ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สถาปัตยกรรมบารอก"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Ptbotgourou (คุย | ส่วนร่วม)
โรบอต แก้ไข: hr:Arhitektura baroka
Mattis (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1:
{{ใช้ปีคศ|width=300px}}
{{ลิงก์ไปภาษาอื่น}}
{{ป้ายเตือนปีคศ}}
[[ภาพ:Mg-k Basilica Superga1.jpg|thumb|300px|วิหารซุพเพอร์กา (Basilica di Superga) ใกล้เมืองตูริน ประเทศอิตาลี โดย ฟิลิโป คูวารา (Filippo Juvarra)]]
[[ภาพ:Wieskirche 003.JPG|thumb|300px|วิการตกแต่งภายในของวัดวีส์ ประเทศเยอรมนี ที่แสดงถึงความแยกไม่ออกระหว่างประติมากรรมและสถาปัตยกรรม]]
เส้น 7 ⟶ 6:
ขณะที่[[สถาปัตยกรรมฟื้นฟูศิลปวิทยา|สถาปัตยกรรมเรอเนซองส์]]จะเน้นความมั่งคั่งและอำนาจของราชสำนักอิตาลี และประสมประสานศิลปะศาสนาและศิลปะทางโลก สถาปัตยกรรมบาโรกเมื่อเริ่มแรกเป็นสถาปัตยกรรมที่มาจากปฏิกิริยาต่อ[[นิกายโปรเตสแตนต์|การปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์]]ซึ่งเป็นกระบวนการของสถาบัน[[นิกายโรมันคาทอลิก|คาทอลิก]]ต่อต้านการปฏิรูปดังกล่าว โดยการปฏิรูปภายในสถาบันคาทอลิกเอง
 
[[การประชุมสังคายนาที่เมืองเทร้นต์]] ระหว่างวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1545 ถึงวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1563 เป็นเหตุการณ์ที่ถือกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ “[[การปฏิรูปศาสนาของนิกายโรมันคาทอลิก” ([[:en:Counter-Reformation|Counter-Reformationคาทอลิก]]) ฉนั้นฉะนั้นสถาปัตยกรรมแบบบาโรกจึงนอกจากจะเป็นการแสดงออกทางอารมณ์แล้วยังเป็นการแสดงความมั่งคั่งและความมีอำนาจของสถาบันศาสนานิกายโรมันคาทอลิกอีกด้วย นอกจากนั้นสถาปัตยกรรมแบบบาโรกยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มความเชื่อถือและความศรัทธาในศาสนาโดย ลัทธิเธียไทน์ (Theatines) และ ลัทธิเยซูอิด (Jesuits) ซึ่งเป็นลัทธิในนิกายโรมันคาทอลิก จนกระทั่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 สถาปัตยกรรมแบบบาโรกก็เริ่มมาอิทธิพลต่อการก่อสร้างชนิดอื่นเช่นพระราชวังโดยเริ่มที่ประเทศฝรั่งเศส เช่นที่ปราสาทเมซองส์ (Château de Maisons) (ค.ศ. 1642) ใกล้[[ปารีส]] ออกแบบโดย [[ฟรองซัว มองซาร์]] (François Mansart) และเผยแพร่ไปสู่ประเทศอื่นๆในยุโรป
 
==ที่มาและลักษณะของสถาปัตยกรรมบาโรก==
เส้น 17 ⟶ 16:
* ทางสู่แท่นบูชาที่เคยยาวก็กว้างขึ้นและบางครั้งก็จะเป็นวงกลมเช่นที่[[วัดวีส์]]
* การใช้แสงสีอย่างนาฏกรรมถ้าไม่เป็นแสงและเงาที่ตัดกัน (chiaroscuro effect) ก็จะเป็นการใช้แสงเสมอกันจากหน้าต่างหลายหน้าต่าง เช่นที่แอบบีไวน์การ์เตน (Weingarten Abbey)
* การตกแต่งอย่างหรูหราด้วยเครื่องตกแต่ง เช่น putto ที่ทำด้วยไม้ที่มักจะทาเป็นสีทอง ปูนปลาสเตอร์ [[ปูนปั้น]] [[หินอ่อน]] การทาสีตกแต่ง ([[:en:faux finishing|faux finishing]])
* การใช้[[จิตรกรรมฝาผนัง]]บนเพดานกลางใหญ่ซึ่งอาจจะเป็นโดม
* ด้านหน้าภายนอกมักจะยื่นออกไปจากตรงกลางอย่างเด่นชัด
เส้น 28 ⟶ 27:
[[ภาพ:Catherine Palace.jpg|thumb|250px|พระราชวังที่[[เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก]], [[ประเทศรัสเซีย]]]]
แม้เราจะเห็นว่าสถาปัตยกรรมบาโรกเป็นสถาปัตยกรรมของยุโรปแต่เราต้องไม่ลืมว่าสถาปัตยกรรมบาโรกเกิดขึ้นขณะที่ยุโรปกำลังขยายอาณานิคมฉะนั้นการก่อสร้างจึงมีอิทธิพลไปถึงประเทศในอาณานิคมของยุโรปด้วย
ปัจจัยสำคัญในการขยายอาณานิคมก็คือการมีรัฐบาลที่มั่นคงและมีอำนาจเช่น [[ประเทศฝรั่งเศส]] หรือ [[ประเทศสเปน]] ซึ่งเป็นสองประเทศแรกที่ริเริ่มการขยายตัวในทางนี้<ref>Though there is a vast literature on the subject, a succinct overview can be found in: Francis Ching, Mark Jarzombek, Vikram Prakash, ''A Global History of Architecture'', Wiley Press, 2006.</ref> อาณานิคมเพิ่มความมั่งคั่งให้กับเจ้าของจากทั้งเงินซึ่งขุดจากเหมืองเช่นที่ [[ประเทศโบลิเวีย]] หรือ [[ประเทศเม็กซิโก]] และประเทศอื่นๆ และทางการค้าขายสินค้าเช่นน้ำตาลหรือยาสูบ ฉะนั้นจึงเป็นผลให้มีความจำเป็นในการควบคุมเส้นทางการค้าขาย สร้างระบบการซื้อขายแบบผูกขาด และการค้าขายทาสเพื่อใช้เป็นแรงงานในประเทศอาณานิคม ระบบต่างเหล่านี้ส่วนใหญ่จะควบคุมโดยประเทศฝรั่งเศสระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 17 สิ่งต่างๆเหล่านี้มีส่วนทำให้เกิดมีสงครามระหว่างมหาอำนาจอาณานิคม เช่น “[[สงครามศาสนาของฝรั่งเศส]]” ([[:en:French Religious Wars|French Religious Wars]]) “[[สงครามสามสิบปี]]” ([[:en:Thirty Years' War|Thirty Years' War]]) ระหว่างปี ค.ศ. 1618 ถึงปี ค.ศ.1648 “[[สงครามฝรั่งเศส-สเปน]]” ([[:en:Franco-Spanish War|Franco-Spanish War]]) และ “[[สงครามเนเธอร์แลนด์]]” ([[:en:Dutch War|Dutch War]]) ระหว่างปี ค.ศ. 1672 ถึงปี ค.ศ.1678 และอื่นๆ
 
ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ประเทศสเปนประสพความล้มเหลวในการบริหารทรัพย์สินที่ได้จากอาณานิคมทำให้ต้องล้มละลาย และต้องใช้เวลาในฟี้นตัวจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฉะนั้นถึงแม้ว่าสเปนจะเต็มใจยอมรับสถาปัตยกรรมบาโรก แต่ก็ทำได้เพียงผิวเผินเพราะขาดปัจจัย ซึ่งแตกต่างจากประเทศฝรั่งเศสหรือออสเตรียที่เราจะเห็นการก่อสร้างวังใหญ่โตและสำนักสงฆ์กันอย่างแพร่หลายกันในระยะเวลาเดียวกัน ตรงกันข้ามกับสเปนฝรั่งเศสภายใต้การนำของ ฌอง แบ๊ปติสต์ โคลแบร์ (Jean Baptiste Colbert) รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ระหว่างปี ค.ศ. 1619 ถึงปี ค.ศ. 1683 โคลแบร์นำการอุตสาหกรรมเข้ามาปรับปรุงเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ฝรั่งเศสได้ผลประโยชน์อย่างเต็มที่ อันเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมและสิ่งก่อสร้างและศิลปะ แต่สิ่งที่มากับความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจก็คือภาวะเงินเฟ้อซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดมาก่อน พูดง่ายๆ คือคนรวยก็รวยมากขึ้นคนจนก็จนลง เช่นจะเห็นได้จากกรุงโรมที่มีชื่อเสียงว่ามีวัดหรูหรามากมายแต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยขอทาน<ref>Peter Pater. ''Renaissance Rome''. (University of California Press, 1976) pp.70-3.</ref>
เส้น 65 ⟶ 64:
[[ภาพ:Vaux-le-Vicomte Panorama.jpg|thumb|250px|โวเลอวิคองเทใกล้ปารีสโดยหลุยส์ เลอ โว และ อันเดร เลอ โนเตรอ เมื่อ ค.ศ.1661]]
[[ภาพ:Invalides.jpg|thumb|150px|left|เลออินแวลีด (Les Invalides) ที่ปารีส โดยจุลส์ อาร์ดวง มองซาร์ ค.ศ. 1676]]
ศูนย์กลางของ[[สถาปัตยกรรมบาโรก]]สำหรับที่อยู่อาศัยก็เห็นจะต้องเป็น[[ประเทศฝรั่งเศส]] การออกแบบวังมักเป็นผังแบบสามปีกรูปเกือกม้าที่เริ่มทำกันมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่สิ่งก่อสร้างที่มีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมบาโรกที่แท้จริงคือ วังลักเซมเบิร์กซึ่งออกแบบโดย [[ซาโลมอน เดอ โบร]] (Salomon de Brosse) ที่เป็นลักษณะไปทางคลาสสิคซึ่งเป็นลักษณะบาโรกของฝรั่งเศส หลักการจัดองค์ประกอบของสิ่งก่อสร้างก็จะให้ความสำคัญกับบริเวณหลักเช่นห้องรับรอง เป็นบริเวณสำคัญที่สุด ([[:en:corps de logis|corps de logis]]) การจัดลักษณะนี้เริ่มทำกันเป็นครั้งแรกในประเทศฝรั่งเศส ขณะที่ห้องทางปีกที่ใกลออกไปจากห้องหลักจะค่อยลดความสำคัญลงไปตามลำดับ หอแบบ[[ยุคกลาง]]มาแทนที่ด้วยมุขที่ยื่นออกมาตรงกลางสิ่งก่อสร้างซึ่งอาจจะเป็นประตูมหึมาสามชั้นเป็นต้น
 
งานของเดอ โบรเป็นงานผสมระหว่างลักษณะแบบฝรั่งเศส (สูงลอย หลังคาแมนซารด์[http://commons.wikimedia.org/wiki/image:Mansard.jpg] (Mansard) และหลังคาที่ซับซ้อน) กับลักษณะแบบอิตาลีที่คล้ายกับ[[วังพิตติ]][http://commons.wikimedia.org/wiki/image:Palazzo_Pitti_Gartenfassade_Florenz.jpg]ที่[[ฟลอเรนซ์]]ทำให้กลายมาเป็นลักษณะที่เรียกว่า “ลักษณะหลุยส์ที่ 13” ผู้ที่ใช้ลักษณะนี้ได้ดีที่สุดก็เห็นจะเป็น[[ฟรองซัว มองซาร์|ฟรองซัวส์ มองซาร์]]ผู้ที่ถือกันว่าเป็นผู้นำสถาปัตยกรรมบาโรกเข้ามาในฝรั่งเศส เมื่อออกแบบวังไมซองส์ (Château de Maisons) เมื่อปี ค.ศ. 1642 มองซาร์สามารถนำทฤษฎีการก่อสร้างทั่วไปและแบบบาโรกมาปรับให้เข้ากับลักษณะกอธิคที่ยังหลงเหลือภายในการก่อสร้างแบบฝรั่งเศสได้เป็นอย่างดี
เส้น 94 ⟶ 93:
[[ภาพ:Church of St. Charles Borromeo.jpg|thumb|220px|Carolus-Borromeuskerk ที่อันท์เวิร์พ]]
[[ภาพ:Greenwich Hospital from Thames.jpg|thumb|250px|โรงพยาบาลกรีนนิช โดย [[คริสโตเฟอร์ เร็น]] ค.ศ. 1694]]
สถาปัตยกรรมแบบบาโรกทางตอนใต้ของประเทศเนเธอร์แลนด์หรือในปัจจุบันเป็นประเทศเบลเยียมแตกต่างจากทางบริเวณ[[นิกายโปรเตสแตนต์|โปรเตสแตนต์]]ทางเหนือ หลังจาก “การสงบศึกสิบสองปี” ระหว่างปี ค.ศ. 1609 ถึงปี ค.ศ. 1621 ภาคใต้ของเนเธอร์แลนด์ยังอยู่ในการยึดครองของโรมันคาทอลิกปกครองโดยกษัตริย์สเปน[[ราชวงศ์แฮ็บสเบิร์ก]][[ฟลานเดอร์ส]] สถาปัตยกรรมทางบริเวณนี้เป็นแบบ[[การปฏิรูปศาสนาของนิกายโรมันคาทอลิก|การปฏิรูปศาสนาซ้อนของนิการโรมันคาทอลิก]] ([[:en:Counter Reformation|Counter Reformation]]) สถาปนิก[[ฟลานเดอร์ส]]เช่นเว็นเซล เคอเบิรกเกอร์ (Wenzel Coebergher) ได้รับการฝึกที่อิตาลีและผลงานก็มีอิทธิพลจาก[[จาโกโม บารอซซี ดา วินยอลา]]และ[[จาโกโม เดลลา พอร์ตา]] (Giacomo della Porta) งานชิ้นสำคัญของเคอเบิรกเกอร์คือมหาวิหารเชิรพเพนฮูเวล (Basilica of Our Lady of Scherpenheuvel-Zichem) ซึ่งเป็นทรงเจ็ดเหลี่ยมออกแบบเพื่อให้เป็นศูนย์กลางของเมืองใหม่
 
อิทธิพลของจิตรกร[[ปีเตอร์ พอล รูเบนส์]]ก็มีส่วนสำคัญทางสถาปัตยกรรม ในหนังสือ “I Palazzi di Genova” รูเบนส์นำลักษณะการก่อสร้างและการตกแต่งแบบใหม่ของอิตาลีมายังทางใต้ของประเทศเนเธอร์แลนด์ การสร้างลานคอร์ทยาร์ทและซุ้มที่บ้านของรูเบนส์เองที่อันทเวิร์พเป็นตัวอย่างที่ดีของงานทางสถาปัตยกรรมของรูเบนส์ นอกจากนั้นรูเบนส์ยังมีส่วนในการตกแต่งวัด[[ลัทธิเยซูอิด]]ที่เป็นการตกแต่งอย่างอลังการตามแบบบาโรกซึ่งประกอบด้วยรูปปั้นและภาพเขียนที่เป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรม
 
===อังกฤษ===
ในขณะที่สถาปัตยกรรมแบบบาโรกที่มีบทบาทอย่างกว้างขวางในฝรั่งเศสระหว่างกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในอังกฤษเกือบจะไม่มีอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะในระหว่างสมัยการปกครองของ[[ออลิเวอร์ ครอมเวลล์]] และ สมัย “[[ยุคฟื้นฟูราชวงศ์อังกฤษ|ฟื้นฟูราชวงศ์]] ([[:en:English Restoration|English Restoration]]) สิบปีระหว่างการเสียชีวิตของสถาปนิกภูมิทัศน์[[อินิโก โจนส์]]เมื่อปี ค.ศ. 1652 กับเมื่อ[[คริสโตเฟอร์ เร็น]]ไปเยี่ยมปารีสเมื่อปี ค.ศ. 1665 อังกฤษไม่มีสถาปนิกคนใดที่สำคัญพอที่จะกล่าวถึงได้ ฉะนั้นความสนใจในสถาปัตยกรรมยุโรปที่จะเข้ามาในอังกฤษจึงมีน้อย
 
คริสโตเฟอร์ เร็นกลายมาเป็นเจ้าตำรับของสถาปัตยกรรมบาโรกแบบอังกฤษ ซึ่งมึลักษณะต่างกับสถาปัตยกรรมบาโรกแบบยุโรปทางการออกแบบและการแสดงออกซึ่งจะไม่มีลูกเล่นเช่นแบบเยอรมนี หรืออิตาลี และลักษณะของเร็นออกจะไปทางสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิคมากกว่า หลังจากที่เกิด[[เพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในลอนดอน ค.ศ. 1666]] เร็นก็ได้รับสัญญาการก่อสร้างวัด 53 วัดในลอนดอน ซึ่งเร็นใช้สถาปัตยกรรมแบบบาโรกเป็นฐาน งานชิ้นใหญ่ที่สุดก็เห็นจะเป็น[[มหาวิหารเซนต์พอล]] ซึ่งเปรียบได้กับสึ่งก่อสร้างแบบ[[โดม]]อื่นๆ เช่นในประเทศอิตาลีและฝรั่งเศส ลักษณะใหม่นี้เป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบพาเลเดียนของอินิโก โจนส์กับสถาปัตยกรรมแบบบาโรกจากแผ่นดินใหญ่ยุโรปได้อย่างเหมาะเจาะ
 
นอกจากวัดแล้วคริสโตเฟอร์ เร็นก็ยังเป็นสถาปนิกในการสร้างสิ่งก่อสร้างสำหรับที่อยู่อาศัยด้วย คฤหาสน์ชนบท[http://commons.wikimedia.org/wiki/image:Longleat_outbuilding.jpg] ([[:en:English country house|Country house]])แบบบาโรกแห่งแรกที่สร้างๆ ตามแบบของสถาปนิกวิลเลียม ทาลมัน (William Talman) คือบ้านแช็ทเวิร์ธ[http://commons.wikimedia.org/wiki/image:View_of_Chatsworth_House%2C_England.jpg] (Chatsworth House) ซึ่งเริ่มสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1687 ลักษณะแบบบาโรกมาเริ่มใช้โดยสถาปนิก[[จอห์น แวนบรูห์]] (John Vanbrugh) และนิโคลัส ฮอคสมอร์ (Nicholas Hawksmoor) ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะมีความสามารถในการแสดงออกทางแบบบาโรกแต่มักจะไม่ทำงานพร้อมกันเช่นงานที่วังโฮวาร์ด[http://commons.wikimedia.org/wiki/image:CastleHoward01.jpg] (Castle Howard) เมื่อ ค.ศ. 1699 และวังเบล็นไฮม์[http://commons.wikimedia.org/wiki/image:Blenheim_Palace_Terrace.jpg] (Blenheim Palace) เมื่อ ค.ศ. 1705
 
แม้ว่าสิ่งก่อสร้างทั้งสองแห่งอาจจะมีลักษณะออกจะจืดและเรียบเมื่อเทียบกับแบบบาโรกอิตาเลียนแต่สำหรับสายตาอังกฤษสิ่งก่อสร้างทั้งสองแห่งนี้ก็มีลักษณะเด่นสง่า วังโฮวาร์ดเป็นตึกใหญ่มีโดมเหนือสิ่งก่อสร้างซึ่งถ้าเอาไปตั้งที่[[เดรสเด็น]]หรือ[[มิวนิค]]ในเยอรมันนีก็จะไม่เหมาะ วังเบล็นไฮม์จะหนาหนักกว่าตกแต่งด้วยซุ้มหินโค้ง งานชิ้นสุดท้ายของแวนบรูห์คือวังซีตันเดอลาวาล[http://commons.wikimedia.org/wiki/image:Seaton_Delaval_Hall_-_most_from_N.jpg] (Seaton Delaval Hall) เมื่อ ค.ศ. 1718 ซึ่งเป็นบ้านขนาดเล็กเมื่อเทียบกับที่อื่นแต่ก็มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ที่แวนบรูห์ผู้เป็นนักเขียนบทละครแสดงฝีมืออย่างเต็มที่โดยแสดงให้เห็นความคล้ายคลึงของสถาปัตยกรรมแบบบาโรกกับโรงละคร แม้แวนบรูห์จะพยายามอย่างเต็มที่ในการเผยแพร่สถาปัตยกรรมแบบบาโรกในอังกฤษ แต่ก็มิได้เป็นที่นิยมกันนัก
เส้น 122 ⟶ 121:
 
===จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์===
สถาปัตยกรรมบาโรกแพร่หลายใน[[จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์]]ภายหลังจากบริเวณอื่นในยุโรป แม้ว่าอีลิอาส โฮล (Elias Holl) สถาปนิกจาก[[อ็อกสเบิร์ก]]และนักทฤษฏีเช่นโจเซฟ เฟิรทเท็นบาคผู้พ่อจะเริ่มใช้ลักษณะบาโรกแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีการเผยแพร่มากเพราะ[[สงครามสามสิบปี]] ([[:en:Thirty Years' War|Thirty Years' War]]) แต่ตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1650 เป็นต้นไปงานก่อสร้างก็เริ่มรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งทั้งสถาปัตยกรรมทางศาสนาและที่อยู่อาศัย ในระยะแรกอิทธิพลมาจากช่างหินจากทางใต้ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์และทางเหนือของอิตาลีที่เรียกกันว่า “magistri Grigioni” และสถาปนิกจาก[[ลอมบาร์ดี]] โดยเฉพาะสถาปนิกตระกูลคาร์โลเน (Carlone) จากบริเวณหุบเขาอินเทลวี (Val d'Intelvi) แต่ไม่นานหลังจากนั้นในระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17ออสเตรียก็เริ่มสร้างลักษณะบาโรกที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง โยฮันน์ เบอรนฮาร์ด ฟิชเชอร์ ฟอน แอร์ลาร์ค (Johann Bernhard Fischer von Erlach) มีความประทับใจในงานของ[[จานลอเรนโซ เบร์นินี]] จนสร้างลักษณะใหม่ที่เรียกว่า “ลักษณะอิมพีเรียล” โดยการนำเอาลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมทั้งหลายในอดีตมารวมกัน ซึ่งจะเห็นชัดจากงานที่วัดเซนต์ชาร์ล โบร์โรเมโอ (St. Charles Borromeo) ที่[[เวียนนา]] ทางภาคใต้ของประเทศเยอรมนีจะเป็นอิทธิพลของโยฮันน์ ลูคัส ฟอน ฮิลเดอบรันดท์ (Johann Lucas von Hildebrandt) สถาปนิกอีกผู้หนี่งซึ่งก็ได้รับการฝึกจากอิตาลี
 
ลักษณะสถาปัตยกรรมบาโรกทางไต้ของเยอรมนีจะแยกจากทางเหนือเช่นเดียวกับการแยกบาโรกแบบโรมันคาทอลิกจากบาโรกแบบโปรเตสแตนต์ ทางบริเวณโรมันคาทอลิกทางใต้วัด[[ลัทธิเยซูอิด|เยซูอิด]]เซนต์ไมเคิลที่[[มิวนิค]]เป็นวัดแรกที่นำลักษณะบาโรกแบบอิตาลีเข้ามาในเยอรมนี แต่การวิวัฒนาการจากลักษณะที่นำเข้ามาหรือการแพร่หลายของลักษณะสถาปัตยกรรมที่ว่าก็มิได้มีมากนัก ที่แพร่หลายมากกว่าคือลักษณะที่ปรับปรุงของวัดเยซูอิดเช่นกันที่ดิลลิงเง็น (Dillingen) ที่เป็น “วัดผนัง-เสา” (wall-pillar church) ซึ่งเพดานเป็นเพดานประทุนเหนือทางเดินกลางรายด้วยคูหาสวดมนต์ต์ต์ต์แยกจากกันด้วยผนังและเสา ซึ่งต่างกับวัดเซนต์ไมเคิลที่มิวนิคที่คูหาสวดมนต์ต์ต์ต์ของวัดแบบ “วัดผนัง-เสา” จะสูงพอๆ กับทางเดินกลางและเพดานก็จะยื่นมาจากเพดานของทางเดินกลางในระดับเดียวกัน ภายในคูหาสวดมนต์ต์ต์ต์จะสว่างจากแสงที่ส่องเข้ามาจากทางเข้าของวัด เสาอิงประกอบคูหาแท่นบูชารองทำให้มีวัดมีลักษณะเป็นนาฏกรรมเช่นฉากละคร
 
“วัดผนัง-เสา” ต่อมาก็พัฒนาโดยสถาปัตยกรรมตระกูลโวราร์เบิร์ก ([[:en:Vorarlberg|Vorarlberg]]) และช่างหินจาก[[บาวาเรีย]] นอกจากนั้นลักษณะของ “วัดผนัง-เสา” ยังผสมผสานได้ดีกับกับ “[[วัดโถง]]” ([[:en:hall church|Hall church]]) ที่ใช้กันในสมัยปลายกอธิค วัดลักษณะนี้ยังสร้างกันต่อมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 จนอาจจะเรียกได้ว่ามาถึง[[สมัยฟื้นฟูคลาสสิค]]เช่นที่เห็นได้จากวัดที่แอบบีโรทอันเดอโรท (Rot an der Rot Abbey) นอกจากนั้น “วัดผนัง-เสา” ยังเป็นโครงสร้างที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ง่ายโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเดิมมากเช่นจะเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงที่วัดดิลลิงเง็น
 
นอกจากนั้นวัดแบบบาโรกแบบโรมันคาทอลิกยังได้รับอิทธิพลจากสิ่งอื่นเช่นที่เรียกกันว่า “บาโรกปฏิวัติ” (radical Baroque) ของโบฮีเมีย “บาโรกปฏิวัติ” ของ[[คริสตอฟ ดินเซนฮอฟเฟอร์]] และลูกชาย [[คริสตอฟ ดินเซนฮอฟเฟอร์]] ซึ่งขณะนั้นอาศัยอยู่ที่ปรากก็ได้รับอิทธิพลจากทางเหนือของอิตาลีโดยเฉพาะจากงานของ [[กัวริโน กัวรินี]] ซี่งจะเป็นลักษณะที่ใช้ผนังโค้งและการใช้ช่องว่างภายในเป็นรูปใข่ตัดกัน ในขณะเดียวกันเราก็จะเห็นอิทธิพลของโบฮีเมียในงานของสถาปนิกคนสำคัญคือ[[โยฮันน์ ไมเคิล ฟิชเชอร์]] (Johann Michael Fischer) ที่ใช้ระเบียงโค้งใน “วัดผนัง-เสา” แรกๆ ที่สร้าง หรืองานของ [[โยฮันน์ บาลทาซาร์ น็อยมัน]] ซึ่งถือว่าเป็นงานที่สุดท้ายที่แสดงลักษณะโบฮีเมียผสมเยอรมนี