ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ฉันทลักษณ์ (กวีนิพนธ์ไทย)"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Lookruk (คุย | ส่วนร่วม)
ย้อนการแก้ไขที่ 10196740 สร้างโดย 2403:6200:8832:B039:A868:C01:182E:2461 (พูดคุย)
ป้ายระบุ: ทำกลับ แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขขั้นสูงด้วยอุปกรณ์เคลื่อนที่
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1:
{{เพิ่มอ้างอิง}}
{{ฉันทลักษณ์ไทย}}
'''ฉันทลักษณ์''' หมายถึง ลักษณะบังคับของคำประพันธ์ไทย ซึ่ง[[กำชัย ทองหล่อ]]ให้ความหมายไว้ว่า '''ฉันทลักษณ์''' คือตำราที่ว่าด้วยวิธีร้อยกรองถ้อยคำหรือเรียบเรียงถ้อยคำให้เป็นระเบียบตามลักษณะบังคับและบัญญัติที่นักปราชญ์ได้ร่างเป็นแบบไว้ ถ้อยคำที่ร้อยกรองขึ้นตามลักษณะบัญญัติแห่งฉันทลักษณ์ เรียกว่า ''คำประพันธ์''<ref name=kamchai>กำชัย ทองหล่อ. '''หลักภาษาไทย'''. รวมสาส์น (1977) : กรุงเทพฯ, 2545.</ref> และได้ให้ความหมายของ ''คำประพันธ์'' คือถ้อยคำที่ได้ร้อยกรองหรือเรียบเรียงขึ้น โดยมีข้อบังคับ จำกัดคำและวรรคตอนให้รับสัมผัสกัน ไพเราะ ตามกฎเกณฑ์ที่ได้วางไว้ในฉันทลักษณ์ โดยแบ่งเป็น 7 ชนิด คือ [[โคลง]] [[ร่าย]] [[ลิลิต]] [[กลอน]] [[กาพย์]] [[ฉันท์]] [[กลบท|กล]] ซึ่งก็คือ [[ร้อยกรอง|ร้อยกรองไทย]] นั่นเอง
 
ร้อยกรองไทยมีความหมาย 2 นัย นัยหนึ่งหมายถึงการแต่งหนังสือดีให้มีความไพเราะ อีกนัยหนึ่งหมายถึงถ้อยคำที่เรียบเรียงให้เป็นระเบียบตามบทบัญญัติแห่งฉันทลักษณ์ ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายคำที่มีความหมายทำนองเดียวกัน เช่น [[กวีนิพนธ์]] บทกวี บทประพันธ์ กวีวัจนะ ลำนำ บทกลอน กาพย์กลอน กลอนกานต์ กานต์ รวมทั้งคำว่าฉันท์ กาพย์และกลอนด้วย<ref name=kapkanlon>กรมศิลปากร. ครรภครรลองร้อยกรองไทย. กรุงเทพฯ, 2545.</ref> บทความนี้มุ่งให้ความรู้เรื่องลักษณะบังคับของร้อยกรองไทยเป็นสำคัญ เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจคำประพันธ์ไทยต่อไป
 
== ตำราฉันทลักษณ์ไทย ==
 
ตำราแต่งร้อยกรองไทยที่ถือเป็นตำราหลักเท่าที่ปรากฏต้นฉบับในปัจจุบัน มีอยู่ 7 เล่ม ส่วนใหญ่เป็นตำราแต่งกวีนิพนธ์แบบฉบับ ได้แก่
# จินดามณี
# ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน
# ชุมนุมตำรากลอน ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ
# ประชุมลำนำ ของ หลวงธรรมาภิมณฑ์
# ฉันทศาสตร์ ของ นายฉันท์ ขำวิไล
# ฉันทลักษณ์ ของ พระยาอุปกิตศิลปสาร
# คัมภีร์สุโพธาลังการ แปลโดย น.อ.แย้ม ประพัฒน์ทอง
 
== การแบ่งฉันทลักษณ์ ==
 
'''สุภาพร มากแจ้ง'''<ref name=supaporn>สุภาพร มากแจ้ง. กวีนิพนธ์ไทย 1. กรุงเทพฯ, โอเดียนสโตร์, 2535.</ref> ได้วิเคราะห์ฉันทลักษณ์ร้อยกรองไทยไว้อย่างละเอียดใน ''กวีนิพนธ์ไทย''
 
ซึ่งกล่าวว่าการแบ่งฉันทลักษณ์อย่างแคบและนิยมใช้อยู่ทั่วไปจะได้ 5 ชนิดใหญ่ ๆ แต่หากรวมคำประพันธ์ท้องถิ่นเข้าไปด้วยจะได้ 10 ชนิดใหญ่ ๆ ได้แก่
# [[โคลง]]
# [[ฉันท์]]
# [[กาพย์]]
# [[กลอน]]
# [[ร่าย]]
# [[กานต์]]
# [[ค่าว]]
# [[กาพย์ (เหนือ)]]
# [[กาบ (อีสาน)]]
เส้น 38 ⟶ 9:
'''กลุ่มที่ 2 บังคับวรรณยุกต์''' ได้แก่ โคลง กอน (อีสาน) กาบ (อีสาน) กาพย์ (เหนือ) และค่าว
 
== ลักษณะบังคับ ==
หมายถึง ลักษณะบังคับที่มีในคำประพันธ์ไทย ได้แก่
# ครุ ลหุ
เส้น 50 ⟶ 20:
 
=== ครุและลหุ ===
* '''ครุ''' คือพยางค์ที่มีเสียงหนัก ได้แก่ พยางค์ที่ประกอบด้วย สระเสียงยาว (ทีฆสระ) และ สระเกินทั้ง 4 คือ สระ อำ ใอ ไอ เอา และพยางค์ที่มีตัวสะกดทั้งสิ้น เช่น ตา ดำ หัด เรียน ดุ แกะ ฯลฯ
* '''ลหุ''' คือพยางค์ที่มีเสียงเบา ได้แก่พยางค์ที่ประกอบด้วย สระสั้น (รัสสระ) ที่ไม่มีตัวสะกด เช่น พระ จะ มิ ดุ แกะ ฯลฯ
 
=== เอก โท ===
* '''เอก''' คือพยางค์หรือคำที่มีรูปวรรณยุกต์เอก และบรรดาคำตายทั้งสิ้น ซึ่งในโคลง และร่าย ใช้เอกแทนได้ เช่น พ่อ แม่ พี่ ปู่ ชิ ชะ มัก มาก ฯลฯ
* '''โท''' คือพยางค์หรือคำที่มีรูปวรรณยุกต์โท เช่น น้า ป้า ช้าง นี้น้อง ต้อง เลี้ยว ฯลฯ
 
* '''คณะ''' กล่าวโดยทั่วไปคือแบบบังคับที่วางเป็นกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ว่า คำประพันธ์ชนิดนั้น จะต้องมีเท่านั้นวรรค เท่านั้นคำเท่านั้รรคทนคำ และต้องมีเอกโท ครุลหุตรงนั้นตรงนี้
=== คณะ ===
* '''คณะ''' กล่าวโดยทั่วไปคือแบบบังคับที่วางเป็นกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ว่า คำประพันธ์ชนิดนั้น จะต้องมีเท่านั้นวรรค เท่านั้นคำ และต้องมีเอกโท ครุลหุตรงนั้นตรงนี้
* แต่สำหรับใน '''[[ฉันท์]]''' คำว่า '''คณะ''' มีความหมายแคบ คือหมายถึง ลักษณะที่วางคำเสียงหนัก เสียงเบา ที่เรียกว่า ครุ ลหุ และแบ่งออกเป็น 8 คณะ คณะหนึ่งมีคำอยู่ 3 คำ เรียง ครุ ลหุ ไว้ต่างๆ กัน
 
เส้น 71 ⟶ 38:
: น มาจาก นภ แปลว่า ฟ้า
 
กำชัย<ref name="kamchai">กำชัย ทองหล่อ. '''หลักภาษาไทย'''. รวมสาส์น (1977) : กรุงเทพฯ, 2545.</ref> ได้แต่งคำคล้องจองไว้สำหรับจำ '''คณะ''' ไว้ดังนี้
: ย ยะยิ้มยวน (ลหุ-ครุ-ครุ)
: ร รวนฤดี (ครุ-ลหุ-ครุ)