ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อำเภอลับแล"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Kosai~thwiki (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Kosai~thwiki (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1:
{{ชื่ออื่น|||ลับแล (แก้ความกำกวม)}}
{{ตารางอำเภอ
| name = '''ลับแล , ศรีนพวงศ์ , นครลับแล'''
| english = Laplae
| province = อุตรดิตถ์
บรรทัด 12:
| คำขวัญ = งามพระแท่นศิลาอาสน์ ถิ่นลางสาดรสดี เมืองพระศรีพนมมาศ แหล่งไม้กวาดตองกง ดงหอมแดงลือชื่อ งามระบือน้ำตกแม่พูล
}}
'''อำเภอลับแล''' หรือ '''เมืองลับแล''' ปัจจุบันเป็น[[อำเภอ]]หนึ่งใน[[จังหวัดอุตรดิตถ์]] เป็นเมืองดินแดน'''[[ล้านนา]]''' ในอดีตเคยขึ้นกับ '''[[อาณาจักรโยนกนาคนครเชียงแสน]] โบราณ''' ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยก่อน[[กรุงสุโขทัย]]

[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ได้เคยเสด็จมาเมื่อ ปี [[พ.ศ. 2444]] ความเป็นมาของคำว่า “ลับแล” นั้น ตามข้อสันนิษฐานของ[[สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ]]<ref>[http://www.geocities.com/lablae_city/history6.htm ฟู บุญถึง และคณะ . ( ม.ป.ป.) . ลับแลหรือจะแลลับ , สำนักงานการประถมศึกษาอำเภอลับแล]</ref>ว่า เดิมชาวเมือง'''[[แพร่]]''' เมือง'''[[น่าน]]''' หนีข้าศึกและความเดือดร้อนมาซุ่มซ่อนตั้งชุมชนอยู่บริเวณนี้ เนื่องจากเป็นที่ป่ารก หลบซ่อนตัวง่ายและ ภูมิประเทศเป็นเมืองอยู่ใน[[หุบเขา]]มีที่เนินสลับกับที่ต่ำ คนต่างเมืองถ้าไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศจะหลงทางได้ง่าย

ที่อำเภอลับแลนอกจากจะมี'''[[โบราณสถานแบบล้านนาโบราณ]]'''ที่น่าสนใจมากมายแล้ว ยังเป็นแหล่งผลิตสินค้า'''[[หัตถกรรมพื้นเมืองล้านนา]]''' เช่น '''[[ผ้าตีนจก]]'''และ'''[[ไม้กวาด]]''' เป็นแหล่งปลูก'''[[ลางสาด]]''' ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงของจังหวัด
 
== ประวัติเมืองลับแล ==
 
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ พอจะอนุมานได้ว่าที่บริเวณเมืองทุ่งยั้ง แต่เดิมนั้น เคยเป็นเมืองใหญ่ที่เป็นชุมชนของพวก'''[[ละโว้|ละว้า]]'''และ'''[[ขอม]]''' มีความเจริญรุ่งเรืองมาช้านาน เพราะได้มีการขุดพบกลองมโหระทึกและพร้าสำริด ได้ในบริเวณดังกล่าว ต่อมาเมื่ออาณาจักรขอมล่มสลายลง คนไทยก็ได้เข้ามาครอบครองและตั้งเมืองขึ้นเรียกชื่อว่า '''"เมืองกัมโภช"'''
 
[[ไฟล์:Samut Khoi Laplae1.jpg|150px|left|thumb|สมุดไทยบัญชีถือสังกัดมูลนายประจำแขวงเมืองลับแลในสมัย[[รัชกาลที่ 4]]]]
 
[[ไฟล์:ชาวลับแล.jpg|200px|thumb|การแต่งกายของชาว'''ลับแล ({{ชาวไท-ยวน}})'''ในรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว|สมัย รัชกาลที่ 5]] จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทำให้ทราบว่ากลุ่มชนแรกที่มาอยู่ในบริเวณเมืองลับแลในปัจจุบันนั้นอพยพมาจาก'''[[โยนกนาคพันธุ์|อาณาจักรเชียงแสนโบราณ (โยนกนาคพันธุ์)]]]]'''

ซึ่งทางด้านเหนือของเมืองกัมโภช มีภูมิประเทศเป็นป่าเขาสลับซับซ้อน มีบรรยากาศเยือกเย็นยามพลบค่ำแม้ตะวันจะยังไม่ตกดินก็จะมืดแล้ว เพราะมีดอยม่อนฤๅษีเป็นฉากกั้นแสงอาทิตย์ ป่านี้จึงได้ชื่อว่า '''"ป่าลับแลง"''' (''แลง'' เป็น'''[[ภาษาล้านนา]]'''แปลว่า เวลาเย็น) ต่อมาเพี้ยนเป็น '''"ลับแล"''' ซึ่งกลายมาเป็นชื่ออำเภอลับแลในสมัยปัจจุบัน
 
ในยุคเดียวกับการรวมตัวของเมืองกัมโภช ได้มีผู้คนจาก'''[[อาณาจักรโยนกนาคนครเชียงแสน]]''' อพยพหลบภัยสงครามเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณที่ราบเขาแห่งหนี่งและตั้งชื่อว่า ''บ้านเชียงแสน'' ต่อมาคนกลุ่มนั้นก็แยกย้ายกันไปหักล้างถางดงสร้างบ้านเมือง ขึ้นกระจัดกระจายตามที่ราบและไหล่เขาต่าง ๆ เมื่อได้ทำมาหากินกันระยะหนึ่ง คนกลุ่มนั้นได้ไปอัญเชิญ '''[[เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร]]''' พระราชโอรสของพระเจ้าเรืองชัยธิราช จากอาณาจักรโยนกนาคนครเชียงแสน มาตั้งเมืองที่ป่าลับแล ให้ชื่อว่าเมืองลับแล และสร้าง '''[[คุ้มเจ้าหลวง]]''' หรือ '''[[หอคำ]]''' ขึ้นที่บ้านท้องลับแล (บริเวณ[[วัดเจดีย์คีรีวิหาร]])และแต่งตั้งหญิงสาวชาวลับแล 2 คนคือ นางสุมาลี และ นางสุมาลา ขึ้นเป็นพระชายาในตำแหน่ง '''พระเทวีเจ้าสุมาลี''' และ '''พระเทวีเจ้าสุมาลา ''' เมื่ออาณาจักรโยนกเชียงแสนล่มสลายลง '''[[อาณาจักรล้านนา]]'''เฟื่องฟูแทน '''เมืองลับแลก็ยอมขึ้นกับอาณาจักรล้านนา
 
ใน [[พ.ศ. 1690]]''' [[อาณาจักรสุโขทัย]]รุ่งเรืองขึ้น ก็เป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรสุโขทัย
 
ในปี [[พ.ศ. 1981]] [[เมืองทุ่งยั้ง]] ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้น เมืองลับแลจึงได้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองทุ่งยั้ง
 
ในยุคเดียวกับการรวมตัวของเมืองกัมโภช ได้มีผู้คนจาก[[อาณาจักรโยนกเชียงแสน]] อพยพหลบภัยสงครามเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณที่ราบเขาแห่งหนี่งและตั้งชื่อว่า ''บ้านเชียงแสน'' ต่อมาคนกลุ่มนั้นก็แยกย้ายกันไปหักล้างถางดงสร้างบ้านเมือง ขึ้นกระจัดกระจายตามที่ราบและไหล่เขาต่าง ๆ เมื่อได้ทำมาหากินกันระยะหนึ่ง คนกลุ่มนั้นได้ไปอัญเชิญ [[เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร]] พระราชโอรสของพระเจ้าเรืองชัยธิราช จากอาณาจักรโยนกนาคนครเชียงแสน มาตั้งเมืองที่ป่าลับแล ให้ชื่อว่าเมืองลับแล และสร้าง [[คุ้มเจ้าหลวง]] หรือ [[หอคำ]] ขึ้นที่บ้านท้องลับแล (บริเวณ[[วัดเจดีย์คีรีวิหาร]])และแต่งตั้งหญิงสาวชาวลับแล 2 คนคือ นางสุมาลี และ นางสุมาลา ขึ้นเป็นพระชายาในตำแหน่ง '''พระเทวีเจ้าสุมาลี''' และ '''พระเทวีเจ้าสุมาลา ''' เมื่ออาณาจักรโยนกเชียงแสนล่มสลายลง [[อาณาจักรล้านนา]]เฟื่องฟูแทน เมืองลับแลก็ยอมขึ้นกับอาณาจักรล้านนา ใน [[พ.ศ. 1690]] [[อาณาจักรสุโขทัย]]รุ่งเรืองขึ้น ก็เป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรสุโขทัย ในปี [[พ.ศ. 1981]] [[เมืองทุ่งยั้ง]] ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้น เมืองลับแลจึงได้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองทุ่งยั้ง ครั้นต่อมาใน[[สมัยรัตนโกสินทร์]] ในราว [[พ.ศ. 2444]] [[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] เสด็จประพาสเมือง[[อุตรดิตถ์]] และได้เสด็จมาถึงเมืองลับแลในวันที่ [[24 ตุลาคม]] [[พ.ศ. 2444]] ได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายศาลากลางจังหวัดจากเมืองพิชัยมาตั้งที่บางโพ และยุบเมืองทุ่งยั้งรวมกับลับแลและสถาปนา '''เมืองลับแล''' ขึ้นเป็นอำเภอ ส่วนอาคารที่ทำการยังตั้งอยู่ที่เมืองทุ่งยั้ง บริเวณใกล้เวียงเจ้าเงาะ
 
[[ไฟล์:อนุสาวรีย์พระศรีพนมมาศ 4.jpg|150px|left|thumb|อนุสาวรีย์[[พระศรีพนมมาศ]] คนดีเมืองลับแล บริเวณตัวเมืองลับแล]]
เส้น 29 ⟶ 41:
 
== ศิลปะ วัฒนธรรม ==
ชาวเมืองลับแลเป็น'''[[ชาวไทยวน]]เดิม'''ที่อพยพลงมาจาก'''[[อาณาจักรโยนกนาคนครเชียงแสน]]'''เมื่อ 1000 กว่าปีที่แล้ว ดังนั้นชาวลับแลจึงมีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมเป็นแบบ '''[[ล้านนา]]''' ดั้งเดิม มีภาษาพูด ภาษาเขียน การแต่งกาย อาหารการกิน เป็นแบบล้านนาดั้งเดิม และสำเนียงการพูดจะเป็นสำเนียงเชียงแสนโบราณ ที่มีใช้อยู่ในแถวล้านนาตะวันออก เช่น แพร่ น่าน เชียงราย พะเยา อุตรดิตถ์ และบางส่วนของสุโขทัย เป็นต้น
 
== บุคคลสำคัญ ==
 
# '''[[เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร]]''' - กษัตริย์พระองค์แรกของนครลับแล
# '''[[พระศรีพนมมาศ (ทองอิน แซ่ตัน)]]''' - อดีตนายอำเภอลับแลในสมัยรัชกาลที่ 5
 
== ตำนานเมืองลับแล ==