ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สภาสามัญชนสหราชอาณาจักร"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
KrebsLovesFiesh (คุย | ส่วนร่วม)
แปลเนื้อหาจากบทความภาษาอังกฤษ
KrebsLovesFiesh (คุย | ส่วนร่วม)
แปลเนื้อหาจากบทความภาษาอังกฤษ
บรรทัด 49:
| กลุ่มการเมือง1 = '''[[รัฐบาลสหราชอาณาจักร|รัฐบาลในสมเด็จฯ]] (357)'''
:{{colorbox|#0087DC|border=darkgray}} [[พรรคอนุรักษนิยม (สหราชอาณาจักร)|พรรคอนุรักษนิยม]] (357)
;'''ฝ่ายค้านอันภักดีในสมเด็จฯ (196)'''
:{{colorbox|#DC241f|border=darkgray}} [[พรรคแรงงาน (สหราชอาณาจักร)|พรรคแรงงาน]] (196)
::{{colorbox|#DC241f|border=darkgray}} [[พรรคแรงงานและสหกรณ์]] (26)
;'''พรรคฝ่ายค้านอื่น ๆ (88)'''
:{{colorbox|#FFFF00|border=darkgray}} [[พรรคชาติสกอต]] (44)
:{{colorbox|#FDBB30|border=darkgray}} [[พรรคเสรีประชาธิปไตย (สหราชอาณาจักร)|พรรคเสรีประชาธิปไตย]] (14)
บรรทัด 62:
:{{colorbox|#99CC33|border=darkgray}} [[พรรคกรีน (สหราชอาณาจักร)|พรรคกรีน]] (1)
:{{colorbox|#DDDDDD|border=darkgray}} [[นักการเมืองอิสระ|อิสระ]] (13)
;'''กลุ่มมีนโยบายไม่เข้าร่วมประชุม'''
:{{colorbox|#033E3E|border=darkgray}} [[พรรคซินน์เฟน]] (7)
;'''ประธานในที่ประชุม'''
บรรทัด 96:
 
นายกรัฐมนตรีย่อมลาออกทันทีหากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลร่วมได้หรือจัดให้มีข้อตกลงไว้วางใจและสนับสนุนพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือหากมีการผ่านญัตติไม่ไว้วางใจ หรือโดยเหตุผลส่วนตัว ซึ่งหากมีการลาออก ผู้ที่ได้รับตำแหน่งต้องเป็นผู้ที่สามารถได้รับความไว้วางใจจากเสียงส่วนมากในสภาได้ แต่หากสภาอยู่ในสภาวะปริ่มน้ำ โดยธรรมเนียมผู้ที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือผู้ที่เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ของพรรคที่อดีตนายกรัฐมนตรีสังกัด ในปัจจุบันพรรคการเมืองใหญ่ ๆ มักนิยมเขียนธรรมนูญพรรคให้มีวิธีการเลือกหัวหน้าพรรคใหม่โดยตายตัว
 
=== สมาชิกเป็นรัฐมนตรี ===
โดยธรรมเนียม รัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาสามัญชนหรือสมาชิกสภาขุนนาง โดยมีไม่กี่คนที่เป็นบุคคลภายนอก แต่ถึงกระนั้นก็ได้เข้าสภาผ่านการเลือกตั้งซ่อมหรือการแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง โดยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1902 นายกรัฐมนตรีทุกคนเป็นสมาชิกสภาสามัญชน โดยไม่ได้เป็นอย่างนั้นเพียงช่วงเดียวคือเมื่อช่วงระหว่างสมัยประชุมหน้าร้อนปี ค.ศ. 1963 เมื่ออเล็ก ดักลาส-โฮม (เอิร์ลแห่งโฮมที่ 14 ณ เวลานั้น) ออกจากสถานะการเป็นขุนนางสามวันหลังจากเริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ การเปิดสมัยประชุมรัฐสภาถูกเลื่อนออกไปเพื่อรอผลการเลือกตั้งซ่อมที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งในขณะนั้นเสียชีวิต แต่เขาก็ชนะการเลือกตั้งตามคาด โดยชนะด้วยสัดส่วนคะแนนเสียงสูงที่สุดในสกอตแลนด์ภายในพรรคของเขา ซึ่งถ้าหากเขาไม่ชนะ ก็ต้องลาออกตามหน้าที่ทางรัฐธรรมนูญ
 
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 รัฐมนตรีเกือบทั้งหมดมาจากสภาสามัญชน ยกเว้นสามตำแหน่งที่ผูกพันกับสภาขุนนาง
 
มีขุนนางดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีเพียงไม่กี่ครั้ง (ยกเว้น ลอร์ดปริวีซีล ประธานฝ่ายตุลาการอังกฤษ และผู้นำสภาขุนนาง) ในกาลปัจจุบัน ซึ่งมีตัวอย่างที่สำคัญ เช่น ปีเตอร์ แคริงตัน ลอร์ดแคริงตันที่ 6 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 ถึงปี ค.ศ. 1982 เดวิด ยัง ลอร์ดยังแห่งแกรฟแฮม ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงจัดหางานในปี ค.ศ. 1985 ลอร์ดแมนเดลสันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงธุรกิจ ลอร์ดอโดนิสดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม บารอนเนสอาโมสดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนานานาชาติ บารอนเนสมอร์แกนแห่งโคตส์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และลอร์ดโกล์ดสมิธแห่งริชมอนด์พาร์คที่กำลังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อสิ่งแวดล้อม อาหาร และกิจการชนบท และรัฐมนตรีเพื่อการพัฒนานานาชาติ
 
เนื่องจากสมาชิกสภาสามัญชนขึ้นตรงกับสภาสามัญชนและมาจากการเลือกตั้งไม่เหมือนกับสมาชิกสภาขุนนางที่มาจากการแต่งตั้งหรือการตกทอดแห่งตำแหน่ง จึงทำให้รัฐมนตรีมีความรับผิดชอบต่อสภา นายกรัฐมนตรีสามารถเลือกและไล่รัฐมนตรีออกได้ตามอัธยาศัย แต่ในทางกฎหมายผู้ที่เลือกและไล่รัฐมนตรีออกคือประมุขของรัฐ
 
=== การตรวจสอบรัฐบาล ===
สภาสามัญชนสามารถตรวจสอบรัฐบาลผ่านคณะกรรมาธิการต่าง ๆ และการตั้งกระทู้ถามต่อนายกรัฐมนตรี และอาจมีการตั้งกระทู้ถามต่อรัฐมนตรีในโอกาศอื่น โดยการตั้งกระทู้ถามต่อนายกรัฐมนตรีมีขึ้นเป็นระยะเวลาครึ่งชั่วโมงในวันพุธทุกสัปดาห์ การตั้งคำถามต้องเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ในรัฐบาลของรัฐมนตรี ต้องไม่เกี่ยวกับการกระทำในฐานะหัวหน้าพรรค หรือในฐานะสมาชิกรัฐสภา โดยธรรมเนียมนั้น ประธานสภาจะเลือกให้สมาชิกรัฐสภาฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านถามคำถามผลัดกัน สมาชิกรัฐสภาอาจตั้งกระทู้ถามเป็นลายลักษณ์อักษรได้เช่นกัน
 
ในความเป็นจริงแล้วการตรวจสอบรัฐบาลในทางนี้ไม่ค่อยเป็นผล เนื่องจากมีการใช้ระบบเลือกตั้งแบ่งเขตคะแนนสูงสุด ทำให้พรรคฝ่ายรัฐบาลมีเสียงข้างมากอย่างล้นหลาม อีกทั้งรัฐมนตรีและกระทรวงต่าง ๆ ใช้กลวิธีปกป้องตัวเองโดยการแบ่งงานสำคัญ ๆ ไปยังบุคคลที่สาม ถ้ารัฐบาลมีเสียงข้างมากอย่างล้นหลาม ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเจรจากับพรรคอื่นแต่อย่างใด แต่ว่าการตรวจสอบจากคณะกรรมาธิการเฉพาะมักมีผลมากกว่า
 
พรรคการเมืองใหญ่ในปัจจุบันมักมีการควบคุมจนสมาชิกรัฐสภาภายในพรรคทำสิ่งใด ๆ ตามที่ตนเองอยากกระทำได้ยากมาก มีสมาชิกรัฐสภาในพรรครัฐบาลจำนวนหนึ่งทีได้รับเงินเดือนจากการดำรงตำแหน่งในรัฐบาล ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900 รัฐบาลแพ้ญัตติไว้วางใจสามครั้งด้วยกัน โดยแพ้ 2 ครั้งในปี ค.ศ. 1924 และครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1979 แต่ว่าการที่สมาชิกรัฐสภาผู้น้อยภายในพรรคขู่ว่าจะไม่สนับสนุนก็สามารถทำให้รัฐบาลต้องยอมจำนนในบางเรื่อง (เช่นเรื่องโรงพยาบาลมูลนิธิช่วงสมัยรัฐบาลร่วมแคเมอรอน-เคลก และเรื่องการจ่ายค่าเล่าเรียนเพิ่มเติมและการจัดสรรงบประมาณเพื่อเงินบำนาญสำหรับผู้ที่ได้ผลกระทบจากบริษัทล้มเหลวภายใต้รัฐบาลพรรคแรงงาน) และในบางคราวก็มีร่างพระราชบัญญัติที่ต้องตกไปเนื่องจากมีสมาชิกรัฐสภาผู้น้อยไม่ลงคะแนนเสียงเห็นชอบด้วย เช่น พระราชบัญญัติก่อการร้าย ค.ศ. 2006
 
ในทางกฎหมายนั้น สภาสามัญชนมีอำนาจฟ้องร้องรัฐมนตรี (หรือผู้ใดก็ตามแม้มิได้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง) ทางอาญาได้ โดยจัดให้มีการดำเนินการในสภาขุนนาง และตัดสินว่ามีความผิดจริงเมื่อสมาชิกสภาขุนนางกึ่งหนึ่งเห็นด้วย แม้ว่าอำนาจนี้จะไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานานแล้ว แต่สภาสามัญชนได้ใช้อำนาจอื่น ๆ เพื่อตรวจสอบรัฐบาลเช่นญัตติไม่ไว้วางใจ การฟ้องร้องโดยสภาขุนนางครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อมีการฟ้องร้องเฮนรี ดันดาส ไวสเคาท์ที่ 1 แห่งเมลวิลล์ในปี ค.ศ. 1806
 
=== หน้าที่ทางนิติบัญญัติ ===
ร่างพระราชบัญญัติอาจมีการเสนอในสภาใดก็ได้ แต่ร่างพระราชบัญญัติที่มีความสำคัญมักเสนอในสภาสามัญชน พระราชบัญญติรัฐสภาให้อำนาจสูงสุดของฝ่ายนิติบัญญัติอยู่กับสภาสามัญชน ทำให้ร่างพระราชบัญญัติบางประเภทสามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของสภาขุนนาง สภาขุนนางมิอาจยับยั้งร่างพระราชบัญญัติการเงิน (ร่างพระราชบัญญัติที่ประธานสภาเห็นว่าเกี่ยวข้องเพียงแต่เรื่องการภาษีหรืองบประมาณแผ่นดินแต่อย่างเดียว) เกิน 1 เดือนได้ อีกทั้งมิสามารถยับยั้งร่างพระราชบัญญัติอื่น ๆ เกินสมัยประชุมสองสมัย หรือเป็นเวลา 1 ปีปฏิทิน ทั้งนี้ ข้อบังคับเหล่านี้บังคับเฉพาะร่างพระราชบัญญัติที่เสนอในสภาสามัญชนเท่านั้น และการขยายวาระสภาสามัญชนต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาขุนนาง
 
โดยธรรมเนียมที่ปฏิบัติมาก่อนมีพระราชบัญญัติรัฐสภาอีกนั้น สภาสามัญชนเป็นสภาเดียวที่สามารถเสนอร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับภาษีและงบประมาณรายจ่ายได้ นอกจากนี้สภาขุนนางมิสามารถแก้ไข้ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายได้ และแก้ไขร่างพระราชบัญญัติอื่น ๆ ให้มีมาตราเกี่ยวกับการเงินหรืองบประมาณร่ายจ่ายมิได้เช่นกัน แต่สภาสามัญชนมักยกเว้นธรรมเนียมนี้เพื่อให้ขุนนางสามารถแก้ไขกฎหมายด้วยเนื่อหาที่มีผลทางการเงินได้ และโดยธรรมเนียมซัลส์เบอร์รีนั้น สภาขุนนางมิอาจต่อต้านร่างพระราชบัญญัติที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับนโยบายพรรคได้
 
เนื่องจากสภาขุนนางถูกจำกัจอำนาจทั้งในทางธรรมเนียมปฏิบัติและในทางกฎหมาย ทำให้สภาสามัญชนเป็นสภาที่อำนาจสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด
 
== ดูเพิ่ม ==