เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
น้องท่าเหนือ (คุย | ส่วนร่วม)
อ.น้อย ณ ลับแล (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 87:
==ดีก๊ะเจ้า อิอิ ดีคร้าเอาทางดีกว่า เหนือมานแปลกๆๆ==
พี่ค่ะหนูอยากให้พี่ร่วมแสดงความยินดีด้วยน่ะค่ะ ตอนนี้อุตรดิตถ์กำลังจะได้เป็นจังหวัดภาคเหนือตอนบนแย้ว จะได้พัฒนาแย้ว จะได้ดีกว่าแต่ก่อนที่คลุกอยู่กะจังหวัดที่เห้นแก่ตัว เอาแหล่งท่องเที่ยวคนอื่นเป็ฯของตนเอง พอพัฒนาไม่ได้ก็ใช้จังหวัดรอบข้างเป็นเครื่องมือ เป็นจังหวัดที่ทุเรศมากค่ะ หนูไม่เอ่ยนามน่ะเดี๋ยวจะ..... อิอิ ต่อไปภาคเกนือกะจะมี9 จังหวัดภาคเหนือตอนบนแล้วน้า ช่วยกันรับน้องใหม่อุตรดิตถ์ด้วยน่ะคร้า หวาดีคร้า--[[ผู้ใช้:น้องท่าเหนือ|หนูน้อยหมวกหล่น]] 20:57, 19 มกราคม 2553 (ICT)
 
== อุตรดิตถ์คือคนล้านนาเกือบ 80% ==
 
ขอทำความเข้าใจว่า แต่เดิม ไม่มีคำว่าอุตรดิตถ์ แต่เมืองที่เจริญสุดขีดในสมัยรัตนโกสิทร์ต้นๆ คือ เมืองพิชัย ซึ่งเป็นเมมืองหน้าด่านทางเหนือของกรุงเทพ และมาสิ้นสุดเขตที่บริเวณเขตพิชัย ต่อกับตรอนเท่านั้น ในส่วนของ เขต อ.ตรอน ขึ้นมาทั้งหมดนั้น แบ่งเป็นหลายเมือง เช่น เมืองฝาง ลับแล ทุ่งยั้ง บางโพธิ์ท่าอิฐ น้ำปาด ฟากท่า ทับป่า(ท่าปลา) ซึ่งบริเวรทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเขตของอาณาจักรล้านนา ซึ่งเป็นประเทศราชของกรุงเทพในสมัยนั้น
 
คำว่า ล้านนา มิได้หมายถึง คนไท-ยวน อย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึง ชนกลุ่ม ลาว ไทลื้อ ยอง และชนเผ่าอีกหลายชนผ่า โดยมีเชียงใหม่เป็นเมืองหลวง ต่อมา ภายหลัง รัชการที่ 5 เสด็จประภาสที่บางโพธิ์ท่าอิฐ (เมืองท่าเหนือในขณะนั้น) ทรงเห็นถึงความเจริญจึงพระราชทาช่อให้ใหม่ว่าเมืองอุตรดิตถ์ แปลว่า (ท่าเหนือ) แต่ก็ยังมิได้บ่งบอกชัดเจนว่ามีเนื้อที่กินไปถึงบริเวณใด จนมาถึงรัชสมัยของ รัชการที่ 6 ทรงให้มีการแบ่งเขตการปกครองบแบบฝรั่ง คือแบ่งเป็นจังหวัด ทางการจึงแบ่งเขตจังหวัดแพร่ออกจากอุตรดิตถ์โดยยึดแนวเขาพลึง แล้วส่วนที่เหลือด้านล่างจากเขาพลึงลงมาให้เป็นเขตการปกครองของอุตรดิตถ์ โดยใช้ตัวเมืองบางโพธ์ท่าอิฐ เป็นตัวจังหวัดและใช้ชื่อคำว่า "อุตรดิตถ์" ที่ ร.5 พระราชทานไว้ให้เป็นชื่อจังหวัด จึงกลายเป็นที่มาของจังหวัดที่มีชนเผ่าใหญ่ๆ อยู่ถึง 3 ชนเผ่า คือ ชาวไท-ยวน (ล้านนาเดิม) ชาวลาวเชื้อสายหลวงพระบาง(ล้านนาเดิม) และ ชาวไทยสยาม ซึ่งชาวไท-ยวนกับชาวลาวหลวงพระบานั้น เคยเป็นแผ่นดินเดียวกันถูกปกครองโดยอาณาจักรล้านนา แต่ทางการไทยสยามพยายามลบล้างและทำลายความเป็นล้านนาออกจากเขตนี้ เนื่องจากเมืองพิชัยเคยมีความเจริญรุ่งเรืองมากๆ จึงยอมรับไม่ได้ที่จะให้ชาวไท-ยวนและ ชาวลาวหลวงพระบาเข้ามามีอำนาจและ สร้างเอกลักษณ์ของตนในแถบนี้
 
จึงเกิดการเขียนตำราประวัติศาสตร์จากนักวิชาการที่เป็นคนไทยสยาม พยายามบดบัง และบิดเบือนประวัติศาสตร์ความจริงว่า ที่จริงแล้ว พื้นที่เกือบ 80% ของอุตรดิตถ์เป็นดินแดนล้านนามาก่อน และเคยเจริญรุ่งเรืองที่สุดในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์องค์ที่ 9 แห่งอาณาจักรล้านนา และพอคนรุ่นหลังที่เกิดจะสำนึกในแผ่นดินดั้งเดิมเลื้อเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของตนเอง โดยการพลิกประวัติศาสตร์ของจริงขึ้นมา ก็มีคนไทยสยามเข้ามาขัดขวางและพยายามบอกว่า คนไท-ยวนเหล่านี้บิดเบือนประวัติศาสตร์
 
แต่ความจริงพวกชาวล้านนาทั้งหลายกำลังจะบอกให้โลกรู้ว่า แผ่นดินอตรดิตถ์นั้นจริงๆ แล้ว คือดินแดนล้านนาตะวันออก มีเอกลักษ์ ภาษาพูด ภาษาเขียน เป้นของตัวเอง แต่ถูกพวกไทยสยามรังแกข่มเหง ขย้ำขยี้ กดขี่ ซะจนจะไม่เหลือซากแล้ว แต่ชาวล้านนาเหล่านี้ก็มิได้จะลุกขึ้นมากบฏต่อแผ่นดินไทยแต่อย่างใด เพราะถึงอย่างไร พวกเค้าก็ยังคงไว้ซึ่งความรักในธงไตรรงค์ เทิดทูนสถาบัน เมื่ออกสู่ต่างประเทศพวกเค้าก็ประกาศอย่างเต็มปากว่าพวกเค้าคือ คนไทย เพียงแต่ พวกเค้าต้องการขออิสระภาพทางวัฒนธรม อิสระภาพทางประวัติศสตร์ที่แท้จริง ให้ลูกหลานร่นหลังได้รู้ว่า บรรพบุรุษของตนคือใครก็เท่านั้นเอง คงไม่มีใครคิดมาแบ่งแยกแผ่นดินออกเป็นประเทศล้านนาหรอก
 
และอยากบอกให้คนไทยสยามโดยเฉพาะคนเมืองพิชัยให้ยอมรับความเป็นล้านนาของพื้นที่ดินแดน และคนส่วนใหญ่ของอุตรดิตถ์ อย่าได้ขัดขวางการยกเอาอุตรดิตถ์ขึ้นเป็น 9 จัหวัดภาคเหนือตอนบนเลย เพราะถ้าอุตรดิตถ์เจริญ เชิดชูแหล่งท่องเที่ยว ศิลปะ วัฒนธรรมแบบล้านนาได้อย่างเต็มรูปแบบ อุตรดิตถ์ก็จะเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการจะแวะมาดูมาชม และเม่อถึงตอนนั้น ชาวพิชัยก้จะได้รับผลประโยชน์ไปด้วยในฐานะที่อยู่ในเขตจังหวัดเดียวกัน เพราะถึงอย่างไรอนุเสาวรีย์ของพระยาพิชัยดาบหัก ก็ยืนตระหง่านอยู่กลางเมืองซะขนาดนั้น ท่านก็ต้องเป็นสัญญลักษณ์ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวน้อมนำไปสู่ชาวพิชัยอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน