ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สถาปัตยกรรมบารอก"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Mattis (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Mattis (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 75:
สถาปนิกสามคนนี้ต่อมาก็เป็นผู้สร้าง[[พระราชวังแวร์ซาย]]ซึ่งก็คือโวเลอวิคองเทที่ขยายใหญ่ขึ้น และกลายมาเป็นวังที่มีผู้สร้างเลียนแบบกันมากในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เช่นที่[[มานไฮม์]] (Mannheim) นอร์ดเคิร์ชเชน (Nordkirchen) และ โดรทนิงโฮลม (Drottningholm) ในประเทศเยอรมันี
 
การขยายครั้งสุดท้ายของพระราชวังแวร์ซายทำโดย [[จุลส์ฌูลส์ อาร์ดวง -มองซาร์]] (Jules Hardouin-Mansart) ผู้เป็นคนสำคัญในการออกแบบ โดมเดออินแวลีด (Les Invalides) ซึ่งถือกันว่าเป็นวัดที่สำคัญที่สุดในศตวรรษนั้นของฝรั่งเศส อาร์ดวง มองซาร์ ได้รับประโยชน์จากคำสอนของฟรองซัว มองซาร์ผู้เป็นลุง ซึ่งเป็นการสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อนในประเทศทางตอนเหนือของอิตาลี และการใช้โดมครึ่งวงกลมบนโครงสร้างที่มั่นคงที่ดูแล้วมิได้แสดงสัดส่วนที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งก่อสร้าง จุลส์ อาร์ดวงมิได้แต่ปรับปรุงทฤษฎีของลุงเท่านั้นแต่ยังวางรากฐานการก่อสร้างแบบบาโรกลักษณะฝรั่งเศสด้วย
 
ในสมัย[[พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส|พระเจ้าหลุยส์ที่ 15]] ก็เริ่มปฏิกิริยาต่อลักษณะสถาปัตยกรรมแบบ[[พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส|พระเจ้าหลุยส์ที่ 14]] โดยเปลี่ยนมาเป็นรูปลักษณะที่ละเอียดอ่อนช้อยและเป็นกันเองกว่าเดิมที่เรียกกันว่า “[[ศิลปะโรโคโค]]” ผู้ริเริ่มการใช้ลักษณะนี้คือนิโคลัส พินเนอ (Nicholas Pineau) ผู้ร่วมมือกับจุลส์ อาร์ดวง มองซาร์ตกแต่งภายในวังมาร์ลี[http://en.wikipedia.org/wiki/image:Marly_1724.jpg] (Château de Marly) ศิลปินอื่นที่สร้างงานแบบโรโคโคคือปิแอร์ เลอ โปเตรอ (Pierre Le Pautre) และ จุสต์ โอเรย์ เมซองนิเยร์ (Juste-Aurèle Meissonier) ผู้สร้าง “genre pittoresque” ภายในวังชองติลลี (Château de Chantilly) เมื่อปี ค.ศ. 1722 และโอเต็ลเดอซูบีส์ (Hôtel de Soubise) เมื่อปี ค.ศ. 1732 ซึ่งการตกแต่งที่ใช้เครื่องตกแต่งและลวดอย่างมากมายและหรูหราจนเกินเลยไป ซึ่งทำให้ลดความสำคัญทางโครงร่างของสถาปัตยกรรมการแบ่งส่วนภายในลงไปมาก