ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ว็อล์ฟกัง เพาลี"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
→อ้างอิง: บรรณานุกรม |
|||
บรรทัด 43:
เพาลีได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาที่สำคัญมากมายในวิชาชีพของเขาในฐานะนักฟิสิกส์ หลักๆ แล้ว ก็คือ การพัฒนาในวิชา กลศาสตร์ควอนตัม เขาตีพิมพ์ผลงานน้อยมาก เขาชอบที่จะเขียนตอบโต้กับเพื่อนๆ ของเขามากกว่า (เพื่อนๆ ของเขา อย่างเช่น [[นีลส์ บอร์|บอร์]] และ [[แวร์เนอร์ ไฮเซนแบร์ก|ไฮเซนแบร์ก]] ซึ่งเป็นผู้ที่เขามีความสนิทสนม) ความคิดใหม่ๆ และ ผลงาน หลายๆ อย่างของเขา ไม่เคยถูกตีพิมพ์ และ ได้ปรากฏอยู่ในจดหมายของเขาเท่านั้น ซึ่งบ่อยครั้งที่จดหมายเหล่านั้นจะถูกพิมพ์ซ้ำและแจกจ่ายวนเวียนอยู่ในหมู่ผู้ที่ได้รับจดหมายของเขา เป็นที่แจ่มชัดว่าเพาลีไม่ได้ตระหนักในการที่งานของเขาไม่ได้รับการอ้างอิง ข้างล่างนี้เป็นผลงานสำคัญหลักๆ ที่เขาได้รับการอ้างอิงถึง
* [[พ.ศ. 2467]] เพาลีได้เสนอ องศาความอิสระทางควอนตัม (quantum degree of freedom) ใหม่อันหนึ่ง (หรือที่เรียกว่า [[หมายเลขควอนตัม]]) ซึ่งได้แก้ปัญหาการไม่ลงรอยกันระหว่าง แถบความถี่จำเพาะของโมเลกุล (molecular spectra) ที่สังเกตได้ กับ
* [[พ.ศ. 2469]] ไม่นานนักหลังจากที่ไฮเซนแบร์กได้ตีพิมพ์ทฤษฎีเมตริกซ์ของกลศาสตร์ควอนตัมสมัยใหม่ เพาลีได้ใช้มันในการสร้างสูตรที่ทำนาย เส้นความถี่จำเพาะของอะตอมของไฮโดรเจน ที่ได้รับการสังเกตไว้ ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนสำคัญในการคุ้มครองความน่าเชื่อถือของทฤษฎีของไฮเซนแบร์ก
* [[พ.ศ. 2470]] เขาได้เสนอ [[เมตริกซ์เพาลี]] เพื่อใช้เป็นฐานหลักของตัวกระทำทางสปิน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาทฤษฎีที่ไม่เป็นสัมพัทธภาพของสปิน (nonrelativistic theory of spin) งานชิ้นนี้บางครั้งได้ถูกกล่าวถึงว่ามีอิทธิพลต่อ [[พอล ดิแรก|ดิแรก]] ในการค้นพบ[[สมการดิแรก]] สำหรับอิเล็กตรอนที่เป็นสัมพัทธภาพ แม้ว่าดิแรกจะกล่าวว่าเขาคิดค้นเมตริกซ์เดียวกันนี้ด้วยตัวเขาเอง โดยที่ไม่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากเพาลีเลย ดิแรกได้คิดค้นเมตริกซ์ ที่คล้ายๆ กัน แต่ใหญ่กว่า สำหรับใช้ในการแก้ปัญหาสปินแบบเฟอร์มิออน (fermionic spin) ที่เป็นสัมพัทธภาพ
* [[พ.ศ. 2473]] เพาลี ได้พิจารณาปัญหา [[การสลายให้อนุภาคบีตา]] (beta decay) ในจดหมายของวันที่ 4 ธันวาคม เริ่มด้วยประโยค "สุภาพสตรี และ สุภาพบุรุษ แห่งการแผ่รังสี ที่รัก" (ส่งให้กับผู้รับ เช่น ลิส ไมท์เนอร์) เขาได้เสนอการมีอยู่ของอนุภาคที่เป็นกลางทางไฟฟ้าที่ไม่เคยถูกสังเกตได้มาก่อน (นับถึง ณ เวลาที่เขาเขียนจดหมาย) ด้วยมวลที่น้อยนิด (ไม่เกินร้อยละ 1 ของมวลโปรตอน) เพื่อที่จะอธิบายความถี่จำเพาะต่อเนื่องของการสลายให้อนุภาคบีตา ในปี พ.ศ. 2477 [[
* [[พ.ศ. 2483]] เขาได้พิสูจน์ [[ทฤษฎีบทสปินเชิงสถิติ]] (spin-statistics theorem) ซึ่งเป็นผลมาจาก [[ทฤษฎีสนามควอนตัม]] (quantum field theory) ที่สำคัญยิ่งยวด ทฤษฎีนี้มีใจความว่า อนุภาคซึ่งมีสปินครึ่งหนึ่งของจำนวนเต็ม เป็นอนุภาค[[เฟอร์มิออน]] ในขณะที่อนุภาคที่มีสปินเป็นจำนวนเต็ม เป็นอนุภาค[[โบซอน]]
|