ผลต่างระหว่างรุ่นของ "บียอนเซ่ โนวส์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Loveisintheair (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
MeeLP (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 28:
ในเดือนมิถุนายน [[ค.ศ. 2003]] ระหว่างการพักงานของ[[เดสทินีส์ไชลด์]] โนวส์ได้ออกอัลบั้มในฐานะศิลปินเดี่ยวเป็นครั้งแรกกับอัลบั้ม ''[[แดนเจอรัสลีอินเลิฟ|Dangerously in Love]]'' ซึ่งนับเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอัลบั้มหนึ่งในปีนั้น และยังได้รับ[[รางวัลแกรมมี]]ถึง 5 สาขาอีกด้วย และในปีเดียวกันนี้เอง เดสทินีส์ไชลด์ได้ตัดสินใจแยกวงอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้น โนวส์ได้ออกอัลบั้มตามมาอีก 2 อัลบั้มคือ ''[[B'Day]]'' ในปี [[ค.ศ. 2006]] ซึ่งเปิดตัวใน[[บิลบอร์ด]]ที่อันดับ 1 มีซิงเกิลฮิตอย่าง "Deja Vu", "Irreplaceable", และ "Beautiful Liar" อัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 3 ของเธอ ''[[I Am... Sasha Fierce]]'' ได้วางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน [[ค.ศ. 2008]] มีซิงเกิลฮิต เช่น "If I Were a Boy", "Single Ladies (Put a Ring on It)", และ "Halo" โนวส์มีซิงเกิลที่ติดอันดับ 1 อยู่ทั้งหมด 5 เพลงด้วยกัน ทำให้เธอเป็นหนึ่งในสองศิลปินหญิงที่มีเพลงติดอันดับหนึ่งมากที่สุดในช่วงค.ศ. 2000-2009 นอกจากนี้เธอยังเป็นศิลปินที่มีซิงเกิลอยู่บนอันดับหนึ่งถึง 37 สัปดาห์ ซึ่งมากที่สุดของศิลปินหญิงในทศวรรษนี้ และยังมีเพลงที่อยู่ใน 5 อันดับแรก และ 10 อันดับแรกมากที่สุดในทศวรรษนี้เช่นกัน<ref>[http://www.billboard.com/bbcom/news/flo-rida-has-sweet-week-on-billboard-hot-1003968125.story Flo Rida Has Sweet Week On Billboard Hot 100] Billboard.com</ref><ref>[http://www.billboard.com/bbcom/chart-beat-bonus/chart-beat-depeche-mode-pet-shop-boys-oak-1003968257.story "Chart Beat: Depeche Mode, Pet Shop Boys, Oak Ridge Boys, Hannah Montana"] Billboard.com</ref>
 
โนวส์ได้เปิดตัวธุรกิจห้องเสื้อที่เธอได้ร่วมกับครอบครัว โดยใช้ชื่อว่า House of Deréon และได้เซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับบริษัทต่างๆ เช่น [[เป๊ปซี่]], Tommy Hilfiger, Armani และ [[L'Oréal]] จากความสำเร็จอย่างสูงของโนวส์ ทำให้เธอได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินคนสำคัญคนหนึ่งของอุตสาหกรรมดนตรีในยุคปัจจุบัน และในปี [[ค.ศ. 2009]]นี้ [[ฟอร์บ|นิตยสารฟอร์บ]]ยังได้จัดอันดับไห้ให้เธอเป็นคนดังที่มีอิทธิพลมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 อีกด้วย และในช่วงปี 2008 - 2009 เธอเป็นศิลปินที่มีรายได้มากเป็นอันดับ 3 ด้วยรายได้กว่า 87 ล้านเหรียญสหรัฐ <ref>[http://www.forbes.com/lists/2009/53/celebrity-09_Beyonce-Knowles_YA72.html #4 Beyonce Knowles - The 2009 Celebrity 100]forbes.com</ref>
 
=== ชีวิตในวัยเด็กและจุดกำเนิดเดสทินีส์ไชลด์ก่อนเข้าวงการบันเทิง (1981-1993) ===
== ประวัติ ==
 
=== ชีวิตในวัยเด็กและจุดกำเนิดเดสทินีส์ไชลด์ (1981-1993) ===
 
บียอนเซ่ โนวส์ เกิดเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1981 ที่เมือง[[ฮิวส์ตัน]] [[รัฐเท็กซัส]] [[สหรัฐอเมริกา]] เป็นลูกสาวคนโตของ[[ผู้จัดการ]]เพลงชื่อ แมททิว โนวส์ กับ [[นักออกแบบ]][[เสื้อผ้า]]และทรงผมชื่อทีน่า บียินเซ่ เธอมีน้องสาว 1 คน คือ โซแลงก์ โนวส์ ซึ่งปัจจุบันก็เดินตามรอยพี่สาวในวงการอยู่เหมือนกัน โนวส์ถูกปลูกฝังให้มีความกล้าแสดงออกตั้งแต่เด็ก โดยทีน่าได้ให้เธอเรียนศิลปะเกี่ยวกับการดนตรีต่างๆ มากมาย
เส้น 40 ⟶ 38:
เมื่ออายุได้ 8 ขวบ แมททิวได้มีความคิดที่จะสร้างวงเกิลกรุ๊ปขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า "Girl's Tyme" ซึ่งในขณะนั้นมีสมาชิกในวงถึง 6 คน ซึ่งสองในนั้นคือ [[ลาทาเวีย โรเบอร์ซัน]] และ [[เคลลี โรว์แลนด์]] Girl's Tyme ได้ขึ้นเวทีครั้งแรกในรายการ ''Star Search'' ซึ่งเป็นรายการประกวดร้องเพลงชื่อดังในขณะนั้น แต่ผลออกมาไม่ค่อยดี เพราะการแสดงออกมายังไม่ค่อยสมบูรณ์แบบเท่าไหร่นัก ในปี 1993 ได้มีสมาชิกใหม่เข้ามาในวงคือ เลโทย่า ลัคเก็ท ต่อมาก็คัดเหลือ 4 คน และเปลี่ยนชื่อวงเป็น[[เดสทินีส์ไชลด์]]
 
== งานทางดนตรีและการแสดง ==
=== ยุดของเดสทินีส์ไชลด์ (1994-2002) ===
 
''ดูบทความหลักที่ [[เดสทินีส์ไชลด์]]''
เส้น 53 ⟶ 52:
 
ในปี 2000 พวกเธอได้ออกซิงเกิลเพลงประกอบภาพยนตร์ ''Charlie's Angels'' ประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วยการขึ้นอันดับ 1 ถึง 7 สัปดาห์ นั่นคือเพลง "Independent Women Part I" อัลบั้มชุดที่ 3 ของพวกเธอ ''Survivor'' วางขายในปี 2001 ติดอันดับบนชาร์ท[[บิลบอร์ด 200]] ที่อันดับ 1 ด้วยยอดขายกว่า 663,000 ชุดในสัปดาห์แรก<ref>[http://www.billboard.com/bbcom/search/google/article_display.jsp?vnu_content_id=862896 Destiny's Child Shoot Straight To No. 1] Billboard (Nielsen Business Media, Inc.)</ref> และขายได้มากกว่า 10 ล้านชุดทั่วโลก และยังมีซิงเกิลที่ฮิตติดชาร์ทอีกมากมายอย่างเพลง "Survivor" และ "Bootylicious" จากอัลบั้มนี้ทำให้พวกเธอคว้า[[รางวัลแกรมมี]]มาได้อีก 1 รางวัล<ref>[http://www.rockonthenet.com/archive/2002/grammys.htm 44th Grammy Awards - 2002] rockonthenet.com</ref> ในต่อมาพวกเธอได้มีอัลบั้ม ''8 Days of Christmas'' ซึ่งวางขายในปี 2001 เช่นกัน ในช่วงเทศกาล[[คริสต์มาส]] หลังจากวางขายอัลบั้มแล้ว ก็ได้มีการพักงานชั่วคราว เพื่อที่สมาชิกแต่ละคนจะได้ออกผลงานเดี่ยวของตน
 
=== จุดเริ่มต้นการเป็นศิลปินเดี่ยว ===
 
ในปี 2000 โนวส์ได้เซ็นสัญญาทำอัลบั้มเดี่ยว 3 อัลบั้มกับ [[โคลัมเบียเรเคิดส์]]<ref>[http://www.ew.com/ew/article/0,,85643,00.html Manifest Destiny] Entertainment Weekly</ref> ขณะที่โนวส์ได้ทำงานร่วมกับ[[เดสทินีส์ไชลด์]] เธอก็ได้เริ่มทำงานเดี่ยวของตัวเอง เธอได้ร่วมงานกับ [[Marc Nelson]] ในเพลง After All Is Said and Done" เพื่อเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในปี 1999 เรื่อง ''The Best Man'' และก็ได้ร้องเพลงร่วมกับ [[เอมิลล์]] ในเพลง"I Got That" ปี 2000 ในช่่วงต้นปี 2001 ขณะที่เดสทินีส์ไชลด์กำลังทำอัลบั้ม ''Survivor'' โนวส์ได้รับบทนักแสดงนำจากภาพยนตร์โทรทัศน์ ซึ่งออกฉายในช่อง MTV เรื่อง Carmen: A Hip Hopera
 
ปี 2002 โนวส์มีผลงานการแสดงภาพยนตร์ตลก เรื่อง ''Austin Powers in Goldmember'' ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศของ[[สหรัฐอเมริกา]] ทำเงินไปกว่า 73.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ในสัปดาห์แรก และโนวส์ก็ได้มีซิงเกิลเดี่ยวซิงเกิลแรกของเธอ "Work It Out" เพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ ในปีต่อมานั้นเธอก็ได้แสดงภาพยนตร์แนว โรแมนติกโคเมดี้ เรื่อง ''The Fighting Temptations'' และมีซิงเกิลร่วมกับแร็ปเปอร์หญิงอย่าง [[มิสซี เอลเลียต]], [[เอ็มซี ไลย์ต]], และ [[ฟรี]] ในเพลง "Fighting Temptation" เพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้
 
ในปีเดียวกันนั้น โนวส์ได้ร่วมร้องเพลงกับแฟนหนุ่มของเธอ [[เจย์-ซี]] ในเพลง"'03 Bonnie & Clyde" [[ลูเธอร์ แวนดรอส]]และโนวส์ ได้นำเพลง "The Closer I Get to You" กลับมาทำใหม่ ซึ่งต้นฉบับขับร้องโดย [[โรเบอร์ตา แฟล็ก]] และ [[Donny Hathaway]] ในปี 1977 แล้วฉบับของพวกเขานี้ ก็ได้รับ[[รางวัลแกรมมี่]] สาขา Best R&B Performance by a Duo or Group with Vocals ในปีต่อมา
 
=== ''Dangerously in Love'' (2003-2005) ===