ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เคทู"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Luckas-bot (คุย | ส่วนร่วม)
โรบอต เพิ่ม: vi:K2
Potapt (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1:
{{ขาดอ้างอิง}}
[[ไฟล์:K2-big.jpg|ยอดเขาเคทู|thumb|250px|right]]
'''ยอดเขาเคทู''' ({{lang-en|K2}}); ([[ภาษาอูรดูบัลติ|อูรดูบัลตี]]: Godwin-Austen, Lamba Pahar ''ภูเขาสูง'', Qogir , Dapsang, Kechu, Ketu; (สองชื่อหลังเป็นการอ่านออกเสียงเคทูโดยคนท้องถิ่น){{lang-ur|کے ٹو}}) เป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับสองของโลก รองจาก [[ยอดเขาเอเวอเรสต์]] ตั้งอยู่บริเวณแนวมีความสูง [[เทือกเขาหิมาลัย]]8,611 ของทางตะวันตกบริเวณเมตร (28,251 ฟุต) เป็นส่วนหนึ่งของ[[เทือกเขาการาโกรัม]] ซึ่งเชื่อมต่อกับแนว [[เทือกเขาฮินดูกูชหิมาลัย]]ทางด้านตะวันตก ยอดเขาเคทู และตั้งอยู่ในบริเวณรอยต่อระหว่าง[[กิลกิต-บัลติสถาน|เขตกิลกิต-บัลติสถาน]]ของ [[ประเทศปากีสถาน]] กับเขต[[เทศมณฑลปกครองตนเอง Taxkorgan Tajik ตัชคูร์กันทาจิก]]ใน [[มณฑลเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์]] ของ [[ประเทศจีน]] มีความสูงถึง 8,611 เมตร
 
รัฐบาลจีนใช้ชื่อของเคทูว่า Qogir ซึ่งเป็นคำที่มาจากนักสำรวจตะวันตก ใช้เรียกภูเขาแห่งนี้โดยตั้งชื่อตาม ภาษาท้องถื่นท้องถิ่น ว่า Chogori ([[ภาษา Baltiบัลติ|ภาษาบัลตี]] โดย Chhogo แปลว่า ใหญ่ ri แปลว่า ภูเขา)
 
== สภาพแวดล้อมและภูมิประเทศ ==
== ประวัติการปีน ==
ยอดเขาเคทูมีความโดดเด่นในเรื่องของความสูง และความชัน โดยตัวภูเขาเป็นทรง[[พีระมิด]]ที่มีด้านทั้งสี่ที่ชันมาก โดยด้านเหนือของภูเขาจะมีความชันมากที่สุด โดยมีความสูงถึง 3,200 เมตรจากธารน้ำแข็งเคทูในระยะทางในแนวราบเพียง 3 กิโลเมตร หรือมีความชันเกือบ 47 องศา โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละด้านจะมีความสูง 2,800 เมตรในระยะทางแนวราบประมาณ 4 กิโลเมตรหรือความชันกว่า 35 องศา ซึ่งเป็นองศาความชันที่ไม่มี[[ภูเขา]]ใดในโลกจะเทียบได้ จึงทำให้เคทูเป็นภูเขาที่ชันที่สุดและเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เคทูปีนได้ยากมาก
ภูเขาเคทูถูกสำรวจครั้งแรกโดยคณะนักสำรวจชาวยุโรปในปี 1856 ที่นำโดย Henry Haversham Godwin-Austen โดย Thomas Montgomerie หนึ่งในคณะสำรวจ เป็นผู้ตั้งชื่อเคทูเนื่องจากเป็นยอดที่สองของ[[เทือกเขาคาราโครัม]] โดยยอดเขาอื่นๆก็ถูกตั้งชื่อตามวิธีนี้เช่นกัน ได้แก่ K1 K3 K4 และ K5 แต่ภายหลังได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Masherbrum, Broad Peak, [[Gasherbrum II|แกเชอร์บรูม 2]] และ Gasherbrum I ตามลำดับ คงเหลือแต่เคทูเท่านั้นที่ไม่ได้รับการเปลี่ยนชื่อ
 
== เส้นทางการปีนและความยากของแต่ละเส้นทาง ==
ความพยายามในการพิชิตยอดเขาเคทูเริ่มในปี 1902 โดย Oscar Eckenstein และ Aleister Crowley แต่ภายหลังจากที่ได้พยายามถึงห้ารอบและใช้เงินไปเป็นจำนวนมาก คณะสำรวจก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการพิชิตยอดเขาแต่อย่างใด สาเหตุของความล้มเหลวน่ามาจากการเตรียมพร้อมร่างกายที่ยังไม่ดีพอ ความขัดแย้งระหว่างบุคคล และสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย โดยคณะสำรวจใช้เวลามากถึง 68 วันบนภูเขาเคทูซึ่งในขณะนั้นถือว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดในการอยู่บนที่ที่มีระดับความสูงมาก) แต่มีแค่ 8 วันเท่านั้นที่สภาพอากาศแจ่มใส
เส้นทางการปีนสู่ยอดเขาเคทูมีหลายเส้นทางด้วยกัน ซึ่งมีความยากง่ายแตกต่างกันไป แต่ทุกเส้นทางจะมีความยากที่เหมือนๆเหมือน ๆ กัน คือ
* สภาวะขาดออกซิเจนเนื่องจากความสูง โดยที่ระดับความสูงมากกว่า 8,000 เมตรจะมีระดับออกซิเจนเพียงหนึ่งในสามของระดับออกซิเจนที่พื้นราบ
* สภาพอากาศทีที่แปรปรวนได้ง่ายและรุนแรง
* เส้นทางที่ชัน โล่ง ซึ่งทำให้การหันหลังกลับทำได้ยาก โดยเฉพาะในระหว่างพายุ
เส้นทางที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีดังนี้
* '''Abruzzi Spurอาบรุซซีสเปอร์''' เป็นเส้นทางที่เป็นที่นิยมอย่างมาก ซึ่งถูกสำรวจโดย[[เจ้าชายลุยจี Luigoอามาเดโอ Amedeo Duke of the Abruzziดุ๊กแห่งอาบรุซซี]] ในปี 1909พ.ศ. 2452 โดยเส้นทางนี้เป็นสันเขาทางด้านใต้ของภูเขา โดยการปีนจะเริ่มที่ระดับความสูง 5,400 เมตร
* '''North Ridgeนอร์ทริดจ์''' เป็นเส้นทางที่ปีนจากฝั่งจีน เป็นเส้นทางที่ไม่นิยมนัก เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ยากมาก ที่ต้องข้ามแม่น้ำและธารน้ำแข็งที่เป็นอันตรายมาก
* '''นอร์ทเวสต์ริดจ์'''
* '''South Faceเซาท์เฟซ''' เป็นเส้นทางที่อันตรายที่สุดและยากที่สุด
* '''เซาท์-เซาท์อีสต์สเปอร์'''
* '''Northeast Ridgeนอร์ทอีสต์ริดจ์''' เป็นเส้นทางที่ยาวและขรุขระมาก
* '''นอร์ทเวสต์เฟซ'''
 
== ประวัติการปีน ==
ความพยายามต่างๆที่ตามมาภายหลังทั้งในปี 1909, 1934, 1938, 1939 และ 1953 ต่างก็ประสบกับความล้มเหลวทั้งหมด โดยคณะสำรวจในปี 1909 ที่นำโดย Luigi Amedo, Duke of the Abruzzi สามารถไปถึงระดับความสูงที่ 6,666 เมตร ซึ่งปัจจุบันนี้ สถานที่นี้เป็นที่รู้จักกันในนามว่า Abruzzi Spur หรือสันเขา Abruzzi (Abruzzi Ridge) โดยปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางมาตรฐานทางหนึ่ง
ภูเขาเคทูถูกสำรวจครั้งแรกโดยคณะนักสำรวจชาวยุโรปในปี 1856พ.ศ. 2399 ที่นำโดยมี[[เฮนรี Henryเฮฟเวอร์แชม Haversham Godwinกอดวิน-Austenออสเตน]]เป็นผู้นำ โดย[[ทอมัส Thomas Montgomerieมอนต์กอเมอรี]] หนึ่งในคณะสำรวจ เป็นผู้ตั้งชื่อเคทู เนื่องจากเป็นยอดที่สองของ[[เทือกเขาคาการาโคโกรัม]] โดยยอดเขาอื่นๆอื่น ๆ ก็ถูกตั้งชื่อตามวิธีนี้เช่นกัน ได้แก่ K1เควัน K3เคทรี K4เคโฟร์ และ K5เคไฟว์ แต่ภายหลังได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Masherbrum[[แมเชอร์บรูม]], Broad Peak[[บรอดพีก]], [[Gasherbrum II|แกเชอร์บรูม 2]] และ[[แกเชอร์บรูม Gasherbrum I1]] ตามลำดับ คงเหลือแต่เคทูเท่านั้นที่ไม่ได้รับการเปลี่ยนชื่อ
 
ความพยายามในการพิชิตยอดเขาเคทูเริ่มในปี 1902พ.ศ. 2445 โดยออสการ์ Oscar Eckensteinเอกเคนสไตน์ และอะเลสเตอร์ Aleister Crowleyโครลีย์ แต่ภายหลังจากที่ได้พยายามถึงห้า 5 รอบและใช้เงินไปเป็นจำนวนมาก คณะสำรวจก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการพิชิตยอดเขาแต่อย่างใด สาเหตุของความล้มเหลวน่ามาจากการเตรียมพร้อมร่างกายที่ยังไม่ดีพอ ความขัดแย้งระหว่างบุคคล และสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย โดยคณะสำรวจใช้เวลามากถึง 68 วันบนภูเขายอดเขาเคทู (ซึ่งในขณะนั้นถือว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดในการอยู่บนที่ที่มีระดับความสูงมาก) แต่มีแค่ 8 วันเท่านั้นที่สภาพอากาศแจ่มใส
ในที่สุดในวันที่ [[31 กรกฎาคม]] 1954 ยอดเขาเคทูก็ถูกพิชิตลงได้ โดยคณะนักสำรวจชาวอิตาลีที่นำโดย Ardito Desio อย่างไรก็ตามสมาชิกของกลุ่มเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่สามารถไปถึงยอดเขาได้ที่สุด คือ Lino Lacedelli และ Achille Compagnoni สมาชิกในคณะคนอื่นๆที่น่าสนใจได้แก่ ผู้พัน Mohammad Ata-ullah ชาว[[ปากีสถาน]] โดยผู้พันเคยเข้าร่วมกับคณะสำรวจ[[ชาวอเมริกัน]]ในปีก่อนหน้า ที่ต้องล้มเหลวเนื่องจาก Art Gilkey สมาชิกคนสำคัญของคณะสำรวจเสียชีวิตจาก[[พายุ]]
 
ความพยายามต่างๆต่าง ๆ ที่ตามมาภายหลังทั้งในปี 1909พ.ศ. 2452, 19342477, 19382481, 19392482 และ 19532496 ต่างก็ประสบกับความล้มเหลวทั้งหมด โดยคณะสำรวจในปี 1909พ.ศ. 2452 ที่นำโดยเจ้าชายลุยจี Luigiอามาเดโอ Amedo, Duke of the Abruzziดุ๊กแห่งอาบรุซซี สามารถไปถึงระดับความสูงที่ 6,666 เมตร ซึ่งปัจจุบันนี้ สถานที่นี้เป็นที่รู้จักกันในนามว่าอาบรุซซีสเปอร์ (Abruzzi Spur) หรือสันเขา Abruzziอาบรุซซี (Abruzzi Ridge) โดยปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางมาตรฐานทางหนึ่ง
ยอดเขาเคทูไม่ถูกพิชิตอีกเลยอีกกว่า 23 ปี จนกระทั่งในวันที่ 9 สิงหาคม 1977 คณะสำรวจชาว[[ญี่ปุ่น]]ที่นำโดย Ichiro Yoshizawa ก็สามารถพิชิตยอดเขาได้อีกครั้งหนึ่ง โดยสมาชิกในทีมยังรวมไปถึง Ashraf Amman นักปีนเขาคนแรกของปากีสถาน โดยคณะนี้ได้ใช้เส้นทาง Abruzzi Spur ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้โดยคณะสำรวจชาว[[อิตาลี]]ที่พิชิตยอดเขามาก่อนหน้านี้
 
ในที่สุดในวันที่ [[31 กรกฎาคม]] 1954พ.ศ. 2497 ยอดเขาเคทูก็ถูกพิชิตลงได้ โดยคณะนักสำรวจชาวอิตาลีที่นำโดย[[อาร์ดีโต Ardito Desioเดซีโอ]] อย่างไรก็ตามสมาชิกของกลุ่มเพียงแค่สอง 2 คนเท่านั้นที่สามารถไปถึงยอดเขาได้ที่สุด คือ Linoลีโน Lacedelliลาเชเดลลี และอาร์กิลเล Achille Compagnoni กอมปัญญอนีสมาชิกในคณะคนอื่นๆอื่น ๆ ที่น่าสนใจได้แก่ ผู้พันโมฮัมมัด Mohammad Ataอะตา-ullahอุลละห์ ชาว[[ปากีสถาน]] โดยผู้พันเคยเข้าร่วมกับคณะสำรวจ[[ชาวอเมริกัน]]ในปีก่อนหน้า ที่ต้องล้มเหลวเนื่องจากอาร์ต Art Gilkeyจิลคีย์ สมาชิกคนสำคัญของคณะสำรวจเสียชีวิตจาก[[พายุ]]
ในปี 1978 คณะสำรวจชาวอเมริกาก็สามารถพิชิตยอกเขาได้เป็นครั้งที่สาม โดยใช้เส้นทางที่ยาวกว่า และขรุขระกว่าเส้นทางเดิม ที่เรียกว่า East Ridge โดยคณะสำรวจชาวอเมริกาคณะนี้นำโดยนักปีนเขาผู้มีชื่อเสียงนามว่า James Whittaker โดยคณะที่สามารถขึ้นถึงยอดได้แก่ Louis Reichardt, James Wickwire, John Roskelley และ Rick Ridgeway โดย Wickwire ต้องเผชิญกับการค้างแรมกลางแจ้งที่ความสูงต่ำกว่ายอดเพียง 150 เมตร โดยการค้างแรมครั้งนี้เป็นการค้างแรมกลางแจ้งที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยการพิชิตยอดเขาครั้งนี้มีความหมายทางจิตใจต่อคณะสำรวจชาวอเมริกันชุดนี้มาก โดยเห็นว่าเป็นการสานต่อภารกิจให้สำเร็จต่อจากคณะสำรวจอเมริกาก่อนหน้าที่เริ่มไว้ตั้งแต่เมื่อ 40 ก่อนในปี 1938 ให้สำเร็จลุล่วงในที่สุด
 
ยอดเขาเคทูไม่ถูกพิชิตอีกเลยอีกกว่า 23 ปี จนกระทั่งในวันที่ 9 สิงหาคม 1977พ.ศ. 2520 คณะสำรวจชาว[[ญี่ปุ่น]]ที่นำโดยอิจิโระ Ichiro Yoshizawaโยะชิซะวะ ก็สามารถพิชิตยอดเขาได้อีกครั้งหนึ่ง โดยสมาชิกในทีมยังรวมไปถึงอัชรัฟ Ashraf Ammanอามาน นักปีนเขาคนแรกของปากีสถาน โดยคณะนี้ได้ใช้เส้นทาง Abruzzi Spurอาบรุซซีสเปอร์ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้โดยคณะสำรวจชาว[[อิตาลี]]ที่พิชิตยอดเขามาก่อนหน้านี้
การพิชิตยอดเขาเคทูที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง คือ การพิชิตยอดเขาโดยคณะสำรวจชาวญี่ปุ่นในเดือนสิงหาคม 1982 ซึ่งใช้เส้นทาง North Ridge ที่มีความยากมาก โดยคณะสำรวจนี้ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมการปีนเขาแห่งญี่ปุ่น โดยคณะสำเรวจแบ่งออกเป็นสองชุด โดยชุดแรกซึ่งนำโดย Isao Shinkai และ Masatsugo สามารถพาสมาชิกอีกสามคน คือ Naoe Sakashita, Hiroshi Yoshino และ Yukishiro Yanagisawa พิชิตยอดเขาในวันที่ 14 สิงหาคม แต่เป็นที่น่าเศร้าว่าในระหว่างการปีนลงจากยอดเขา Yanagisawa พลัดตกจากเขาและเสียชีวิต ส่วนทีมชุดที่สองซึ่งประกอบไปด้วยคนสี่คนก็สามารถพิชิตยอดเขาได้ในวันต่อมา
 
ในปี 1978พ.ศ. 2521 คณะสำรวจชาวอเมริกาอเมริกันก็สามารถพิชิตยอกเขาได้เป็นครั้งที่สาม โดยใช้เส้นทางที่ยาวกว่า และขรุขระกว่าเส้นทางเดิม ที่เรียกว่า East Ridgeอีสต์ริดจ์ โดยคณะสำรวจชาวอเมริกาอเมริกันคณะนี้นำโดยนักปีนเขาผู้มีชื่อเสียงนามว่า James[[เจมส์ Whittakerวิตเทกเกอร์]] โดยคณะที่สามารถขึ้นถึงยอด ได้แก่ Louisหลุยส์ Reichardtไรชาดต์, Jamesเจมส์ Wickwireวิกไวร์, Johnจอห์น Roskelleyรอสเกลลีย์ และริก Rick Ridgewayริดจ์เวย์ โดย Wickwire วิกไวร์ต้องเผชิญกับการค้างแรมกลางแจ้งที่ความสูงต่ำกว่ายอดเพียง 150 เมตร โดยการค้างแรมครั้งนี้เป็นการค้างแรมกลางแจ้งที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยการพิชิตยอดเขาครั้งนี้มีความหมายทางจิตใจต่อคณะสำรวจชาวอเมริกันชุดนี้มาก โดยเห็นว่าเป็นการสานต่อภารกิจให้สำเร็จต่อจากคณะสำรวจอเมริกาก่อนหน้าที่เริ่มไว้ตั้งแต่เมื่อ 40 ก่อนในปี 1938พ.ศ. 2481 ให้สำเร็จลุล่วงในที่สุด
แม้ว่ายอดเขาเอเวอเรสจะมีความสูงมากกว่ายอดเขาเคทูแต่เคทูถูกพิจารณาว่าปีนยากกว่า สาเหตุเป็นเพราะสภาพอากาศที่แปรปรวนได้ง่าย และระยะทางระหว่างตีนเขาถึงยอดเขาที่ยาวกว่า โดยนักปีนเขาหลายคนถือว่าเคทูเป็นยอดเขาที่ปีนยากที่สุดและอันตรายที่สุดในโลก โดยเคทูมีอัตราการเสียชีวิตของผู้ที่พยายามพิชิตยอดเขากว่าร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับเอเวอเรสที่มีอัตราการเสียชีวิตที่ร้อยละ 9 (อย่างไรก็ตามยอดเขาที่มีอัตราการเสียชีวิตมากที่สุด คือ [[ยอดเขาอันนะปุรณะ]] (ความสูง 8,091 เมตร) ในเทือกเขาหิมาลัย ที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 40) ทำให้เคทูมีชื่อเล่นว่า ยอดเขาดุร้าย (Savage Mountain) โดยข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2004 มีคนที่สามารถพิชิตยอดเขาได้เพียง 246 คน เทียบกับ 2,238 คนที่สามารถพิชิตเอเวอเรสได้ (เหตุผลหนึ่งก็อาจะเป็นเพราะมีคนนิยมไปปีนยอดเขาเอเวอเรสมากกว่าเช่นกัน) โดยจำนวนผู้เสียชีวิตที่เคทูมีสูงถึง 56 คน โดยในปี 1986 มีผู้คนเสียชีวิตสูงถึง 13 คนจากการปีนครั้งเดียว ซึ่งเหตุการณ์นี้เรียกว่าเคทูTragedy
 
การพิชิตยอดเขาเคทูที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง คือ การพิชิตยอดเขาโดยคณะสำรวจชาวญี่ปุ่นในเดือนสิงหาคม 1982พ.ศ. 2525 ซึ่งใช้เส้นทาง North Ridge นอร์ทริดจ์ที่มีความยากมาก โดยคณะสำรวจนี้ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมการปีนเขาแห่งญี่ปุ่น โดยคณะสำเรวจสำรวจแบ่งออกเป็นสอง 2 ชุด โดยชุดแรกซึ่งนำโดยอิซะโอะ Isao Shinkaiชิงไก และมะซะสึโงะ Masatsugoโคะนิชิ สามารถพาสมาชิกอีกสาม 3 คน คือ Naoeนะโอะเอะ Sakashitaซะกะชิตะ, Hiroshiฮิโระชิ Yoshinoโยะชิโนะ และยุกิฮิโระ Yukishiro Yanagisawaยะนะงิซะวะ พิชิตยอดเขาในวันที่ 14 สิงหาคม แต่เป็นที่น่าเศร้าว่าในระหว่างการปีนลงจากยอดเขา Yanagisawa ยะนะงิซะวะพลัดตกจากเขาและเสียชีวิต ส่วนทีมชุดที่สองซึ่งประกอบไปด้วยคนสี่ 4 คนก็สามารถพิชิตยอดเขาได้ในวันต่อมา
ตำนานอีกอย่างหนึ่งของเคทูคือ การเป็นยอดเขาต้องสาปสำหรับสตรี โดย Wanda Rutkiewicz ชาวโปแลนด์ผู้ที่เป็นสตรีคนแรกที่สามารถพิชิตยอดเขาเคทูและผู้หญิงอีกห้าคนที่สามารถพิชิตยอดเขาได้ต่างก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยสามคนในจำนวนนั้นเสียชีวิตระหว่างการปีนลง และ Rutkiewicz เสียชีวิตในระหว่างการปีน[[ยอดเขากันเจนชุงคา]] ในปี 1992 อย่างไรก็ตามคำสาปนี้ถูกทำลายได้ในปี 2004 เมื่อ Emurne Pasaban สามารถพิชิตยอดเขาและสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยในปี 2004 และ Nives Meroi ชาวอิตาลีและ Yuka Kamatsu ชาวญี่ปุ่นต่างก็ประสบความสำเร็จในการพิชิตยอดเขาในปี 2006
 
แม้ว่ายอดเขาเอเวอเรสเอเวอเรสต์จะมีความสูงมากกว่ายอดเขาเคทู แต่เคทูถูกพิจารณาว่าปีนยากกว่า สาเหตุเป็นเพราะสภาพอากาศที่แปรปรวนได้ง่าย และระยะทางระหว่างตีนเขาถึงยอดเขาที่ยาวกว่า โดยนักปีนเขาหลายคนถือว่าเคทูเป็นยอดเขาที่ปีนยากที่สุดและอันตรายที่สุดในโลก โดยเคทูมีอัตราการเสียชีวิตของผู้ที่พยายามพิชิตยอดเขากว่าร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับเอเวอเรสเอเวอเรสต์ที่มีอัตราการเสียชีวิตที่ร้อยละ 9 (อย่างไรก็ตามยอดเขาที่มีอัตราการเสียชีวิตมากที่สุด คือ [[ยอดเขาอันนะปุรณะ]] (ความสูง 8,091 เมตร) ในเทือกเขาหิมาลัย ที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 40) ทำให้เคทูมีชื่อเล่นว่า "ยอดเขาดุร้าย" (Savage Mountain) โดยข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2004พ.ศ. 2547 มีคนที่สามารถพิชิตยอดเขาได้เพียง 246 คน เทียบกับ 2,238 คนที่สามารถพิชิตเอเวอเรสได้เอเวอเรสต์ได้ (เหตุผลหนึ่งก็อาจะเป็นเพราะมีคนนิยมไปปีนยอดเขาเอเวอเรสมากกว่าเอเวอเรสต์มากกว่าเช่นกัน) โดยจำนวนผู้เสียชีวิตที่เคทูมีสูงถึง 56 คน โดยในปี 1986พ.ศ. 2529 มีผู้คนเสียชีวิตสูงถึง 13 คนจากการปีนครั้งเดียว ซึ่งเหตุการณ์นี้เรียกว่าโศกนาฏกรรมเคทูTragedy
โดยตลอดประวัติศาสตร์การปีนยอดเขาเคทูมักจะเป็นการปีนโดยไม่ใช้[[ออกซิเจน]]ช่วย และใช้อุปกรณ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา การใช้ออกซิเจนได้เป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
 
ตำนานอีกอย่างหนึ่งของเคทูคือ การเป็นยอดเขาต้องสาปสำหรับสตรี โดย[[วันดา Wanda Rutkiewiczรุตคีเอวิช]] ชาวโปแลนด์ผู้ที่เป็นสตรีคนแรกที่สามารถพิชิตยอดเขาเคทูและผู้หญิงอีกห้า 5 คนที่สามารถพิชิตยอดเขาได้ต่างก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยสาม 3 คนในจำนวนนั้นเสียชีวิตระหว่างการปีนลง และ Rutkiewicz รุตคีเอวิชเสียชีวิตในระหว่างการปีน[[ยอดเขากันเจนชุงคา]] ในปี 1992พ.ศ. 2535 อย่างไรก็ตามคำสาปนี้ถูกทำลายได้ในปี 2004พ.ศ. 2547 เมื่อ[[เอดูร์เน Emurne Pasabanปาซาบัน]] ชาวสเปนสามารถพิชิตยอดเขาและสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยในปี 2004 และ[[นีเวส Nives Meroiเมโรอี]] ชาวอิตาลี และ[[ยุกะ Yuka Kamatsuคะมะสึ]] ชาวญี่ปุ่นต่างก็ประสบความสำเร็จในการพิชิตยอดเขาในปี 2006พ.ศ. 2549
== เส้นทางการปีนและความยากของแต่ละเส้นทาง ==
เส้นทางการปีนสู่ยอดเขาเคทูมีหลายเส้นทางด้วยกัน ซึ่งมีความยากง่ายแตกต่างกันไป แต่ทุกเส้นทางจะมีความยากที่เหมือนๆกัน คือ
* สภาวะขาดออกซิเจนเนื่องจากความสูง โดยที่ระดับความสูงมากกว่า 8,000 เมตรจะมีระดับออกซิเจนเพียงหนึ่งในสามของระดับออกซิเจนที่พื้นราบ
* สภาพอากาศทีแปรปรวนได้ง่ายและรุนแรง
* เส้นทางที่ชัน โล่ง ซึ่งทำให้การหันหลังกลับทำได้ยาก โดยเฉพาะในระหว่างพายุ
เส้นทางที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีดังนี้
* '''Abruzzi Spur''' เป็นเส้นทางที่เป็นที่นิยมอย่างมาก ซึ่งถูกสำรวจโดย Luigo Amedeo Duke of the Abruzzi ในปี 1909 โดยเส้นทางนี้เป็นสันเขาทางด้านใต้ของภูเขา โดยการปีนจะเริ่มที่ระดับความสูง 5,400 เมตร
* '''North Ridge''' เป็นเส้นทางที่ปีนจากฝั่งจีน เป็นเส้นทางที่ไม่นิยมนัก เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ยากมาก ที่ต้องข้ามแม่น้ำและธารน้ำแข็งที่เป็นอันตรายมาก
* '''Northwest Ridge'''
* '''South Face''' เป็นเส้นทางที่อันตรายที่สุดและยากที่สุด
* '''South-southeast spur'''
* '''Northeast Ridge''' เป็นเส้นทางที่ยาวและขรุขระมาก
* '''Northwest Face'''
 
โดยตลอดประวัติศาสตร์ การปีนยอดเขาเคทูมักจะเป็นการปีนโดยไม่ใช้[[ออกซิเจน]]ช่วย และใช้อุปกรณ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปี 2004พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา การใช้ออกซิเจนได้เป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
== สภาพแวดล้อมและภูมิประเทศ ==
ยอดเขาเคทูมีความโดดเด่นในเรื่องของความสูง และความชัน โดยตัวภูเขาเป็นทรง[[พีระมิด]]ที่มีด้านทั้งสี่ที่ชันมาก โดยด้านเหนือของภูเขาจะมีความชันมากที่สุด โดยมีความสูงถึง 3,200 เมตรจากธารน้ำแข็งเคทูในระยะทางในแนวราบเพียง 3 กิโลเมตร หรือมีความชันเกือบ 47 องศา โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละด้านจะมีความสูง 2,800 เมตรในระยะทางแนวราบประมาณ 4 กิโลเมตรหรือความชันกว่า 35 องศา ซึ่งเป็นองศาความชันที่ไม่มี[[ภูเขา]]ใดในโลกจะเทียบได้ จึงทำให้เคทูเป็นภูเขาที่ชันที่สุดและเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เคทูปีนได้ยากมาก
 
{{coor title dms|35|52|57|N|76|30|48|E|type:mountain}}
{{คอมมอนส์|เคทู}}
 
{{Eight-thousander}}
{{Seven Second Summits}}
 
{{เรียงลำดับ|คเคทู}}
 
[[หมวดหมู่:ยอดเขาที่มีความสูงเกิน 8000 เมตร]]
[[หมวดหมู่:ภูเขาในประเทศปากีสถาน]]
เข้าถึงจาก "https://th.wikipedia.org/wiki/เคทู"