ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การรับน้อง"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ล โรบอต แก้ไข: en:Student orientation; ปรับแต่งให้อ่านง่าย |
|||
บรรทัด 12:
การว๊ากน้องเริ่มจะกลายเป็นประเพนีนิยมในมหาวิทยาลัยในสหรัฐและแคนาดาตั้งแต่ปี พ.ศ.2390 ไม่ว่ามหาวิยาลัยจะมีระบบภารดรภาพหรือไม่ก็ตามในเวลาเดียวกันกับที่ระบบ Fagging ในอังกฤษที่เริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัว ในประมาณปี พ.ศ. 2420 ระบบว๊ากเริ่มแพร่ขยายไปตามชมรมกีฬาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ตามคณะต่างๆในมหาวิทยาลัยที่ไม่มีระบบภารดรภาพหรือมหาวิทยาลัยแห่งรัฐต่างๆที่ตั้งขึ้นภายหลังโดยใช้ระบบเยอรมัน ในช่วงนี้เริ่มมีคนหันมาต่อต้านระบบว๊ากกันมากขึ้น เนื่องจากมหาวิทยาลัยต่างๆทั้งในสหรัฐและแคนาดายังเพิกเฉยอยู่ระบบว๊ากจึงยังคงแพร่หลายต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งทั้งๆที่มีการถกเถียงเกี่ยวกับการรับน้องในระบบนี้ก็ตาม(http://www.kappasigma.org/ideabank/historyhazing.htm; ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์, 2548) ประเพณีการรับน้องระบบว้ากเริ่มทวีความรุนแรงหลังจากสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ระหว่างปี พ.ศ.2457-2461 เมื่อทหารฝ่ายสัมพันธมิตรได้แก่สหรัฐ อังกฤษและฝรั่งเศสในแนวรบด้านตะวันตกได้พัฒนาระบบการปลูกฝังให้กับทหารใหม่ที่เข้าค่ายรับการฝึกใน Boot Camp ก่อนที่จะออกรบ โดยมีเทคนิคต่างๆเช่น การข่มขู่ การกลั่นแกล้งทหารใหม่ วิธีการรับน้องใหม่ การแบ่งสี หรือการล้อเล่นที่พิสดาร เป็นต้น ซึ่งเป็นเทคนิคที่เน้นว่า “รวมกันเราอยู่แยกกันเราตาย” หลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสิ้นสุดลง เหล่าทหารผ่านศึกชาวอเมริกันและชาวแคนาดาที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ในนามของอังกฤษที่ปลดประจำการจึงกลับเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง (ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์ 2548; Agarwal, 2005; http://en.wikipedia.org/wiki/Hazing) และได้นำเทคนิคที่ได้รับการฝึกฝนจาก Boot Camp ไปแนะนำกับนักศึกษาคนอื่นๆที่ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์หรือวิธีการใช้เทคนิคเหล่านี้จนทำให้รับการน้องใหม่ไม่ว่าจะเป็นของ Fraternity, Sorority ชมรมกีฬาหรือการรับน้องเป็นชั้นปีในมหาวิทยาลัยต่างๆในสหรัฐ แคนาดาและฟิลิปปินส์ซึ่งขณะนั้นเป็นอาณานิคมของสหรัฐจึงทำให้การรับน้องมีความรุนแรง การดูหมิ่น กดดันเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันทหารผ่านศึกชาวอังกฤษและชาวอาณานิคมอื่นๆของอังกฤษก็นำเทคนิคเหล่านี้กลับเผยแพร่ในโรงเรียนทหารและโรงเรียนกินนอนของประเทศที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษในเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาใต้เช่นเดียวกัน โดยทำให้ระยะเวลาการเป็น Fag ของน้องใหม่สั้นลงและเรียกเทคนิคการกลั่นแกล้งกดดันน้องใหม่ว่า Ragging ในประเทศอาณานิคมเหล่านั้น (Agarwal, 2005; http://en.wikipedia.org/wiki/Ragging) คำว่า Ragging นั้นคนอังกฤษในปัจจุบันเองอาจจะไม่รู้จักเพราะถ้าดูในพจนานุกรมของอ๊อกซ์ฟอร์ด ลองแมนหรือเคมบริดจ์ ก็จะแปลว่า การแกล้งล้อเล่นสนุกๆและถูกตีตราว่าเป็นคำสมัยเก่าเลิกใช้ในอังกฤษไปแล้ว แต่ถ้าถามคนที่มาจากอินเดีย ศรีลังกา ปากีสถาน มาเลเซีย สิงค์โปร์ หรือแอฟริกาใต้จะรู้ดีว่าหมายถึงการรับน้องในระบบว๊ากนั่นเอง
ในสหรัฐและแคนาดาหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ระบบว๊ากพัฒนาไปตามสภาพความเปลี่ยนแปลงของสังคมและประสบการณ์ทวีความรุนแรง และวิตถารมากขึ้นๆตามลำดับ ประมาณช่วงปี พ.ศ. 2470 การว๊ากน้องในหน่วยทหารกลายมาเป็นพาดหัวข่าวตามหนังสือพิมพ์ในสหรัฐ ตามมาด้วยการว๊ากน้องแบบชั้นปีและชมรมกีฬา ซึ่งข่าวก็จะลงเรื่องการตาย บาดเจ็บ พิการ หรือสูญเสียสภาพจิตใจกันทุกปีมากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่ ซึ่งน้องใหม่ในยุคนี้เริ่มเชื่อว่าประเพณีการว๊ากมาจากบรรดาผู้ก่อตั้งทั้งหลายของมหาวิทยาลัย ชมรมหรือกลุ่มภราดรภาพที่ตนเองสังกัดอยู่ ในช่วงนี้เริ่มมีกฎเกณฑ์เข้ามาควบคุมการรับน้องในบางรัฐของสหรัฐ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมีน้องใหม่กบฎต่อระบบว๊ากในบางมหาวิทยาลัยและประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงวิธีการหรือ ประเพณีการรับน้องเสียใหม่ ระบบการว๊ากน้องตามคณะหรือสาขาวิชาที่คล้ายกับของไทยหรืออินเดียเริ่มที่จะเลือนหายไปในช่วงนี้ แต่ระบบว๊ากที่ยังคงอยู่ในกลุ่มภราดรภาพ กลุ่มชมรมตามมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น ชมรมเชียร์ ชมรมกีฬา ก็ยังคงเบ่งบานในสหรัฐและแคนาดาและเป็นกลุ่มที่ผู้เข้าร่วมเข้าร่วมโดยสมัครใจ (ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์, 2548 ; Agarwal, 2005; http://www.kappasigma.org/ideabank/historyhazing.htm) ดังนั้นจึงเป็นที่รับรู้กันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่าระบบว๊ากเป็นประเพณีประจำของกลุ่มภราดรภาพเหล่านี้ไป หลายๆรัฐเริ่มทยอยกันร่างกฏหมายต่อต้านระบบว๊ากออกมาบังคับใช้ตามกันมาจนถึงเรื่อยๆ (ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์, 2548; http://www.kappasigma.org/ideabank/historyhazing.htm) เนื่องจากสถิติคร่าวๆนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2513-2548 ในสหรัฐจะต้องมีคนตายจากการรับน้องอย่างน้อย 1 คนในแต่ละปี (Nuwen, 1999; Delaney, 2005). จึงมีแรงบีบต่อกลุ่มภราดรภาพจนมีสมาชิกลดน้อยถอยลงทำให้ระบบนี้อ่อนกำลังลงไปอีกเพราะในระยะยี่สิบกว่าปีหลังมานี้สังคมไม่ยอมรับคนรุ่นใหม่ๆก็ไม่ยอมรับ กระนั้นก็ตามปัญหาความรุนแรงในรูปแบบต่างๆจากกระบวนการรับน้องเหล่านี้ก็ยังไม่หมดไปในที่สุดก็มีความเคลื่อนไหวจากจุดเล็กจุดน้อยในการต่อต้านระบบว๊ากโดยมีผู้นำอย่าง แฮงค์ นูเวน (Hank Nuwen) และเว็ปไซด์ www.stophazing.com เป็นต้น
ในอินเดีย ศรีลังกา ปากีสถาน มาเลเซีย สิงค์โปร์ หรือแอฟริกาใต้การนำระบบว๊าก (Ragging) มาใช้ผ่านทหารบกและระบบโรงเรียนกินนอนที่นำเข้ามาจากอังกฤษซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคม ซึ่งในอินเดียช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นระบบว๊ากเป็นเพียงการล้อเล่นรุ่นน้องที่สนุกสนานของรุ่นพี่เท่านั้น จนกระทั่งล่วงมาถึงปี พ.ศ.2510 เมื่อมหาวิทยาลัยในอินเดียเริ่มรับนักศึกษาจากวรรณะต่ำและศาสนาอื่นๆที่ไม่ใช่ฮินดูเข้ามาเรียนมากขึ้นระบบว๊ากอย่างอ่อนๆที่เคยใช้กับนักศึกษาเฉพาะในวรรณะสูงอย่างในอดีตก็ถูกปรับให้เข้มขึ้นเพื่อลดปัญหาความเกลียดชังระหว่างวรรณะ ศาสนาและถิ่นฐานลง ด้วยอิทธิพลของสื่อในช่วง พ.ศ.2520 ทำให้การรับน้องเริ่มมีความโหดร้ายและรุนแรงมากขึ้น โดยการว๊ากกลายเป็นการทดสอบความกล้าบ้าบิ่นของนักศึกษารุ่นพี่ นักศึกษารุ่นพี่หลายคนที่ไม่เต็มใจว๊ากน้องก็ต้านแรงกดดันจากเพื่อนร่วมรุ่นไม่ไหวต้องร่วม
== เหตุผลของการรับน้อง ==
บรรทัด 19:
== ประวัติการรับน้องในประเทศไทย ==
ประวัติรับน้องในประเทศไทยเริ่มจากในการแข่งขันกีฬาฟุตบอลระหว่างคณะแพทยศาสตร์กับคณะวิทยาศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2474 ได้มีเหตุการณ์ไม่งามเกิดขึ้น คือ แบ็คของคณะแพทยศาสตร์ได้ถูกผู้เล่นในทีมตรงข้ามวิ่งเข้าต่อย ซึ่งสโมสรสาขาศิริราชสืบทราบว่าได้มีการตระเตรียมวางแผนการไว้ก่อนแล้ว จึงได้ส่งหลักฐานฟ้องร้องไปทางสโมสรกลางให้จัดการลงโทษแก่ผู้กระทำผิดนั้น ต่อมา ได้มีการพิจารณาและไต่สวนกันหลายครั้ง แต่ในที่สุดบรรยเวกษ์ก็ได้อะลุ่มอล่วยให้เลิกแล้วกันไป นิสิตแพทย์ส่วนมากไม่พอใจ เนื่องด้วยนิสสิตคณะวิทยาศาสตร์บางส่วนจะต้องข้ามมาเรียนปีสองที่คณะแพทยศาสตร์ จึงได้มีเสียงหมายมั่นจะแก้มือด้วยประการต่าง ๆ ซึ่งไม่ต้องสงสัยว่าจะต้องรู้ไปถึงหูพวกที่เป็นต้นเหตุนั้น
พิธียกโทษกลายมาเป็นประเพณีประจำคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งต่อมาคือประเพณีรับน้องข้ามฟากของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และได้ขยายวงกว้างออกไปยังหมู่คณะอื่น ๆ อีกด้วย
อย่างไรก็ดี ความเจริญมีมากขึ้นตามจำนวนปีที่ผ่านไป การต้องรับนิสสิตใหม่ได้แปรรูปตามไปด้วย ทำให้งานนี้ได้กลายเป็นโอกาสสำหรับโอ่อ่าและประกวดประขันกันต่าง ๆ
ส่วนกำเนิดการรับน้องแบบรุนแรงหรือระบบว๊ากสำหรับประเทศไทยซึ่งคนไทยทั่วไปเข้าใจว่าเป็น "ระบบโซตัส" มาจากโรงเรียนป่าไม้ภาคเหนือหรือวิทยาลัยเกษตรกรรมแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งกลายเป็นมหาวิทยาลัยแม่โจ้ในปัจจุบัน รับระบบนี้มาใช้เป็นแห่งแรก โดยอาจารย์ในยุคบุกเบิกส่วนใหญ่ที่จบจากวิทยาลัยเกษตรกรรมลอสบานยอส (Los Baños)ที่เป็นส่วนหนึ่งของ มหาวิทยาลัยแห่งฟิลิปปินส์ ได้นำระบบว๊ากถ่ายทอดให้กับนิสิตนักศึกษา นอกจากนี้อาจารย์บางท่านก็ถูกส่งไปถึงมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอเรกอน (Oregon State University) และมหาวิทยาลัยคอร์แนลล์ (Cornell University ) ที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นต้นฉบับของระบบว๊าก ประเพณีที่ว่านี้ก็คงติดตัวท่านเหล่านั้นเข้ามาเช่นกัน ต่อมาในปี พ.ศ.2486 เมื่อมีการตั้งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยในช่วงแรกนั้นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้รับนิสิตจากวิทยาลัยเกษตรกรรมเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ระบบว๊ากจึงถูกใช้ในการรับน้องด้วย (สำเนาว์
ผู้ที่นำระบบการกดดันรุ่นน้องเข้ามาคิดว่าเทคนิคกดดันกลั่นแกล้งเหล่านี้เป็นการละลายพฤติกรรม ลดทอนความต่างของฐานะให้นิสิตใหม่รู้สึกเท่าเทียม มีความรักสามัคคี ซึ่ง ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ได้พูดถึงที่มาของระบบว๊ากในหนังสือ "หนุ่มหน่ายคัมภีร์" ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ โดยให้ภาพการถ่ายทอดประเพณีการรับน้องจากสหรัฐอเมริกาสู่ไทยโดยผ่านมาทางฟิลิปปินส์ว่า "ตัวอย่างของการที่ประเพณีประเภทนี้แผ่ขยายเข้ามาในเมืองไทยจะเห็นได้ชัดในกรณีของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์คือประเพณีการคลุกโคลนปีนเสา...เห็นได้ชัดในอดีตอันแสนไกลของมหาวิทยาลัยคอร์แนล...ภาพเก่าๆ เกี่ยวกับอดีตของคอร์แนลมักจะมีรูปการปีนเสาทรมานแบบนี้ แต่นั่นก็ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ประเพณีการปีนเสานี้ก็ได้แผ่ขยายไปยังฟิลิปปินส์ ในสมัยนั้นฟิลิปปินส์เป็นเมืองขึ้นของสหรัฐอเมริกาอยู่ และคอร์แนลก็ได้มีส่วนร่วมก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งฟิลิปปินส์ คอร์แนลมีคณะเกษตรที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ดังนั้นจึงได้เข้ามามีส่วนช่วยสร้างวิทยาลัยเกษตรที่ลอสบันยอส ประเพณีการปีนเสาก็ถูกถ่ายเทจากมหาวิทยาลัยเมืองแม่มายังมหาวิทยาลัยอาณานิคม" (สำเนาว์
บรรทัด 32:
เนื่องจากกิจกรรมรับน้องจัดโดยรุ่นพี่ที่อยู่ในสถานศึกษานั้นมาก่อน หลายครั้งที่ผู้อาวุโสกว่าจะมีการวางตัวข่มขู่เพื่อให้รุ่นน้องเป็นที่ยำเกรง ซึ่งนำไปสู่การใช้อำนาจในสังคมการศึกษาอย่างไม่ถูกไม่ควรในบางสถาบันโดยอ้างเหตุผลของการรับน้อง ตัวอย่างการข่มขู่ที่ออกมาให้เห็นได้ เช่นการที่รุ่นพี่สั่งไม่ชอบหน้ารุ่นน้อง โดยสั่งให้รุ่นน้องทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การสั่งใหวิ่งรอบสนาม การให้ผู้ชายสองคนจับอวัยวะเพศของกันและกัน หรือ การสั่งให้ถอดเสื้อผ้ากลางที่สาธารณะชน เป็นต้น โดยถ้ารุ่นน้องไม่ปฏิบัติตามจะถูกรุ่นพี่กลุ่มหนึ่ง กล่าวหาว่าไม่เคารพรุ่นพี่และนำการรับน้องมาใช้เป็นเหตุผล ปัญหาที่ตามมาแทนที่รุ่นน้องจะได้รับการศึกษาและแนวทางปฏิบัติที่ดี รุ่นน้องบางคนได้เรียนรู้วิธีการลงโทษและการแกล้งจากรุ่นพี่ ซึ่งจะนำไปใช้ในการรับน้องของปีต่อไปแทน
ในต้นปีการศึกษา [[พ.ศ. 2548|2548]] การรับน้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ายังมีกิจกรรมที่ป่าเถื่อนและรุนแรง
== ดูเพิ่ม ==
บรรทัด 68:
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* [http://gotoknow.org/blog/ceotalk/98400 เทศกาลรับน้องใหม่]
Nuwen, H. (1999). Wrongs of Passage: Fraternities, Sororities, Hazing, and Binge Drinking. 336 pages. ISBN: 0-253-33596-5▼
[[หมวดหมู่:รับน้อง| ]]
เส้น 73 ⟶ 74:
[[หมวดหมู่:สังคมมนุษย์]]
[[en:
[[nl:Introductietijd]]
[[sv:Nollning]]
▲Nuwen, H. (1999). Wrongs of Passage: Fraternities, Sororities, Hazing, and Binge Drinking. 336 pages. ISBN: 0-253-33596-5
|