ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ชีวิตอารามวาสี"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
แปลจากวิกิ Eng
บรรทัด 2:
{{ใช้ปีคศ|width=280px}}
[[ไฟล์:Katharinenkloster Sinai BW 2.jpg|thumb|280px|[[อารามเซนต์แคทเธอรินแห่งไซนาย]]ใน[[อียิปต์]] ก่อตั้งราวระหว่าง ค.ศ. 527 ถึง ค.ศ. 565]]
'''ชีวิตอารามวาสี'''<ref name="พัฒนาการวิถีชีวิตจิตคริสตชน">สมชัย พิทยาพงษ์พร, บาทหลวง, ''พัฒนาการวิถีชีวิตจิตคริสตชน'', นครปฐม: ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนางานวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม, 2551, หน้า 27</ref><ref>''บัญญัติศัพท์'', สำนักมิสซังกรุงเทพ, หน้า 21</ref> ({{lang-en|'''Monasticism'''}}) <ref>CATHOLIC ENCYCLOPEDIA: Monasticism [http://www.newadvent.org/cathen/10459a.htm]</ref> ในทางตะวันตก (คริสต์ศาสนา) “ชีวิตอารามวาสี” มาจากภาษาอังกฤษคำว่า “Monasticism” ที่มาจาก[[ภาษากรีก]] “μοναχός” - “monachos” ที่มีรากมาจากคำว่า “monos” ที่แปลว่า “สันโดษ” หรือ “ผู้เดียว” หมายถึงวิถีชีวิตทางศาสนาที่นักบวชเลือกที่จะสละชีวิตทางโลกเพื่ออุทิศตนอย่างเต็มตัวในทางธรรม ที่มาของคำนี้มาจากภาษากรีกโบราณและเป็นปรัชญาที่เกี่ยวกับนักบวชใน[[คริสต์ศาสนา]] ในวัฒนธรรมคริสเตียนผู้ที่เลือกใช้ชีวิตอารามวาสีถ้าเป็นชายก็เรียกว่า[[นักพรต]] (monk) หรือ[[บราเดอร์ภราดา]] (brethren - brothers) ถ้าเป็นหญิงก็เรียกว่า[[นักพรตหญิง]]หรือ[[ชีภคินี]] (nunsister) หรือ[[ซิสเตอร์ชี]] (sisternun) นักพรตทั้งชายและหญิงอาจจะเรียกโดยรวมว่าอารามิกชน (monastics)
 
ศาสนาอื่นต่างก็มีชีวิตอารามวาสีเป็นของตนเองโดยเฉพาะใน[[พุทธศาสนา]] และรวมทั้ง[[ศาสนาเต๋า]] [[ศาสนาฮินดู]] และ[[ศาสนาเชน]] แต่รายละเอียดของแต่ละระบบของแต่ละศาสนาหรือแต่ละนิกายก็แตกต่างจากกันมาก
 
== ชีวิตอารามวาสีในแบบพุทธศาสนา ==
== {{Main|ชีวิตอารามวาสีในคริสต์แบบศาสนา ==พุทธ}}
สำหรับชีวิตอารามวาสี[[พุทธศาสนา]]ใน[[ประเทศไทย]] ระบบสำนักสงฆ์อาจหมายความถึง[[วัด]]หรืออาราม (ที่ยังไม่ได้รับพระราชทานที่[[วิสุงคามสีมา]]) ที่เป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นที่อยู่จำพรรษาของ[[พระสงฆ์]] ซึ่งแบ่งเป็นสำนักที่มีพระสงฆ์จำพรรษาจำนวนมากเพียงพอ 5 รูปขึ้นไป และได้ตั้งวัดโดยกฎหมายคณะสงฆ์แล้วจะเรียกว่า '''วัด''' ซึ่งหากมีพระสงฆ์น้อยกว่านั้น จะไม่สามารถตั้งเป็นวัดที่ถูกต้องตามกฎหมายคณะสงฆ์ไทยได้ วัดเหล่านั้นจะถูกเรียกว่า '''ระบบสำนักสงฆ์''' หรือ '''ที่พักสงฆ์'''
คณะสงฆ์คือคณะ[[นักพรต]]ที่เป็นพระ[[ภิกษุ]]และ[[ภิกษุณี]]ที่พระพุทธเจ้าทรงก่อตั้งขึ้นเมื่อกว่า 2500 ปีมาแล้ว แนววิถีชุมชนนักพรตนี้ได้พัฒนามากจากลัทธิของดาบสที่แพร่หลายอยู่ก่อนซึ่งพระพุทธเจ้าได้เคยศึกษามาตั้งแต่ก่อนบำเพ็ญทุกรกิริยา (คือสำนักอาฬารดาบสและอุทกดาบส) ในช่วงแรกพระสงฆ์มักใช้ชีวิตอย่าง[[ฤๅษี]]หรืออาศัยอยู่โดดเดี่ยวเป็นปกติ ถือครองทรัพย์สินน้อยที่สุดคือเพียงเครื่อง[[อัฐบริขาร]]และยังชีพด้วยปัจจัยที่ชาวบ้านถวายให้<ref name="bhikku">[http://en.dhammadana.org/sangha/monks.htm What is a bhikkhu?]</ref> ลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาสก็ต้องจัดหาภัตตาหารในแต่ละวันและกุฏิง่ายๆ ให้ท่านเมื่อท่านต้องการ<ref name="bhikku"/>
 
[[Image:Young monks of Drepung.jpg|thumb|300px|ภิกษุในธิเบต]]
ในสมัย[[พุทธกาล]] ระบบสำนักสงฆ์เรียกว่า อาราม ซึ่งสำนักใดมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่มาก จะถูกเรียกว่าวิหาร หรือมหาวิหาร เช่น [[วัดเวฬุวันมหาวิหาร]]<ref>พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค วักกลิสูตร. พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก [http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=17&A=2680&Z=2799]. เข้าถึงเมื่อ 5-6-52</ref>
ภายหลังการเสด้จดับขันธปรินิพพาน คณะสงฆ์เริ่มพัฒนามาเป็นคณะนักพรตแบบอยู่รวมกลุ่ม (cenobite) โดยสันนิษฐานว่ามีต้นเค้ามาตั้งแต่สมัยพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษาในอารามตลอดหน้าฝน จนค่อยๆ พัฒนามาเป็นการอยู่ประจำรวมกลุ่มกันเป็นชุมชนนักปฏิบัติ พระวินัยที่ภิกษุและภิกษุณีรักษากันซึ่งเรียกว่า "[[ปาฏิโมกข์]]" ก็แสดงถึงระเบียบในการดำรงชีวิตร่วมกันเป็นชุมชนในอาราม จำนวนสิกขาบทของภิกษุและภิกษุณีก็แตกต่างกัน ในนิกายเถรวาทภิกษุต้องรักษาสิกขาบท 227 ข้อ ส่วนภิกษุณีต้องรักษามากกว่าเป็น 311 ข้อ<ref>[http://www.buddhistchannel.tv/index.php?id=70,8074,0,0,1,0 The Bhikkhuni question]</ref>
 
ชีวิตอารามวาสีแบบพุทธศาสนาได้แพร่หลายจากอินเดียไปยัง[[ตะวันออกกลาง]]และโลก[[ตะวันตก]]ด้วย ปรากฏว่าวิถีชีวิตแบบนี้ได้มีส่วนส่งเสริมให้ประชาชนอ่านออกเขียนได้ แม้แต่[[ชีวิตอารามวาสีแบบศาสนาคริสต์]]เมื่อได้แพร่มาถึงดินแดนที่[[พระเจ้าอโศก]]ทรงเคยส่ง[[มิชชันนารี|ธรรมทูต]]มาก็ยังเจริญรอยตามแนวทางนี้
== ชีวิตอารามวาสีในคริสต์ศาสนา ==
 
{{Main|ระบบสำนักสงฆ์ของคริสต์ศาสนา}}
คณะสงฆ์ประกอบด้วยภิกษุบริษัทและภิกษุณีบริษัท โดยในระยะแรกยังมีเฉพาะภิกษุเท่านั้น ภิกษุณีเกิดภายหลังเมื่อพระพุทธเจ้าประทานพระอนุญาตให้[[พระนางปชาบดีโคตมี]]และเจ้าหญิงศากยะอื่นรับอุปสมบทได้
 
ทั้งภิกษุและภิกษุณีต้องรับบทบาทหลายอย่าง ประการแรกและสำคัญที่สุดคือการรักษาพระธรรมวินัย (ปัจจุบันเรียกว่าพระพุทธศาสนา) ต้องเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิตให้แก่ฆราวาส และเป็น "นาบุญ" เพื่อให้เหล่าอุบาสกและอุบาสิกาในศาสนาได้มีโอกาสทำบุญ ในทางกลับกันเพื่อประโยชน์ของฆราวาส พระสงฆ์ต้องถือวัตรเคร่งครัดในการศึกษา[[พระธรรม]] เจริญ[[สมาธิ]] และรักษาสุจริตธรรม<ref name="bhikku"/>
 
ก่อนบวชเป็นภิกษุ (ภาษาบาลีเรียกว่าภิกขุ) กุลบุตรต้องได้บวชเป็น[[สามเณร]]มาก่อน ซึ่งส่วนมากสามเณรจะบรรพชากันตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ตามปกติก็จะไม่น้อยกว่าอายุ 8 ปี สามเณรต้องรักษาศีล 10 ข้อ ส่วนการอุปสมบทซึ่งใช้เรียกการบวชเป็นภิกษุจะทำได้เมื่ออายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป กรณีภิกษุณีก็มีขั้นตอนอย่างเดียวกันแต่จะต้องใช้เวลาเป็นสามเณรีนานถึง 5 ปี.
 
สิกขาบทของภิกษุและภิกษุณีจะเน้นให้ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย สละทางโลกหรือเป็น[[พรตนิยม]] โดยเฉพาะการเว้นจากเพศสัมพันธ์ถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญของพระวินัย
 
== ชีวิตอารามวาสีแบบคริสต์ศาสนา ==
{{Main|ชีวิตอารามวาสีแบบศาสนาคริสต์}}
ชีวิตอารามวาสีในคริสต์ศาสนามาจากคำว่า “[[นักพรต]]” และ “[[อาราม]]” ที่มีระบบแตกต่างจากกันเป็นหลายแบบ ชีวิตอารามวาสีก่อตั้งขึ้นไม่นานหลังจากการเริ่มต้นของ[[คริสต์ศาสนา]]ตามตัวอย่างและปรัชญาที่กล่าวถึงใน[[พันธสัญญาเดิม]]และ[[พันธสัญญาใหม่]]แต่ยังมิได้ระบุแยกเป็นสถาบันต่างหากในพระคัมภีร์ ต่อมาชีวิตอารามวาสีจึงได้มีการก่อตั้งบทบัญญัติเป็นวินัยนักบวช (religious rules) ในหมู่ผู้ติดตามเช่น[[วินัยของนักบุญบาซิล]] (Rule of St Basil) หรือ[[วินัยของนักบุญเบเนดิกต์]] ในสมัยปัจจุบันกฎ[[คริสตจักร]]ของบางนิกายอาจจะระบุรูปแบบการใช้ชีวิต[[นักพรต]]