ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ครีบยันลอย"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Mattis (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Mattis (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1:
{{ระวังสับสน|ค้ำยัน}}
[[ภาพ:Lincoln cathedral 06 Chapterhouse.jpg|right|thumb|250px|กำแพงค้ำยันแบบปึกนอกหอประชุมสงฆ์ที่[[มหาวิหารลิงคอล์น]]]]
[[ภาพ:bath.abbey.flying.buttresses.arp.jpg|thumb|250px|กำแพงค้ำยันแบบปึกที่[[มหาวิหารบาธ]]ที่[[อังกฤษ]] 5 ใน 6 ค้ำยันที่เห็นรับน้ำหนักทางเดินกลาง (nave) อันที่ 6 รับน้ำหนักแขนกางเขน (transept)]]
[[ภาพ:Arc.boutant.cathedrale.Amiens.png|thumb|250px|ค้ำยันปีกที่[[มหาวิหารอาเมียง]]]]
 
'''ครีบยัน''' (ภาษาอังกฤษ: flying buttress หรือ arc-boutant) ในทาง[[สถาปัตยกรรม]]ครีบยันเป็น[[ค้ำยัน]]<ref>มะลิฉัตร เอื้ออานันท์. “พจนานุกรมศัพท์ศิลปะ” สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พ.ศ. 2545</ref> (Buttress) ประเภทหนึ่งที่มักจะใช้ในการก่อสร้าง[[คริสต์ศาสนสถาน]]เพื่อแบ่งรับน้ำหนักจากหลังคามาสู่ค้ำยันที่กระจายออกไปเป็นระยะๆ ซึ่งอาจจะเป็น[[ช่องทางเดิน|ช่องทางเดินข้าง]] (aisle) คูหาสวดมนต์ หรือระเบียงนอกสิ่งก่อสร้าง ครีบยันต่างกับค้ำยันตรงที่จะมีลักษณะที่กางออกไปจากตัวสิ่งก่อสร้างแทนที่จะเป็นส่วนหนึ่งหรือแนบกับตัวสิ่งก่อสร้างของค้ำยัน การใช้ค้ำยันปีกทำให้ทุ่นการรับน้ำหนักหรือแรงกดดันกำแพงที่แต่เดิมต้องรับน้ำหนักและความกดดันทั้งหมด จึงทำให้สามารถทำหน้าต่างได้กว้างขึ้นได้ ซึ่งถ้าทำเช่นนั้นโดยไม่มีค้ำยันปีกก็จะทำให้กำแพงไม่แข็งแรง
 
จุดประสงค์ของค้ำยันแบบปีกก็เพื่อช่วยลดน้ำหนักกดดันของกำแพงทางเดินกลาง แรงกดดันและน้ำหนักส่วนใหญ่จะอยู่ส่วนบนของค้ำยันฉะนั้นเมื่อทำค้ำยันเป็นครึ่งซุ้มโค้งก็ทำให้สามารถรับน้ำหนักได้เท่าๆ กับค้ำยันที่ตัน นอกจากนั้นยังทำให้ค้ำยันเบาขึ้นและราคาถูกกว่าที่จะสร้าง ฉะนั้นกำแพงจึง “บิน” (flying) ออกไปจากสิ่งก่อสร้างแทนที่จะเป็นกำแพงทึบจึงทำให้เรียกกันว่า “ค้ำยันปีก”
 
วิธีการก่อสร้างที่ใช้[[ค้ำยัน]]มีมาตั้งแต่สมัย[[สถาปัตยกรรมโรมัน]]และต้น[[สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์|โรมาเนสก์]]แต่[[สถาปนิก]]มักจะพรางค้ำยันโดยการซ่อนไว้ใต้หลังคา เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 12 สถาปนิกก็เมื่อมีการวิวัฒนาการการสร้างค้ำยันปีกกันขึ้น นอกจากสถาปนิกจะเห็นถึงความสำคัญของค้ำยันและที่ใช้แล้ว ก็ยังหันมาเน้นการใช้ค้ำยันเป็นสิ่งตกแต่งสิ่งก่อสร้างเช่นที่[[มหาวิหารโนเทรอดามแห่งชาร์ทร์]] [[Le Mans Cathedral|มหาวิหารเลอมานส์]] (Cathedral of Le Mans Cathedral) [[Beauvais Cathedral|มหาวิหารบูเวส์โบเวส์]] (Beauvais Cathedral of Beauvais) [[มหาวิหารโนเทรอดามแห่งแรงส์]] และ [[มหาวิหารโนเตรอดาม|มหาวิหารโนเตเทรอดามแห่งปารีส]]เอง
 
บางครั้งเมื่อเพดานสูงมากๆ สถาปนิกก็อาจจะใช้ค้ำยันปีกซ้อนกันสองชั้นหรือบางครั้งการจ่ายน้ำหนักก็จะกระจายออกไปกับค้ำยันสามสี่อัน ตามปกติแล้วน้ำหนักของค้ำยันก็จะเพิ่มน้ำให้กับตัวอาคารพอสมควร ฉะนั้นค้ำยันจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งก่อสร้างที่สำคัญ การใช้ค้ำยันดิ่งเป็นระยะๆ ทำให้เพิ่มการรับน้ำหนักและแรงกดทับได้ดีขึ้นกว่าที่จะสร้างตลอดแนวกำแพง ค้ำยันดิ่งที่ใช้ในการก่อสร้าง [[มหาวิหารลิงคอล์น]] [[แอบบีเวสต์มินสเตอร์]]อยู่ภายนอกหอประชุมสงฆ์ ค้ำยันดิ่งมักจะใช้ยอดแหลม (pinnacle) เพื่อช่วยเพิ่มเหนือค้ำยันในการสร้างแรงต่อต้านการรับน้ำหนักของสิ่งก่อสร้างเพิ่มขึ้น
 
วิธีการก่อสร้างนี้ถูกนำไปใช้โดยสถาปนิกชาวแคนาดาวิลเลียม พี แอนเดอร์สันในการสร้าง[[ประภาคาร]]เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20<ref>Russ Rowlett, [http://www.unc.edu/~rowlett/lighthouse/types/buttressed.htm Canadian Flying Buttress Lighthouses], in [http://www.unc.edu/~rowlett/lighthouse/index.htm ''The Lighthouse Directory''].</ref>