ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อำเภอลับแล"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Khelang (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Khelang (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 24:
ทางด้านเหนือของเมืองกัมโภช มีภูมิประเทศเป็นป่าเขาสลับซับซ้อน มีบรรยากาศเยือกเย็นยามพลบค่ำแม้ตะวันจะยังไม่ตกดินก็จะมืดแล้ว เพราะมีดอยม่อนฤๅษีเป็นฉากกั้นแสงอาทิตย์ ป่านี้จึงได้ชื่อว่า "ป่าลับแลง" (''แลง'' เป็น'''[[ภาษาล้านนา]]'''แปลว่า เวลาเย็น) ต่อมาเพี้ยนเป็น '''"ลับแล"''' ซึ่งกลายมาเป็นชื่ออำเภอลับแลในสมัยปัจจุบัน
 
ในยุคเดียวกับการรวมตัวของเมืองกัมโภช ได้มีผู้คนจาก'''[[อาณาจักรโยนกเชียงแสน]]''' อพยพหลบภัยสงครามเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณที่ราบเขาแห่งหนี่งและตั้งชื่อว่า ''บ้านเชียงแสน'' ต่อมาคนกลุ่มนั้นก็แยกย้ายกันไปหักล้างถางดงสร้างบ้านเมือง ขึ้นกระจัดกระจายตามที่ราบและไหล่เขาต่าง ๆ เมื่อได้ทำมาหากินกันระยะหนึ่ง คนกลุ่มนั้นได้ไปอัญเชิญ '''[[เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร]]''' พระราชโอรสของพระเจ้าเรืองชัยธิราช จากอาณาจักรโยนกนาคนครเชียงแสน มาตั้งเมืองที่ป่าลับแล ให้ชื่อว่าเมืองลับแล และสร้าง '''[[คุ้มเจ้าหลวง]]''' หรือ '''[[หอคำ]]''' ขึ้นที่บ้านท้องลับแล (บริเวณ[[วัดเจดีย์คีรีวิหาร]]) เมื่ออาณาจักรโยนกเชียงแสนล่มสลายลง '''[[อาณาจักรล้านนา]]'''เฟื่องฟูแทน เมืองลับแลก็ยอมขึ้นกับอาณาจักรล้านนา ใน [[พ.ศ. 1690]] [[อาณาจักรสุโขทัย]]รุ่งเรืองขึ้น ก็เป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรสุโขทัย ในปี [[พ.ศ. 1981]] [[เมืองทุ่งยั้ง]] ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้น เพราะเป็นเมืองหน้าด่านของ[[อาณาจักรอยุธยา]] เมืองลับแลจึงได้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองทุ่งยั้ง ครั้นต่อมาใน[[สมัยรัตนโกสินทร์]] ในราว [[พ.ศ. 2444]] [[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] เสด็จประพาสเมือง[[อุตรดิตถ์]] และได้เสด็จมาถึงเมืองลับแลในวันที่ [[24 ตุลาคม]] [[พ.ศ. 2444]] ได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายศาลากลางจังหวัดจากเมืองพิชัยมาตั้งที่บางโพ และยุบเมืองทุ่งยั้งรวมกับลับแลและสถาปนาเมืองลับแลขึ้นเป็นอำเภอ ส่วนอาคารที่ทำการยังตั้งอยู่ที่เมืองทุ่งยั้ง บริเวณใกล้เวียงเจ้าเงาะ
 
[[ไฟล์:อนุสาวรีย์พระศรีพนมมาศ 4.jpg|150px|left|thumb|อนุสาวรีย์[[พระศรีพนมมาศ]] คนดีเมืองลับแล บริเวณตัวเมืองลับแล]]