขัดขวางทหารบ้านฮูตูไม่ว่าในทางใดๆ แม้กระทั่งปลดอาวุธ ยกเว้นเป็นเหตุให้ทหารสหประชาชาติต้องป้องกันตัวเอง ความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงของสหประชาชาติที่ไม่สามารถทำการขัดขวางและยับยั้งการฆ่าได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพพอได้นำไปสู่การถกประเด็นว่าใครเป็นฝ่ายผิดกันแน่ในเวทีสากล ได้แก่ประเทศฝรั่งเศส (ในฐานะที่มีสัมพันธ์กับรวันดาผ่านทางองค์กรชุมชนผู้พูด[[ภาษาฝรั่งเศส]]สากลหรือ[[ลาฟรังโคโฟนี]] - La Francophonie), ประเทศเบลเยียม (ในฐานะประเทศอดีตจ้าว[[อาณานิคม]]ของรวันดา) และประเทศสหรัฐอเมริกา (ในฐานะตำรวจโลก) ซึ่งรวมไปถึงระดับบุคคลที่ทำการร่างนโยบายขึ้นมาได้แก่[[ชาค-โรเจอร์ส บูห์-บูห์]] (Jacques-Roger Booh-Booh) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศแห่ง[[ประเทศแคเมอรูน]]และหนึ่งในผู้นำภารกิจ UNAMIR และ[[ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา|ประธานาธิบดีสหรัฐฯ]] [[บิล คลินตัน]] ที่กล่าวถึงการเพิกเฉยของสหรัฐฯ ว่า "เป็นสิ่งที่น่าสลดที่สุดภายใต้การบริหารของผม"
 
เหตุผลใด ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่โหดเหี้ยมอย่างนั้นขึ้นได้ ไม่มีสิ่งใด นอกจาก "ความเกลียดชัง" และ "ความมัวเมาอำนาจ"ในช่วงที่ชาวรวันดารอความช่วยเหลือจากสหประชาชาติ แต่ความช่วยเหลือต่างๆชักช้า ไม่ทันการ อืดอาด มีแต่ช่วยกันระดมคนของชาติตนออกจากรวันดา ปล่อยให้ชาวรวันดาฆ่าฟันกันเอง เลือดนองแผ่นดิน ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้น คือนาย บิล คลินตัน กล่าวถึงการเพิกเฉยของสหรัฐฯ ว่า "เป็นสิ่งที่น่าสลดที่สุดภายใต้การบริหารของผม"
 
เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้จบลงในที่สุดเมื่อกลุ่มกบฎชาวเผ่าตุดซีชื่อว่าแนวร่วมผู้รักชาติชาวรวันดา (Rwandan Patriotic Front - RPF) ภายใต้การนำของผู้ก่อตั้ง [[พอล คากาเม]] ได้ทำการล้มล้างรัฐบาลชาวฮูตูและเข้ายึดอำนาจ หลังจากนั้นในเวลาต่อมาก็มีผู้อพยพ และทหารบ้านฮูตูผู้พ่ายแพ้เป็นแสนๆ คนก็ได้หลบหนีเข้าไปในประเทศซาอีร์ (Zaire ซึ่งก็คือ[[สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก]]ในปัจจุบัน) ในภูมิภาคตะวันออกเนื่องจากกลัวการถูกล้างแค้นโดยชาวตุดซี หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความเกลียดชังและความรุนแรงระหว่างสองชนเผ่านี้ก็ลุกลามไปยังประเทศในภูมิภาค โดยเป็นเหตุให้เกิด[[สงครามคองโกครั้งที่หนึ่ง|สงครามคองโก]]ถึง[[สงครามคองโกครั้งที่สอง|สองครั้ง]] ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องกันตั้งแต่ [[พ.ศ. 2539]] มาจนถึง [[พ.ศ. 2546]] (1996-2003) ความชิงชังและโกรธแค้นระหว่างสองชนเผ่ายังมีส่วนสำคัญในการเติมเชื้อปะทุความรุนแรงที่พัฒนามาเป็น[[สงครามกลางเมืองบุรุนดี|สงครามกลางเมือง]]ในประเทศบุรุนดีตั้งแต่ [[พ.ศ. 2536]] (1993) มาจนถึงเดือน[[สิงหาคม]] [[พ.ศ. 2548]] (2005) อีกด้วย