เบญจมาศเงิน

เบญจมาศเงิน
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Plantae
ไม่ได้จัดลำดับ: Angiosperms
ไม่ได้จัดลำดับ: Eudicots
ไม่ได้จัดลำดับ: Asterids
อันดับ: Asterales
วงศ์: Asteraceae
เผ่า: Anthemideae
สกุล: Crossostephium
Less.
ชนิดต้นแบบ
Crossostephium chinense
(A.Gray ex L.) Makino

เบญจมาศเงิน หรือ สกุลเบญจมาศเงิน (ชื่อวิทยาศาสตร์: Crossostephium; จีน: 芙蓉菊 หรือ 芙蓉菊属; พินอิน: fúróng jú หรือ fúróng jú shǔ)[1] เป็นสกุลโมโนไทป์ ของพืชดอกในวงศ์ทานตะวัน[2][3] มีชนิดเดียวคือ Crossostephium chinense มีลักษณะเด่นคือใบสีเขียวอมเทาถึงสีเทาเงิน ดอกออกเป็นช่อสีเหลือง นิยมปลูกเป็นไม้กระถาง

มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนเช่น เกาะไต้หวัน, กวางตุ้ง, บางส่วนของประเทศญี่ปุ่น, อินโดจีน, และฟิลิปปินส์ ได้รับการนำเข้าไปปลูกในประเทศไทย[4]

อนุกรมวิธาน

ชื่อเรียกอื่น ๆ คือ แอหนัง ปากหลาน ส่วนชื่อจีนคือ เล่านั่งฮวย[5]

มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน นำเข้ามาปลูกในเมืองไทยในสมัยรัชกาลที่ 2 และได้รับพระราชทานนามว่า “แอหนัง” ซึ่งเป็นชื่อของบุษบาขณะบวชเป็นชีในวรรณคดีเรื่องอิเหนา คนจีนมักเรียก “เล่านั่งฮวย” มีที่มาจากสีของใบที่มองดูคล้ายผมสีเทาของคนแก่[6]

ชื่ออื่นในภาษาจีนคือ 蕲艾 (ฉีไอ้)、千年艾 (ไอ้พันปี)、芙蓉 (ฝูหรง)、海芙蓉 (ฝูหรงทะเล)、白芙蓉 (ฝูหรงขาว)、玉芙蓉 (ฝูหรงหยก)、香菊 (xiāng jú; เบญจมาศหอม)、白香菊 (báixiāng jú; เบญจมาศขาวหอม)、白石艾 (ไอ้หินขาว)、白艾 (ไอ้ขาว)、日本海芙蓉 (ฝูหรงทะเลญี่ปุ่น)

ชื่อพ้องของ Crossostephium chinense (L.) Makino ได้แก่[7]

  • Absinthium chinense (L.) DC.
  • Artemisia chinensis L.
  • Chrysanthemum artemisioides (Less.) Kitam.
  • Crossostephium artemisioides Less.
  • Tanacetum chinense (L.) A.Gray ex Maxim.

พืชชนิดอื่นที่อาจสับสนถูกระบุว่าอยู่ใน สกุลเบญจมาศเงิน (Crossostephium) ซึ่งปัจจุบัน 2 ชนิดระบุให้อยู่ในสกุลโกฐจุฬาลัมพา (Artemisia) และ 1 ชนิดในสกุล Lepidolopsis ได้แก่

  • เสจบรัชแคลิฟอร์เนีย (Artemisia californica) ในชื่อพ้อง: Crossostephium californicum (Less.) Rydb. และ Crossostephium foliosum Rydb.
  • Artemisia nesiotica P.H.Raven ในชื่อพ้อง: Crossostephium insulare Rydb.
  • Lepidolopsis turkestanica (Regel & Schmalh.) ในชื่อพ้อง: Poljakov turkestanicum Regel & Schmalh.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้พุ่มคลุมดิน[5] สูง 10−40 เซนติเมตร

ใบที่มีลักษณะสีเขียวอมเทาถึงสีเทาเงิน เหมือนหิมะเกาะ ใบประกอบขนนก หยักเว้าลึก แตกแขนงมากในส่วนบน ใบเล็กเรียงกันเป็นพุ่มรวมกันที่ปลายกิ่ง รูปใบหอกแคบ ยาว 2−4 กว้าง 0.4−0.5 เซนติเมตร มีขนสั้นนุ่มสีขาวปกคลุมหนาแน่นทั่วใบ เมื่อขยี้ใบมีกลิ่นหอม[6][5]

ดอกออกเป็นช่อ ช่อดอกเป็นช่อกระจุก ดอกย่อยกลมสีเหลือง ออกที่ปลายยอดหรือตามง่ามใบปลายกิ่ง ค่อนข้างเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7 มิลลิเมตร มักออกดอกในช่วงที่มีอากาศเย็น โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว[6]

การแพร่กระจายและถิ่นที่อยู่

มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน บางส่วนของประเทศญี่ปุ่น, อินโดจีน, และฟิลิปปินส์[7] ได้รับการนำเข้าไปปลูกในประเทศไทย[4] และประเทศมอริเชียส[7] ในประเทศจีนพบพืชแถวบนโขดหินปะการัง ในมณฑลฝูเจี้ยน กวางตุ้ง ไต้หวัน ยูนนาน เจ้อเจียง[1]

ในธรรมชาติเป็นพืชหายากและอาจถูกคุกคาม[1] แต่มักได้รับการเพาะปลูกเพื่อใช้เป็นไม้ประดับและเป็นยา

การใช้ประโยชน์

พืชทั้งต้นใช้เป็นยารักษาอาการชักในวัยแรกเกิด[1]

ใช้ตกแต่งสวนเป็นบอนไซ นิยมปลูกเป็นไม้กระถาง ไม้ประดับแปลง เป็นพืชที่ชอบดินร่วน ที่มีการระบายน้ำที่ดี มีปัญหาด้านเชื้อราเข้าทำลายทำให้ใบนั้นร่วงง่าย จึงไม่ควรตัดแต่งต้นต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของทรงพุ่ม[6]

 
ดอกกระจุก
 

อ้างอิง

  • 昆明植物研究所. "芙蓉菊". 《中国高等植物数据库全库》. 中国科学院微生物研究所. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 2009-02-25. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)