ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แม่แบบ:โครงชีวประวัติ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ScorpianPK (คุย | ส่วนร่วม)
ย้อนการแก้ไขที่ 2442989 สร้างโดย 125.24.62.24 (พูดคุย)
บรรทัด 1:
{{หมวดโครง|[[ชีวประวัติ]]|[[ภาพ:Crystal Clear app Login Manager.png|35px|ชีวประวัติ| ]]||ชีวประวัติ}}
ไม่น่าเชื่อว่า คนอย่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ หรือชื่อเล่นว่า “ตู่” จะมีเรื่องไม่เป็นเรื่องให้ได้พูดถึงกันบ่อยครั้ง นับตั้งแต่อดีตนักกิจกรรมแห่งพรรคศรัทธาธรรม พรรคการเมืองนักศึกษาในมหาวิทยาลัยรามคำแหง
 
เมื่อผันตัวเข้าสู่วังวนทางการเมืองเป็นโฆษกพรรคไทยรักไทย กระทั่งเป็นแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดงในปัจจุบัน เป็นผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีทีวี และพิธีกรรายการความจริงวันนี้ แน่นอนว่าย่อมมีวีรกรรมในตัวมากมาย
 
ไม่อยากเสียเวลาอารัมภบท เชิญติดตามกัน ตามนั้น ...
 
• หนีแม่
 
นายจตุพร พรหมพันธุ์ เกิดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2508 ปัจจุบันอายุ 43 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.น้ำพุ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี มีบิดาชื่อ นายชวน พรหมพันธุ์ เสียชีวิตแล้ว มารดาคือ นางน่วม บัวแก้ว อายุ 90 ปี ปัจจุบันอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 25/1 ม.2 ต.พรุพี อ.บ้านนาสาร
 
จากคำบอกเล่าของ นางอารีย์ ปานแดง อายุ 60 ปี พี่สาวต่างบิดานายจตุพร และผู้ดูแลนางน่วม กล่าวว่า นายจตุพรออกจากบ้านไปอยู่กับพ่อที่ จ.นครศรีธรรมราชตั้งแต่อายุ 8 ขวบ
 
หลังจากนั้นห่างเหินไป จนกระทั่งกลับมาล่าสุดเมื่อ 5 ปีก่อนมาร่วมงานศพนายคะนึง บัวแก้ว พี่ชายต่างบิดาและไม่มาอีกเลย ซึ่งมารดาสุขภาพไม่ดีเดินไม่ได้ หลงๆ ลืมๆ ได้แต่บ่นหานายจตุพรทุกวัน โดยการกระทำทางการเมืองที่เกิดขึ้นญาติพี่น้องไม่เคยได้มีส่วนร่วมเลย
 
ในสมัยเป็นนักศึกษารามคำแหง นายจตุพรอาศัยกินนอนใต้ถุนกุฏิวัดบวรนิเวศวิหาร กับพี่ชายที่ชื่อ พระมหาระแบบ หรือพระธรรมนิเทศน์ พี่ชายต่างมารดา ซึ่งเป็นพระมาจากลุ่มน้ำปากพนัง ศิษย์พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณรัตนธัชมุนี อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งถือว่าเป็นคนที่นายจตุพรเกรงใจที่สุด
 
ล่าสุดในช่วงที่นายจตุพรเป็นแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง นางน่วมกล่าวถึงนายจตุพรว่า รู้สึกเสียใจกับการกระทำของลูกชายและเป็นห่วงมาก เพราะเป็นลูกคนสุดท้อง ได้พยายามโทรศัพท์ไปหาให้ยุติ แต่เขาไม่เคยรับโทรศัพท์ จึงอยากฝากบอกผ่านสื่อมวลชนให้ลูกชายยุติบทบาท เพราะทุกวันนี้ เมื่อรู้ข่าวต้องนอนร้องไห้ทุกคืนจนนอนไม่หลับ และไม่คิดว่าลูกจะทำอย่างนี้ จึงขอให้เลิกทำผิดแล้วแม่ให้อภัย
 
ขณะที่นายจตุพรกล่าวตอบโต้อย่างมีอารมณ์ว่า มารดาตัวเองเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่รู้หนังสือ เขียนหนังสือไม่เป็น แต่มีพวกเวรตะไลไปบุกถึงที่นอน พร้อมทั้งยังท้าว่า ถ้าจะไปบุกถึงเตียงของมารดานายกฯ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) บ้างจะได้ไหม?
 
“แม่ผมอายุ 90 ปีเศษแล้ว เป็นชาวบ้านธรรมดาไม่รู้หนังสือ เขียนหนังสือไม่เป็น แต่มีพวกเวรตะไลไปบุกถึงที่นอน อย่างนายสนธิ (ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ) ก็เอาไปพูดเมื่อคืนนี้ บุกไปล้อมหน้าล้อมหลังคนแก่ถึงที่นอน ถามว่าถ้าเป็นแม่ของนายกฯ บ้างได้ไหม ตนทำอย่างนี้บ้างได้ไหม บุกถึงที่นอนเลย แกก็คงกลัว แต่ก็ฉลาดตอบไปก่อนเพื่อให้พวกนั้นพอใจ
 
ชีวิตตนก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเป็นลูกชาวบ้านธรรมดาเหมือนนายชวน (หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค ปชป.) แต่ไม่ได้มาเล่าให้ใครฟัง ไม่ได้มาเล่นละครน้ำเน่าดาวพระศุกร์เหมือนนายชวนที่ทำเป็นเล่นสำนวน ถามว่าหัวใจพวกนี้ทำด้วยอะไร มีความเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการต่อสู้ของผม แต่ขอถามว่าถ้าผมทำกับแม่นายกฯ บ้างแบบนี้ บุกไปถึงบ้าน ไปถึงเตียงได้ไหม ”
 
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า มีลูกตามคิด ชีวิตมีสุข ... ไบรวู๊ด มากาเร็ต
 
• หนีเมีย
 
ชีวิตของ “ไอ้ตู่” ในรั้วรามคำแหง จะหาใครที่รู้ดีไม่ได้นอกจากเพื่อนสมัยที่เรียนอยู่รามคำแหงอย่าง “วัชระ เพชรทอง” หรือ “ไอ้แจ๊ค” ศิษย์เก่านิติศาสตร์ ลูกพ่อขุนคนหนึ่ง ที่ปัจจุบันเป็น ส.ส.เขตหนองแขม พรรคประชาธิปัตย์ และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์แนวหน้า ที่มักจะพูดถึงนายจตุพรในคอลัมน์วัชระทัศน์อยู่บ่อยครั้ง
 
ครั้งหนึ่งในหน้าหนังสือพิมพ์ วัชระเล่าให้ฟังว่า สิ่งที่นายจตุพรได้ทำตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษารามคำแหง คือ การประกาศเดินตามรอยเท้าวีรชนเดือนตุลา ทั้งศพ 14 ตุลา 16 และ 6 ตุลา 19 เขาสร้างความเคลิบเคลิ้มให้นักศึกษารุ่นนั้นเห็นว่า เขาสังกัดฝ่ายก้าวหน้า ฝ่ายประชาธิปไตย
 
บทบาทของเขา ทำเอานักศึกษาหญิงหลงใหลไปตามๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น “น้องเทียน” นักศึกษาสาวจากธรรมศาสตร์ ที่ใครๆ ต่างเรียกเธอว่าฮ่องเฮา หรือจะเป็น “น้องปาริชาติ” จากรามคำแหง ที่นายจตุพรคบหากันจนถึงขั้นสาบนสาบานกันต่อหน้ารูปปั้นพ่อขุนรามคำแหงมหาราชในมหาวิทยาลัย ว่าจะไปสู่ขอต่อหน้าพ่อแม่ฝ่ายหญิง
 
แล้วไม่เคยโผล่ไปอีกเลย!
 
ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2550 หลังเหตุการณ์แนวร่วม นปก. ก่อจราจลบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2550 ที่ผ่านมา เมื่อตำรวจออกหมายจับ 9 แกนนำ นปก.ในวันเกิดนายใหญ่ทักษิณ แล้วทั้งหมดถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ พบว่าช่วงเวลาดังกล่าวได้มี “นางนวลพรรณ พรหมพันธุ์” ซึ่งระบุว่าเป็นภรรยาเข้าเยี่ยมนายจตุพรที่เรือนจำ
 
แต่จากการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่รัฐ ในช่วงเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบสัดส่วน กลุ่มที่ 6 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2551 กลับไม่มีการระบุชื่อผู้สมรส โดยระบุบุตรนอกสมรสที่รับรองแล้ว 1 คน คือ “ด.ญ.พอเพียง พรหมพันธุ์” อายุ 8 ปี อยู่บ้านเลขที่ 31/1 หมู่ที่ 7 ซอยริมคลองบางกอกน้อย แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร
 
สอดคล้องกับคำพูดของนายวัชระ ที่ออกมาตอบโต้กรณีที่นายจตุพรกล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์หนีทหาร โดยตั้งข้อสงสัยว่านายจตุพรผ่านการเกณฑ์ทหารหรือไม่ และจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษจริงหรือเปล่า ซึ่งได้ทิ้งท้ายถึงภรรยาและลูก ซึ่งที่คาดหมายว่าในขณะนี้น่าจะแยกทางกันแล้ว
 
“คงต้องถามย้อนกลับไปยังนายจตุพรว่า แล้วตัวนายจตุพรเองหนีทหารหรือไม่ และไม่ใช่แค่หนีทหารนะ นายจตุพรหนีภรรยาคนที่ 1, 2 และ 3 หรือไม่ แล้วก็ไม่ใช่แค่ภรรยานะ ลูกสาวที่อายุ 8 ขวบของนายจตุพรล่ะ นายจตุพรได้หนีเขามาโดยไม่รับผิดชอบน่ะเป็นความจริงหรือไม่ นายจตุพรควรจะออกมาชี้แจงเรื่องนี้ด้วย”
 
ข่าวล่าสุดจากศูนย์ข่าวภาคอีสาน ของผู้จัดการออนไลน์ กล่าวถึงการหลบหนีของนายจตุพร หลังทางตำรวจออกหมายจับ 13 แกนนำ นปช. รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่อยู่เบื้องหลัง ว่าขณะนี้นายจตุพรหนีไปอยู่ที่เมืองน้ำดำ จ.กาฬสินธุ์ โดยมี “ผู้หญิงคนใหม่” ซึ่งแม่ยายมีดีกรีเป็นถึงที่ “ปรึกษาส่วนตัวนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด”
 
ไม่รู้ว่า ผู้หญิงคนนี้จะเป็น “คนสุดท้าย” ในชีวิตของตู่-จตุพรหรือไม่ แต่สำหรับผู้หญิง 3 คนที่ผ่านมา คงจะเห็นธาตุแท้ และรู้เช่นเห็นชาติ “ไอ้ตู่” จนหมดเปลือก
 
... ขอให้เธอไปดี ขอให้มีความสุข ...
 
• หนีม็อบ
 
เหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ และกดดันสถาบันองคมนตรี ลุกลามบานปลายกลายเป็นการก่อจราจล ผลที่สุดจึงต้องสลายการชุมนุม โดยมี “วีระ มุสิกพงศ์” “น.พ.เหวง โตจิราการ” และ “ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ” ยอมมอบตัวกับตำรวจ จากความผิดตามมาตรา 215 และถูกจำคุกแบบขังเดี่ยว
 
ท่ามกลางปริศนาที่ว่า “ตู่-จตุพร” และ “อีเพ็ญ-จักรภพ เพ็ญแข” สองแกนนำคนสำคัญ หายตัวไปจากที่ชุมนุมในวันสลายตัว พร้อมกับเสียงก่นด่าของผู้ชุมนุมด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า “หนีเอาตัวรอด” หรือไม่ ...
 
อนุสนธิจากข่าวของผู้จัดการออนไลน์ข้างต้น แหล่งข่าวในจังหวัดกาฬสินธุ์แจ้งว่า ทันทีที่ข่าวการหลบหนีของนายจตุพรแพร่สะพัด ได้เกิดกระแสข่าวลือเห็นนายจตุพร อยู่ในจังหวัดกาฬสินธุ์
 
โดยแหล่งข่าวระบุว่าได้พบเห็นคนหน้าคล้ายนายจตุพร นั่งรถเข้าไปที่ “รัชเพชรอพาร์ตเมนท์” ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามวิทยาลัยนาฎศิลป์กาฬสินธุ์ โดยมี “นายเก๋” น้องเมียเป็นคนพาเข้าไปกบดาน กับอีกกระแสก็ระบุว่า นายจตุพรได้หนีกบดานไปอยู่ที่ “บ้านแม่ยาย” ในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์
 
ขณะที่ข่าวลือที่ค่อนข้างจะมีความชัดเจน กับเหตุผลของการเข้ามากบดานในพื้นที่กาฬสินธุ์ เนื่องจาก บรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทย มีด้วยกันทั้ง 6 เขต และยังทำให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัด ไม่เว้นทั้งตำรวจและทหารมีความเกรงใจ
 
อีกทั้งผู้หญิงคนใหม่ของนายจตุพร แม่ยายก็ใช้อิทธิพลของนายก อบจ.กาฬสินธุ์ จึงเป็นไปได้ว่าจะไม่มีใครพบเห็นหรือพบเห็นก็ไม่มีใครแจ้งตำรวจมาจับ เพราะเป็นถิ่นของกลุ่มคนเสื้อแดง จึงได้เลือกเข้ามากบดานที่จังหวัดกาฬสินธุ์แห่งนี้
 
ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า ทั้งนายจตุพรและนายจักรภพ หลบหนีไปยังประเทศฮ่องกง แต่ทางตำรวจยืนยันว่า นายจตุพรยังกบดานอยู่ในประเทศไทย สอดคล้องกับทนายความส่วนตัวอย่าง “องอาจ คำทอง” ที่กล่าวว่า นายจตุพรไม่ได้หนีออกนอกประเทศ ยังอยู่ในประเทศไทย และสบายดี แต่ขอปกปิดที่อยู่เนื่องจากเพื่อความปลอดภัย
 
ล่าสุด นายองอาจได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยนายจตุพรขอใช้เอกสิทธิ์ในการเป็น ส.ส.สมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร หลังจากปิดสมัยประชุม จะเดินทางเข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีสิทธิใช้เอกสิทธิ์เพื่อที่ตำรวจจะไม่ติดตามจับกุม เพราะยังอยู่ในสมัยประชุม
 
ที่แน่ๆ นายจตุพรอาจจะได้หลบหนีคดีจนถึงวันที่ 21 พฤษภาคมนี้ หลังจากนั้น จะยอมเป็นสุภาพบุรุษเข้ามอบตัว หรือจะหลบหนีคดีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ยอมเสียสละเหมือนนายหัววีระ และไอ้ก้านณัฐวุฒิ ที่ลงทุนขังเดี่ยว ก็ขึ้นอยู่กับตัวนายจตุพรเองว่าจะมีความกล้าและยางอายหลงเหลืออยู่หรือไม่?
 
ไม่ใช่ครั้งแรกของนายจตุพรที่ตัดสินใจหลบหนีการชุมนุม โดยไม่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในยามคับขัน ก่อนหน้านี้เมื่อเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี พ.ศ.2535 จากคำบอกเล่าของนายวัชระ ที่เล่าให้ฟังในคอลัมน์ วัชระทัศน์ อย่างติดตลกว่า
 
“พี่ตู่ยุม็อบจนคลั่งแค้น ให้สู้กับทหาร เหมือนกับตอนที่พี่ตู่พูดยุยงม็อบที่ถนนราชดำเนิน ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พี่ตู่พูดจนเห็นช้างตัวเท่ามด เห็นรถถังเป็นรถเมล์ เห็นน้องเทียนเป็นน้องปา (ฮา)
 
พอทหารยิง "ปัง!" นัดแรกเท่านั้นมีคนเห็น คนคล้ายๆ พี่ตู่กับพวกวิ่งลงเรือ บ.ครอบครัวขนส่งในคลองแสนแสบหายแวบไป”
 
17 ปีผ่านไป นายจตุพรก็ยังเป็น “นายจตุพร” คนเดิม!
 
• ของแถม ... หนีหนี้
 
แม้นายจตุพรจะได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่มีรถยนต์ 2 คันราคาแพง อย่างเช่น รถยนต์โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ รถเก๋ง BMW และบ้านหรูเลขที่ 99/92 โครงการวิสต้าพาร์ค ซอยวัชรพล มูลค่า 2 ล้านกว่าบาท ซึ่งได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของการรับใช้ระบอบทักษิณ รวมทั้งการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.มีมากถึง 8 ล้านบาทก็ตาม
 
แต่จากคำปราศรัยของนายวัชระบนเวทีพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2551 ที่ผ่านมา (ก่อนไปสมัคร ส.ส.ในการเลือกตั้งซ่อมเขตหนองแขม แทนนายสุธา ชันแสงที่ชิงลาออกเพราะใช้วุฒิการศึกษาปลอม) ก็ยังกล่าวหนี้ที่ไม่ได้ชำระตั้งแต่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และนักกิจกรรมสังกัดพรรคศรัทธาธรรม ดังนี้
 
“ในฐานะที่เป็นอดีตนักศึกษารามคำแหงเช่นกัน จึงอยากจะบอกให้นายจตุพรไปใช้หนี้ที่ยังค้างอยู่ คือ หนี้ที่ยืมจากนักศึกษาหญิงคนหนึ่งจำนวน 1,500 บาท ที่นำไปใช้ในงานรับน้องที่ภูหินร่องกล้า หนี้ร้านข้าวแกงแม่สุพรรณบุรี โรงอาหารหลังที่ 1 ที่นายจตุพรเซ็นค่าอาหารในงานรับน้องไว้ 4,500 บาท และค่าพิมพ์โปสเตอร์หาเสียงเลือกตั้ง องค์การนักศึกษา ที่ค้างโรงพิมพ์กัวเซ้ง คลองตันอยู่ประมาณ 10,000 บาท รวมแล้วยังมีหนี้ประมาณ 1 หมื่นเศษๆ ก็ยังไม่ใช้”
 
ครบเครื่องเรื่องวีรกรรม “หนีๆ” อย่างไอ้ตู่คนนี้!
 
แหล่งที่มา: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=426500